เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่
หน้าไม่อาย!
สามารถใช้คำนี้ได้เลย
อินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ
“เหวอ!”
เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม
“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”
แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ
“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”
ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ
“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”
“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”
What??!
อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง
“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”
“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”
สาวเจ้าโพล่งห้าม หลังเห็นเงาเขาขยับ เผลอแวบคิดถึงอดีต เกี่ยวกับเรื่องบนบานศาลกล่าวที่เคยไปขอเอาไว้ ถ้าจะต้องมีสามีขอให้เป็นคนนี้เท่านั้น
บางทีอาจถึงคิวหล่อน ดวงอาจจะเปิด พระเจ้าถึงได้เสกสร้างให้ความปรารถนาอันเป็นไปโดยธรรมสัมฤทธิ์ผลจนกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว แต่เหมือนจะเร็วเกินไป ตั้งหลักแทบไม่ทัน
“ถ้างั้นหนูก็เอามาให้พี่สิ”
“มะ ไม่หันไปหรอกค่ะ”
เสียงตอบโต้ดังพร้อมกับการทำหน้าตลก หญิงสาวกลืนน้ำลายทิพย์อีกรอบ หรี่ตาต่ำมองพื้น ภาวนาให้ความประหม่าและไม่เป็นตัวของตัวเองนี้หายไปโดยเร็ว แม้ภาพที่เห็นจะเกิดขึ้นเร็วมาก บวกสติจะหลุดหายไปทุกเสี้ยววินาที ทว่ามวลของภาพทั้งยาวทั้งใหญ่ มหึมาขนาดนั้นเหลือบผ่านแค่แวบก็ยังจดจำเห็น เผลอๆพรุ่งนี้ตื่นเช้ามาเป็นตากุ้งยิงอีก
“อ่าว ถ้าอย่างนั้นทำยังไงถึงจะได้มาละคะ..”
แล้วดูเสียง จะอ่อยทำไมเนี่ยยยย
อินถาหลับตาปี๋ อันที่จริงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เธอชอบ! มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก ถึงภาพพจน์ของเขาจะย้อนแย้งกับความคิดของเธอที่ผ่านมาก็เถอะ
ย้อนเวลากลับไปสามปีก่อน
หลังจบการศึกษาเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับแม่ของเธอจะแต่งงานใหม่ จึงซื้อคอนโดห้องนี้ให้เป็นของขวัญ เนื่องจากหล่อนยืนยันหัวชนฝาว่าจะไม่ไปอยู่ด้วย ตอนนั้นชีวิตค่อนข้างยุ่งเหยิงพอควร เพราะนอกจากหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว ยังต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆถึงสองอย่างอีก
อย่างแรกคือเรียนรู้งาน อย่างที่สองเรียนรู้การอยู่ตามลำพัง
พิษของความโดดเดี่ยวที่หันไปทางไหนก็ไม่มีใคร บวกกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวจำเจ เกือบจะทำให้ต้องแห้งเหี่ยวและเฉาตายไปหลายครั้ง ถ้าเกิดเจ้าของเก่าข้างห้องไม่ย้ายออกไป แล้วมีคนใหม่เข้ามาแทน
ซึ่งคนคนนั้นก็คือเขา ผู้ชายที่ยืนแก้ผ้าหน้าไม่อายอยู่ตรงนี้
แก้ผ้า?
เมื่อมีคำนี้ลอยขึ้นมาในหัว สมองเจ้ากรรมที่เหมือนจะหลับใหลไปชั่วขณะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกระลอก ดวงตาคู่สวยถ่างกว้างขึ้น เส้นเลือดประหนึ่งสายเคเบิ้ลกำลังถูกดึงความจำจากอดีตกลับมาที่เดิม เพื่อแก้ปัญหาเหตุการณ์ที่คาราคาซังอยู่ ทว่าเหมือนไม่ทัน เมื่อผ้าเช็ดตัวในมือเธอหายไป จากการฉวยโอกาสดึงตอนเธอตกอยู่ในภวังค์ของเขา
หือ...
