ภายในห้องโถงชั้นสามของหอสุราชื่อดังของเมืองหลวง กลิ่นหอมกรุ่นของน้ำชาดีและสุรารสเลิศลอยอบอวล กลบกลิ่นอุบายที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เพดานผ้าสีครามอย่างแนบเนียน
เหยียนซูหนิง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหยียน ปรากฏกายที่หน้าหอสุราในอาภรณ์เนื้อผ้าราคาแพง ตาดำขลับกวาดมองซ้ายขวา พลางเอ่ยเบา ๆ กับสาวใช้คนสนิท
"เจ้ารอที่นี่ หากเห็นคนในจวนมา..รีบส่งสัญญาณให้ข้าทันที"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
เหยียนซูหนิงก้าวขึ้นบันไดจนมาหยุดอยู่หน้าห้องเบอร์สิบเอ็ด ห้องที่ในจดหมายเขียนนัดหมายเอาไว้ ดวงหน้าของนางแดงระเรื่อ สายตาฉายแววความตื่นเต้นประหลาดยากจะกลบเกลื่อน
ภายในห้อง มีเพียงโต๊ะจัดวางชาและของว่างสองสามจาน พร้อมจดหมายเขียนด้วยลายมือคุ้นตาว่า...
"ข้าติดธุระรอพบผู้ใหญ่เพียงครู่ รบกวนเจ้ากินขนมรออย่างใจเย็น... คืนนี้ข้าจะมอบสิ่งที่เจ้ารอคอยมาเนิ่นนาน"
เพียงแค่นั้น ความระวังในใจนางก็มลายหายไป
นางเอนตัวลงจิบชา เคี้ยวขนมตรงหน้าเบา ๆ พลางยิ้มเคลิบเคลิ้มอย่างสาวน้อยหลงรัก หากแต่รสขมปลายลิ้นของชานั้น…คือกลิ่นพิษของอุบายร้ายที่แผ่ซ่านอย่างแนบเนียน
เพียงไม่นาน ลมหายใจของนางเริ่มขาดห้วง ใบหน้าแดงจัด หูอื้อ ตาพร่า ร่างกายร้อนรุ่มราวถูกเพลิงภายในแผดเผา
"หรือว่า?..."
กว่านางจะรู้ตัวมันสายเกินไปเสียแล้ว...
ก่อนนางจะตั้งสติได้ ประตูก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้สองคนในชุดเนื้อไหมเข้มเดินเข้ามา พยุงร่างนางที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงออกจากห้องไปยังห้องข้างเคียงอย่างนุ่มนวล ไม่มีผู้ใดสงสัย ไม่มีผู้ใดหยุดยั้ง
ห้องเบอร์สิบถัดไป... คือห้องของ "ใต้เท้าจงเต๋อ" ขุนนางชั้นล่างแห่งกรมเก็บของเก่า ผู้มีภรรยาสามและอนุอีกเจ็ด เป็นชายวัยห้าสิบปลายที่ชื่อเสียงมิอาจงดงามได้เท่าความเจ้าชู้
ประตูเปิดออกพร้อมเงาร่างหนึ่งนั่งรออยู่บนเตียงผ้าแพร แสงตะเกียงสลัวแค่พอให้เห็นโครงร่างอวบพลุ้ยที่ดวงตาฉายแววตัณหาอันไร้ขอบเขต
เขาเอง…ก็ถูกวางยาเช่นเดียวกัน!...
เมื่อนางถูกวางลงบนเตียง เสียงกระซิบข้างหูเพียงว่า "เจ้ามาแล้ว" ก็นำไปสู่ห้วงปรารถนาที่ร้อนแรงจนไร้สติ
ไม่กี่อึดใจต่อมา…เสียงครวญคราง เสียงหอบกระเส่า ก็เริ่มแว่วขึ้นเรื่อย ๆ ตามความร้อนแรงของไฟปรารถนา
ณ ตำหนักเงียบงันใต้ม่านราตรี เหวินลั่วกลับมาจากทำภารกิจอย่างไร้ร่องรอย ชุดดำแนบเนื้อไม่สะท้อนแสงจันทร์ สะโพกแนบดาบสั้น เส้นผมรวบสูงไม่มีเส้นใดพลิ้วไหว องครักษ์เงาแทรกตัวผ่านทางลับ แล้วหยุดยืนหลังฉากม่านไหมชั้นใน เขาคุกเข่าเบื้องหน้าท่านอ๋องผู้รออยู่ในความมืด
"เรียนท่านอ๋อง ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ขอรับ"
"ดี...พรุ่งนี้เช้าให้คนไปส่งจดหมายแจ้งฮูหยินจง ว่าสามีของนางไปค้างคืนที่ใด...กับสตรีนางใด"
แววตาใต้แสงตะเกียงสลัวราวกับหมาป่าที่รอฉีกเหยื่อ รอยยิ้มมุมปากที่เผยให้เห็นในยามมีแผนร้ายยิ่งทำให้เจ้าของร่างน่ากลัวเป็นเท่าทวี
"ข้าน้อยรับบัญชา"
เหวินลั่วโน้มศีรษะอีกครั้ง ก่อนจะถอยหายกลับไปทางเดิมอย่างเงียบงัน เหลือเพียงกลิ่นจันทน์หอมจาง ๆ ที่ปลิวตามลมยามค่ำคืน
รุ่งอรุณของวันใหม่... เสียงไก่ขันยังไม่ทันขาดช่วง แม่นมสูงวัยในชุดสะอาดเรียบร้อยก้าวขึ้นบันไดเรือนใหญ่ของจวนใต้เท้าจง เดิมทีเวลานี้นางต้องเตรียมพาน้ำชาไปเคารพฮูหยินใหญ่ตามธรรมเนียม
หากแต่วันนี้นางมิได้นำถาดน้ำชา หากเป็นซองผ้าทอมือที่มีกลิ่นหอมของหมึกจาง ๆ แนบจดหมายที่จ่าหน้าถึง "ฮูหยินจงเจียฮวา" โดยเฉพาะ
ครู่ต่อมาก็เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ 3 ภรรยา 7 อนุที่เคยต่อสู้เพื่อแย่งความโปรดปราน บัดนี้กลับร่วมมือกันอย่างดีเพื่อจัดการกับสตรีคนใหม่ของสามี
ช่วงสายวันนั้น...
หน้าจวนสกุลเหยียนก็มีเรื่องอึกทึกทำให้พ่อบ้านรีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนายของจวน
ขบวนเกี้ยวประจานสีแดงเลือดหมูปักผ้ารูปนางฟ้าเหินหาวถูกลากมาหยุดหน้าประตูใหญ่ ผู้หญิงหน้าคมแต่งกายหรูหราในชุดผ้าแพรสีม่วงเข้มยืนอยู่หน้าขบวน ด้านหลังคือสาวใช้เจ็ดแปดคนและบ่าวชายตัวใหญ่หน้าตาดุดัน ข้างกันคือบรรดาภรรยารองและอนุภรรยาที่ตามมาด้วย
เสียงหัวเราะแผ่วเบาเยือกเย็นจากนางดังขึ้น...
"คุณหนูใหญ่จากตระกูลเหยียน...ขึ้นเตียงสามีข้าเมื่อคืนนี้ มิทราบว่าชาในหอสุราชั้นสาม รสชาติเป็นเยี่ยงไร คงร้อนแรงไม่น้อยใช่หรือไม่? แต่เหตุใดนัดพบกับบุรุษอีกคน แต่กลับไปขึ้นเตียงกับสามีของข้าได้ การกระทำเช่นนี้อี้จีชื่อดังยังต้องอาย"
ฮูหยินจงมิได้อาละวาดเหมือนสตรีทั่วไป นางเพียงแสดงหลักฐานคือจดหมายจากชายคนรักของเหยียนซูหนิง ยื่นให้พ่อบ้านจวนสกุลเหยียนรับไป
น้ำเสียงของนางเสียงเรียบ นิ่ง แต่ถ้อยคำคมกริบดั่งดาบทิ่ม
"เชิญคุณหนูออกมาให้เห็นหน้าหน่อยเถิด ข้าขอถามแค่คำเดียว ว่า... เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามีข้าติดโรคผื่นคันจากอี้จีในเมืองไปแล้ว? หากคืนนี้เจ้ายังแคล้วคลาดปลอดภัย เช่นนั้น... ถือว่าคุณหนูใหญ่โชคดียิ่งนัก!"