วินาทีนั้นสัญชาตญาณตะโกนบอก การจะทำอย่างนี้ได้นั้น เขาจะต้องอยู่ข้างหลัง และได้ทำการขัดคำสั่งกันเรียบร้อยแล้ว
“หนาวจะตายอยู่แล้วค่ะ..หนูมัวทำอะไรอยู่”
ใช่อย่างที่คิดจริงๆด้วย เธอสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆระต้นคอ พร้อมกับเสียงแหบพร่าที่ฟังแล้วขนลุก
อินถาชะงัก ดวงตาเลิกลั่ก ก่อนจะกระโดดหลบแล้ววิ่งพุ่งออกมาข้างนอก
อร๊ายยยย
“พ่อแก้วแม่แก้ว อะไรวะเนี่ย”
เขาโดนตีหัวตรงจุดสำคัญอย่างนั้นใช่ไหม ถึงได้เป็นแบบนี้ สาวเจ้างุนงงหนักกับเหตุการณ์เป็นที่สุด กว่าจะตั้งหลักได้แล้วเดินกลับไปยังที่ที่เดินจากมา หลังใช้เวลาสงบสติอารมอยู่นาน ก็ตอนเขานอนแผ่กลางเตียง
“หือ..”
สรุป?
ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อยู่ตรงไหนก่อน!
ผู้ชายข้างห้องต้องการอะไรกันแน่!
อินถาหลับตาพริ้ม ลอบถอนลมหายใจ เดินเข้าไปยืนข้างเตียง เอ่ยถามเสียงแผ่ว พยายามกดความประหม่าเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเสแสร้งนั้น ราวกับเป็นคนใจดีซะเต็มประดา ทั้งที่ในใจกำลังฉุนเฉียว นิสัยสันดานที่แท้จริงทวงความยุติธรรม ความถูกต้องที่ว่า..ต่อให้เธอชอบมาก ถึงมากถึงที่สุด และดีใจที่ได้ใกล้ชิด แต่ใช่จะยอมให้เขามาทำแบบนี้!
นอนอยู่บนเตียงของสาวโสด!
ถ้าแฟนก็ว่าไปอย่าง Bwah-hah-hah
“เอ่อ..ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ”
หญิงสาวกดเสียงต่ำ ทอดมองเขาที่เผยให้เห็นแค่เพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างและต่างหู น่าแปลกเพียงแค่นั้นกลับทำเธอใจสั่นไม่เบา
“คีย์การ์ดพี่หาย”
“คะ?”
พลางเลิกคิ้วสูง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาโพล่ง ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม
“คีย์การ์ดพี่หล่นหาย” เขาตอบอีกครั้งน้ำเสียงคงเดิม ก่อนยันตัวลุกขึ้นมา แน่นอนเธอเผลอก้าวถอยหลัง ขณะสายตาจับจ้องกันอยู่ “ตอนไหนพี่เองก็ไม่รู้ รู้อีกทีไม่มีแล้ว กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ก็ด้วย”
ก็คือหายหมด?
อินถาละสายตาจากใบหน้าอันหล่อเหลาหรี่ต่ำมองพื้น ความสิ้นหวังทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก ความกล้าได้กล้าเสียและกล้าขอของเขาทำเธอไม่กล้าแม้จะปฏิเสธ
เขาคือคนแรกที่ทำให้เธอหลุดออกจากโคจรกรอบของ..ความถูกต้อง
“แค่นอนใช่ไหมคะ”
ถึงกระนั้นความประหม่าก็ยังอยู่ ด้วยคำถามที่สามารถคิดได้สองแง่สองง่าม
“ถ้าอย่างนั้น..เราจะทำอะไรกันดี”
เดี๋ยว!