"เหตุใดฮูหยินต้องไปพูดกับนางดีขนาดนี้ ก็แค่สตรีเริงเมืองเท่านั้น"
เสียงหนึ่งแหลมบาดหูดังขึ้น ก่อนที่ผ้าม่านจะถูกกระชากออกอย่างไม่ปรานี โดยมือหญิงสามสี่คนที่แต่งตัวหรูหราแต่สายตาแวววาวไปด้วยเพลิงโทสะ
ทันทีที่ผ้าม่านคลุมเกี้ยวถูกเปิดออก ก็เผยให้เห็นร่างหญิงสาวผู้หนึ่งในสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าถลกหลุดรุ่ย แผ่นไหล่ขาวโพลนและลำคอที่มีรอยช้ำจาง ๆ ทำให้บรรยากาศหน้าจวนเหยียนเงียบงันลงชั่วครู่
เหยียนซูหนิงถูกกระชากลงจากเกี้ยวอย่างไร้เยื่อใย เส้นผมยุ่งเหยิง ผิวกายสะท้านสะเทือนทั้งเพราะความอับอายและพิษยาในร่างที่ยังหลงเหลือ นางพยายามจะพูด พยายามจะตะโกนปฏิเสธ แต่เสียงก็ขาดห้วง ลมหายใจสะดุดจนแทบทรุด
ใต้เท้าเหยียน เสนาคลังผู้รักษาหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อเห็นบุตรสาวคนโปรดในสภาพอัปยศถึงเพียงนี้ พลันหน้าซีดเผือดจนไม่เหลือสีเลือด มือสั่นเทา เข่าแทบทรุด สองตาเบิกโพลง น้ำเสียงติดขัดราวคนสิ้นคำจะกล่าว
"นี่มัน…บัดซบ!…เรื่องบัดซบอะไรกัน!"
บรรดาภรรยาทั้งหลายนำโดย ฮูหยินจง ต่างก่นด่าด้วยถ้อยคำสวยหรูแต่บาดลึกเฉียบคม
"บ่าวผู้น้อยอย่างข้าหาอาจเทียบบารมีคุณหนูเหยียนไม่...เพียงแต่ท่านพี่ของข้าใต้เท้าจง น่าจะมิรู้ว่าจะต้องมอบฐานะใดให้นางดี เพราะฮูหยินใหญ่ก็มีอยู่แล้วถึงสามคน อนุภรรยาที่ออกหน้าก็มีถึงเจ็ดคน ยังไม่ได้นับรวมกับที่ยังไม่แต่งตั้งอีก"
"เห็นที…จะต้องเป็นอนุลำดับที่สิบสามกระมังเจ้าคะฮูหยิน?" อนุภรรยาคนที่สองกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ชาวบ้านที่มามุงดูเริ่มหัวเราะขบขันอย่างเปิดเผย เสียงหนึ่งกล่าวลอย ๆ
"โอ้โฮ…ใต้เท้าจงผู้มากภรรยา เห็นทีคุณหนูเหยียนแต่งเข้าไป จะต้องต่อคิวรอปรนนิบัติสามีแล้วสิคราวนี้!"