“ไม่ใช่ค่ะ” สาวเจ้าเร่งโบกมือเป็นพัลวัน พร้อมส่ายหน้าจนผมยุ่ง “หนูหมายถึงแค่นอนใช่ไหม นอนจนเช้าแล้วก็กลับห้องของคุณ หนูไม่ต้องทำอะไรให้คุณทานหรือ..เอ่อ ไม่..”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
สาวเจ้าชะงัก อ้าปากค้างไว้ในจังหวะขยับพูด เปลี่ยนเป็นพยักหน้าก็ตอนเขาสวนแทรกกะทันหันจนประโยคนั้นไม่จบ
“โอเคค่ะ ก็ดีค่ะ”
“โอเค เดี๋ยวพี่ไปนอนบนโซฟา”
พูดจบก็ลุกพรวดทันที
“เอิ่ม..” หล่อนต้องหลับตาปี๋อีกแล้ว “บอกกันบ้างสิคะ จะลุกจะไรก็”
“อะ ขอโทษค่ะ” เขาพยักหน้า ฉวยหมอนไปลูกหนึ่ง “ถ้างั้น ขออันนี้ด้วยนะคะ”
เสน่ห์และความเท่ของเขาไม่ได้มีแค่หน้าตา แต่มันอยู่ที่การตัดสินใจ ชายหนุ่มจัดการตัวเอง พูดเองเออเองเสร็จสรรพ พลางผละออกจากเตียงและเดินไปยังประตูทางออก โดยไม่วายถือหมอนไปด้วย จังหวะที่เขาเดินผ่านเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เธอเห็นรอยฟกช้ำ กับบาดแผลขีดข่วนและมีเลือดบนแผ่นหลังของเขาพอดี
“เอ่อ..เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งนอน คุณควร..ทายาก่อนไหม”
ราล์ฟหยุดชะงักมองข้ามไหล่กลับมา
“จะทาให้หรือ”
อินถาเงียบไม่ตอบ เลือกเดินไปเบาอุณหภูมิแอร์ เปิดตู้รื้อหากล่องยาแล้วหยิบกลับมา นั่งลงปลายเตียงช้อนตามองเขา
ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงถอนหายใจพรืด เดินกลับมานั่งลงที่เดิมอีกครั้งหันหลังให้ ก่อนรอยบาดแผลเก่าของเขาจะทำให้มือที่ถือสำลีอยู่ของเธอค้างชะงัก ประมวลคำถามในใจได้สองข้อ
ข้อที่หนึ่ง ทำไมถึงมีบาดแผลจากของมีคม ราวกับช่ำชองเรื่องนี้มาหลายครั้งต่อหลายครั้ง
ข้อที่สอง เขาเป็นใครกันแน่
“พรุ่งนี้หนูทำงานกี่โมงครับ”
พลันหลุดจากภวังค์ด้วยเสียงหล่อพอๆกับหน้าตาของเขา และไม่ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทุกครั้งที่เขาพูดจะต้องทุบสิ่งนั้นทิ้งเพื่อมาฟังเขาทุกครั้ง
“เอ่อ..เช้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นหนูควรนอนได้แล้วนะ”
“แต่แผลของคุณ..”
“ช่างมันค่ะ แค่เช็ดเลือดไม่ให้เปื้อนโซฟาหนูก็พอ”
อินถาใจสั่นอีกแล้ว!
เธอหลับตาปี๋ เม้มริมฝีปากก้มหน้าราวกับพยายามข่มอาการไว้
“ค่ะ..”
ทว่า ยิ่งทำเหมือนยิ่งฝืน ยิ่งดันทุรังให้สมองเจ้ากรรมคิดไกลไปเรื่อย ขณะสายตาจ้องมองแผนหลัง ชนิดแบบใกล้จนเห็นสภาพผิวเกือบถึงรูขุมขน มือบางบีบสำลีแน่นเมื่อเผลอไปนึกถึงคืนนั้น กับความฝันลามก
“อย่าบอกนะว่าหนูนั่งหลับ”
“ฮะ! อ่อๆ ไม่ค่ะ ไม่ได้หลับ”
อร๊ายยยยย
******************
เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าไม่อาย!สามารถใช้คำนี้ได้เลยอินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ“เหวอ!”เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”What??!อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”สาวเจ้
“เฮ้ยคุณ!”เธอปล่อยถุงอาหารหลุดมือ พร้อมขึงตาขึ้นกว้าง มากกว่าปกติ ความตกใจลืมหมดแม้ความเย็นชื้นจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงไม่ขาดสาย ไม่เหลือพื้นที่แห้งบนเสื้อผ้า แล้วนิ่งทำอะไรไม่ถูก จนเห็นร่างนั้นเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง ถึงจะถลาเข้าไปช่วยประคองดึงให้ลุกขึ้นมาส่วนเขาพยายามแหงนหน้า ใช้ม่านตาพร่ามัวที่สายฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูใส่ไม่หยุดมอง ก่อนนิ่วหน้าตอนเธอทำเขาเจ็บ บางทีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลก็สำคัญ เสียดายที่ไม่จดจำสมัยได้เรียน“ตัวคุณหนักมาก ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ไปตามคนมาช่วยดีกว่า”หมับ!แขนเรียวถูกฉุดรั้งทันทีที่พูดจบ ด้วยแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา“คะ?”ก่อนอ้าปากค้าง หลังเขาส่ายหน้าท้ายที่สุดเป็นเธอที่ต้องพยายาม ดิ้นรนพยุงพาไปยังรถจอดอย่างทุลักทุเล ความหนักของเซลล์ทุกส่วนเป็นอุปสรรคให้ต้องกัดฟันกรอด หลังใช้เท้ายึดพื้นให้มั่นคง เพื่อทรงตัวจังหวะหิ้วปีกเขาลุก“ค่อยๆนะ”“เกิดอะไรขึ้นคะ คนพวกนั้นเป็นใคร มาทำร้ายคุณทำไม”อินถาหันไปถาม ดึงเข็มขัดมาคาดลำตัว เตรียมทำหน้าที่เป็นพลขับ บวกกับความสับสนพยายามไขข้อข้องใจ ให้เหมาะสมไม่คุ้มเสียแก่การตัดสินใจช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองแ
ยิ่งใกล้ไตรมาสสุดท้ายงานยิ่งล้นมือ หลายวันมานี้อินถาไม่มีเวลาแม้แต่จะเข้ายิม หรือโผล่หน้าสดไปให้พนักงานร้านกาแฟได้เห็น ชีวิตมีอยู่แค่สองทาง คือทางกลับบ้านกับทางไปทำงาน และสายทุกวัน“ฮ๊าววว~”เสียงหาววอดผสานกับเสียงเสียดสีของก้นแก้วกาแฟเลื่อนผ่านโต๊ะเนื้อไม้มาจอดอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าเหลือบมอง พยักหน้ายิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ“ขอบใจนะ”“เมื่อคืนดึกหรือ”นักรบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ในมือก็ถืออยู่อีกแก้วหนึ่ง“ใช่~ พี่ติ๋วอะดิ แกบ้าจี้อะไรไม่รู้โทรมาสั่งให้แก้งานกะทันหัน กะจะไม่รับสายแล้วนะ แต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องด่วนหรือเป็นแกเองที่ขอความช่วยเหลือ”ได้ทีอินถาบ่นใหญ่ ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องคู่สนทนา แต่หรี่ต่ำมองแก้วในมือตัวเอง มองควันที่พวยพุ่งจากความร้อนนั้นอยู่ดีๆในหัวเกิดมีภาพแห่งความทรงจำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านทำไมกันนะ กับอีแค่ยาไม่กี่แผง ถึงได้มีอิทธิพลทำให้เธอรู้สึกดีได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เขานั้นก็มีเจ้าของอยู่แล้วอินถาเผลอยิ้ม แอบเข้าข้างตัวเอง แต่ปัจจุบันเขานั้นหายไปเลย ไร้วี่แววแม้แต่เงา เสียงเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ในห้องข้างๆในขณะเดียวกันก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปด้วย เ