"น่าอิจฉายิ่งนัก เกิดมาเป็นบุรุษที่มีสตรีห้อมล้อม ช่างใช้ชีวิตได้คุ้มค่ายิ่งนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เสียงหัวเราะขบขันดังกระหึ่ม ราวเสียงฝนกระหน่ำใจคนพ่าย เหยียนซูหนิง ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกค้าง น้ำตารื้นขอบขอบตา นางหันไปมองบิดาด้วยแววตาวิงวอน ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยรอยตะขิดตะขวงที่เอ่อล้น
"ทะ..ท่านพ่อ ได้โปรดฟังข้าก่อน"
ถ้อยคำอธิบายยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ร่างบางก็ทรุดฮวบลงไปบนลานหน้าจวน ราวกับถูกตัดเส้นชีพจรให้ขาดสะบั้น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนความมืดจะกลืนกินมีเพียงความอับอายไร้จุดจบ
ใต้เท้าเหยียนกำมือแน่นจนสั่นไปทั้งแขน แต่ก็ทำได้เพียงยืนค้างอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะซุบซิบนินทาที่ยิ่งทิ่มแทงกว่ามีดแหลม
ครั้นภรรยาจะถลาเข้าหาบุตรสาวแต่ก็ถูกสายตาดุดันของสามีห้ามเอาไว้ ทำให้ฮูหยินเหยียนที่รู้ตัวว่าตอนนี้ตำแหน่งของนางไม่มั่นคงแล้วจำต้องหยุดชะงักทันที
ท่านเสนาผู้เคยยืนหยัดเหนือหมื่นชน บัดนี้กลับเงยหน้าไม่ขึ้น ต้องยืนนิ่ง ปากเม้มแน่นก่อนจะกล่าวราวยอมจำนนต่อฟ้าดิน
"ในเมื่อเรื่องมันเลยเถิดไปถึงเพียงนี้…ก็ช่างเถิด... จงเต๋อผู้นั้นจะเอานางเป็นอนุหรืออะไรก็ตามใจเขา! นับแต่วันนี้ไปสตรีนางนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเหยียนอีก ปิดประตูจวน!"
คำพูดนั้นดังเหมือนฆ้องอัปยศตีลงบนศีรษะของบุตรสาวตนเอง ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในจวนโดยไม่หันกลับมาแม้แต่ครึ่งก้าว
บรรยากาศยังไม่คลี่คลาย ผู้คนยังคงยืนออกันอยู่แน่นริมถนน เสียงซุบซิบ เสียงหัวเราะกลั้ว เสียงบ่าวไพร่ที่ยกมือปิดปากแต่ดวงตาเป็นประกายขำขัน บ้างเอ่ยปากสงสาร บ้างก็สาปแช่งว่ากรรมสนองกรรม
เบื้องหลังฝูงชน รถม้าสีเข้มคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดอย่างเงียบงัน ผ้าม่านผืนหนาไหวเบา ๆ ลมเย็นพัดผ่านราวรู้ว่าความหายนะของอีกฝ่ายได้เริ่มขึ้นแล้ว
ชายหนุ่มในชุดสีดำล้วนเปิดม่านออกเพียงเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาคมปลาบประดุจพยัคฆ์จ้องเหยื่อ เสี้ยวหน้าใต้เงาไม้พลันยกยิ้มขึ้นอย่างเย็นเยียบ
"แค้นครานี้ ข้าชำระแทนเจ้าแล้ว...แมวน้อยของข้า!"
เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ทุ้มต่ำแฝงเย้ยหยันอย่างลุ่มลึก ราวกับเทพมารในคราบบุรุษผู้สูงศักดิ์ แววตาเฉยชาแฝงความสั่นไหวทุกครั้งเมื่อนึกถึงค่ำคืนนั้น ยิ่งตอนที่ร่างเล็กที่ไร้เรี่ยวแรงนั่นพยายามปีนป่ายขึ้นมาอยู่เหนือร่างกำยำของเขา หมายจะควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง..ช่างซุกซนยิ่งนัก
เสียงล้อรถม้าบดไถลกลับไปอย่างเงียบงันเช่นเดียวกับตอนมา ทิ้งไว้เพียงหมอกบาง ๆ จากยามบ่ายและความเงียบอันลึกล้ำที่ไม่มีใครทันสังเกต…