อินถายืนสงบนิ่งให้กับความสับสนของตัวเองที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในมือชูถุงยาขึ้น มองมันราวกับเป็นของวิเศษแวบมาจากทิศทางใดไม่รู้สักแห่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เจ้าของผู้กระทำนำพา ทว่าทั้งทางเดินพบแต่ความว่างเปล่าความรู้สึกกระดี่ได้น้ำถูกเก็บไว้ในที่ตื้น ชนิดหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจโผล่พ้นออกมาให้เห็นได้เนื่องจากยากต่อการควบคุม เธอถึงได้เร่งเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องนั้น เพื่อกระโดดโลดเต้น ดีใจประหนึ่งถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาล จิตใต้สำนึกบวกสัญชาตญาณกระซิบบอกให้เข้าข้างตัวเอง สิ่งนี้ที่ถืออยู่อาจเป็นของเขาผู้ชายที่แอบชอบไม่รอช้าหญิงสาวรีบคลี่ปมของมันทันที ก่อนจะหยิบออกมาดูทีละชิ้น เมื่อพบว่าเป็นยารักษาแผลทั้งภายในและภายนอก ก็ขึงตาโต“พระเจ้าคะ..” มือผสานเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้น พร้อมยิ้มปลื้มดุจน้ำตาจะไหล ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าจูปิเตอร์ “ทรงได้ยินคำขอของอินถาแล้วสินะคะ อินถาสามารถตัดชุดแต่งงานรอได้เลยใช่ไหม งื้อ..”ความตื่นเต้นถึงขนาดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างลืมอาย จากนั้นจึงจะเดินไปทิ้งตัวลงกลางเตียง“เฮ้อ สบายใจจัง...”แล้วเผลอหลับไปเพราะความเพลียในที่สุดด้
ตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา“บ้าจริง”เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้วตุบ!เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน“อิน?”“กลับออฟฟิศไปเลย”“ฮะ?”“นี่ไงฉันมาแล้ว”“บอกว่าให้พักไง”ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ“เรื่องอะไร งานขอ
ห้องที่คุ้นเคย?เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา“กรี๊ด!!!!”ครืน ครืน“เฮือก!”เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย“บ้าจริง”อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน(เธอ เป็นไงบ้าง)“นะ นักรบ”เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)“เดี๋ยวนะ..”หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง
“มายืนรอใครครับ”อินถาตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กล้าที่จะสบตากับเขา ไม่รู้จะต้องขอบคุณความเมาดีไหม ที่ทำให้เธอมั่นหน้าได้ขนาดนี้“ยืนรอ? อ่อๆ มะ ไม่ค่ะ ไม่ได้รอใคร”แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ดี ความประหม่าทำลิ้นพัน และไม่รู้ว่าจริงไหมที่เธอเห็นเขายิ้มมุมปาก ขณะยื่นมือมาแตะต้นแขนเรียว“โต๊ะอยู่ไหนครับ”น้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่ออกมาจากตัวเขา มันเป็นไปได้อย่างไร สาวเจ้าอ้าปากค้าง มัวแต่ยืนงง จนเขาต้องถามซ้ำ“ว่าไงครับ โต๊ะอยู่ไหน""ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอินไปเอง""คุณเมามากนะ เดินไปคนเดียวไม่ไหวหรอก ผมจะพาไป""เอ่อ..""บอกมาเถอะครับ"ทำไมตอนนี้แลดูเข้าถึงง่ายนัก หรือนี่เป็นนิสัยปกติ ของเขา อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุย จึงรู้จักเขาไม่ดีพอ“เอ่อ ตรงโน้นค่ะ”อินถาบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่เดินจากมา ชายหนุ่มมองตามพลางพยักหน้า“โอเคครับ ไปครับ”"อ๋าาา"สาวเจ้าเบ้ปาก หลังถูกเขาฉวยข้อมือข้างที่บาดเจ็บ“ขอโทษครับ ผมไม่เห็นว่าคุณมีแผล ไปโดนอะไรมาครับ”สาบานว่าเขาจำเธอไม่ได้?อินถาขมวดคิ้ว มองเข้าไปในตาสีอำพันลึกลับคู่นั้นผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็เป็นลูกผสม ไม่ใช่เอเช
“ขอโทษค่ะ”สัญชาตญาณสั่งให้รีบพลั้งโพล่งเพราะหล่อนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่กลับต้องชะงักกลางคันหลังเงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของแผงอกแกร่งถูกชนเข้าอย่างจัง เขาคือบุคคลแสนคุ้นเคย แฝงอยู่ในพื้นที่ความทรงจำมากกว่างานที่ทำซะอีก“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..”หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันได้ฟังคำพูด และไม่ทันได้ห้ามเพื่อนชายที่กำลังดึงให้ห่างไปจากจุดนั้น“ดะ เดี๋ยว”แน่นอนความไม่ดูจังหวะ ทำให้เธอหงุดหงิด คิ้วคู่ขมวดชนกัน หันค้อนขวับฝ่ายชายทันทีที่มาถึงในขณะนักรบไม่ได้ทุกข์ร้อน แค่เลิกคิ้วสูง สีหน้ามึนงง“อะไร?”“แกนะแก..” ต่างจากคนตัวเล็กที่ชี้หน้าอยากจะด่ากราด ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด “จุ้นจ้านจริงๆ”“ฮะ?”“รีบอยู่ได้ ”มองเข้าไปในร้าน ที่คนอื่นนั่งอยู่ ซึ่งพวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอย่างออกรส กว่าจะหันมาเห็นทั้งคู่ก็ตอนที่เดินเข้าไปแล้ว"อ่าว""ดูสิ ใช่เขาจะสนใจเรา"“เดี๋ยวนะ เธอโมโหอะไรเนี่ย”“โมโหดิ ก็แก!”“หืม? ฉัน? ฉันทำไม?”“เออ ช่างมันเถอะ”ขนาดมาถึงยังฉุนไม่หาย แต่เมื่อไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จึงทำได้แค่โบกมือ แล้วเดินนำเข้าไปหาผู้คนตรงโต๊ะนั้น“อะไรของเธอวะ”โซน VIP บรรยาก
ถนนใหญ่ใจกลางเมืองที่มีรถวิ่งเร็วราวกับแข่งกัน ประหนึ่งใครชนะจะได้น้ำมันฟรี รวมถึงการซ่อมห้องเครื่องหลังใช้งานอย่างหนักเพื่อพ่นควันดำสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษ ถึงต้องมีสะพานลอย และทางม้าลายเอื้อความสะดวกให้กับคนเดินเท้า ซึ่งหากว่าถ้าจำเป็นก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะแม้จะเดินข้ามทางม้าลายแล้ว ยังการันตีไม่ได้ว่านั่นจะปลอดภัยเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาว กางเกงขายาวทรงกระบอกสีกากี กับผ้าใบสีขาวอีกคู่หนึ่ง ถึงได้เลือกข้ามสะพานลอยมากกว่าการข้ามทางม้าลายขาวดำนั้น และนั่นเป็นสาเหตุหลักทำให้คนในรถหงุดหงิด เพราะความล่าช้าในการเดินทาง“นาน นานมาก”บ่นอุบหลังเธอมาถึง และเปิดประตูรถขึ้นมา“แล้วไง? ความปลอดภัยต้องมาก่อน”หล่อนยักไหล่ สีหน้ากวนประสาทแสดงออกถึงความไม่ทุกข์ร้อนไม่ต่างกัน“ครับ เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ”นักรบพยักหน้ายกนิ้วหัวแม่มือชมเชยให้ เก็บเบรกมือเพื่อเตรียมตัวออก ทว่าจังหวะหันกลับไป คนข้างๆทำให้อ้าปากเหวอซะก่อน พลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า“อะไรครับเนี่ย”“อะไร? ก็แต่งตัวปกติไง ยังไม่ชินอีกเหรอ”“เปล่า..” เขาส่ายศีรษะ แพ่งเล็งไปยังจุดเดียว จิ้มแรงๆจงใจทำให้เจ็บ “หมายถึงไ