วันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในตลาดเมืองหลิงหยาง แสงอรุณยามเช้าสาดส่องลงมาอาบไล้หลังคาโรงเตี๊ยม "เหมยฮวา" ให้เป็นสีทอง หลี่มู่ไป๋ตื่นแต่เช้าตรู่ ฝึกกระบี่อยู่ในลานเงียบสงบหลังโรงเตี๊ยม ท่ามกลางสายลมที่พัดเอื่อยๆ เพลงกระบี่ของเขายังคงลื่นไหลราวสายน้ำ ไร้ที่ติและเปี่ยมด้วยพลัง ทว่าในใจเขายังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มู่หรงชิงสตรีผู้กล้าหาญและเฉลียวฉลาดผู้นั้น เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
หลังจากการฝึกฝน หลี่มู่ไป๋กลับเข้ามาในห้องพักและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางต่อ เขาตั้งใจจะออกไปสำรวจเมืองหลิงหยางให้ละเอียดขึ้น เพื่อค้นหาเบาะแสของเสนาบดีจ้าว และอาจจะหาโอกาสพูดคุยกับผู้คนในเมืองเพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม แต่เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องพัก เขาก็ต้องพบกับบุคคลที่ไม่คาดคิด
มู่หรงชิงยืนรออยู่หน้าห้องของเขาแล้ว นางสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ปักลายดอกเหมยเรียบง่าย แต่กลับขับให้ความงดงามของนางโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ดูอ่อนโยนและเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อวาน
“อรุณสวัสดิ์ ท่านหลี่อี้” มู่หรงชิงทักทายเสียงนุ่มนวล “ไม่ทราบว่าท่านกำลังจะออกไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
หลี่มู่ไป๋พยักหน้าเล็กน้อย “อรุณสวัสดิ์คุณหนูมู่หรง ข้ากำลังจะออกไปสำรวจเมืองนี้ เพื่อสืบหาข้อมูลบางอย่าง” เขาไม่ได้บอกรายละเอียดมากนัก แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเสียทีเดียว
“เช่นนั้น ท่านรังเกียจที่จะให้ข้าร่วมเดินทางไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”มู่หรงชิงเอ่ยถามตรงๆ ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างเปิดเผย “ข้าเองก็มีธุระที่จะต้องจัดการในเมืองหลิงหยางนี้ และข้าคิดว่าการเดินทางร่วมกัน อาจจะทำให้เราปลอดภัยจากพวกอันธพาลเมื่อวานนี้ได้ง่ายขึ้น”
หลี่มู่ไป๋ครุ่นคิดชั่วครู่ การร่วมเดินทางกับมู่หรงชิงอาจเป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งเขาอาจจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับปัญหาของตระกูลมู่หรง แต่ในอีกด้านหนึ่ง นางก็เป็นผู้ที่รู้จักเมืองหลิงหยางเป็นอย่างดี และอาจจะช่วยให้เขาเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง เขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่จะได้มีสหายร่วมทางเช่นนาง
“รบกวนคุณหนูมู่หรงแล้วขอรับ” เขาตอบรับสั้นๆ แต่นัยน์ตาฉายแววเห็นด้วย
ทั้งคู่จึงเริ่มต้นการเดินทางร่วมกันในเมืองหลิงหยาง มู่หรงชิงพาหลี่มู่ไป๋ไปยังร้านค้าต่างๆ ที่เป็นของตระกูลมู่หรง และแนะนำให้เขารู้จักกับผู้จัดการร้านแต่ละแห่ง นางแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการกิจการที่น่าทึ่ง ทั้งการพูดคุยกับพ่อค้า การตรวจสอบบัญชี และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หลี่มู่ไป๋สังเกตเห็นว่านางไม่ใช่เพียงบุตรสาวคหบดีที่เอาแต่ใจ แต่เป็นสตรีที่มีความสามารถรอบด้าน และยังเปี่ยมด้วยความเมตตาต่อพนักงานและชาวบ้านทั่วไป
ระหว่างทางมู่หรงชิงพยายามชวนหลี่มู่ไป๋พูดคุยมากขึ้น หลากหลายเรื่องราวถูกเอ่ยถึง ทั้งสภาพเศรษฐกิจในเมือง ข่าวสารบ้านเมือง และแม้กระทั่งเรื่องราวในยุทธภพ หลี่มู่ไป๋ก็ตอบคำถามของนางตามสมควร แต่ก็ยังคงเก็บงำเรื่องราวส่วนตัวและภูมิหลังที่แท้จริงเอาไว้มิดชิด เขาใช้ชื่อ "หลี่อี้" และอ้างว่าตนเองเป็นนักเดินทางพเนจรที่ออกท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝนวิชา
“ท่านหลี่อี้ ดูเหมือนท่านจะมีความรู้เรื่องยุทธภพเป็นอย่างดี” มู่หรงชิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่หยุดพักดื่มชาในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง “ข้าได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเงากระบี่เดียวดายที่มักจะปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ ไม่ทราบว่าท่านเคยพบเจอเขาบ้างหรือไม่”
หลี่มู่ไป๋ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าเพียงแค่ได้ยินชื่อเสียงของเขาเท่านั้น ไม่เคยพบเจอตัวจริง” เขาตอบอย่างใจเย็น แม้ในใจจะอดขำไม่ได้ที่เห็นชื่อของตนเองถูกกล่าวถึง
“ข้าเคยได้ยินว่าเขามีฝีมือกระบี่ที่ล้ำเลิศ และไม่เคยเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ใครเห็น ท่านคิดว่าเขาเป็นคนเช่นไร” มู่หรงชิงจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับต้องการจับผิดคำพูดของเขา
“เท่าที่ได้ยินมา เขาเป็นคนที่มีคุณธรรม ยึดมั่นในความถูกต้อง และไม่หวังสิ่งตอบแทน” หลี่มู่ไป๋ตอบตามความรู้สึกที่เขามักจะยึดถือเสมอ “ส่วนเรื่องใบหน้าบางทีอาจจะเป็นความลับที่เขาต้องปกป้องเอาไว้”
มู่หรงชิงพยักหน้าอย่างช้าๆ นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูดของเขา และรู้สึกว่าคำพูดนั้นอาจจะสะท้อนถึงตัวตนของเขาเองด้วยเช่นกัน แม้จะยังคงสงสัยในภูมิหลังของหลี่มู่ไป๋ แต่นางก็เริ่มที่จะเชื่อใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินผ่านย่านการค้าที่คึกคัก จู่ๆ ก็มีเสียงโวยวายดังขึ้นจากโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ เสียงนั้นเป็นเสียงของชายชราคนหนึ่งที่กำลังถูกชายฉกรรจ์สองสามคนรุมทำร้าย
“ส่งเงินค่าคุ้มครองมาให้หมด แกคิดจะเบี้ยวพวกข้าหรือไง” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งตะคอกใส่ชายชรา
“ข้าไม่มีแล้วขอรับ ท่านโปรดเมตตาด้วย” ชายชราวิงวอนเสียงสั่นเครือ
หลี่มู่ไป๋ขมวดคิ้ว “พวกอันธพาลอีกแล้วหรือ” เขากำลังจะก้าวเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถูกมู่หรงชิงคว้าแขนไว้
“ท่านหลี่อี้ โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” มู่หรงชิงกระซิบ “พวกนี้ไม่ใช่พวกอันธพาลทั่วไปเหมือนเมื่อวาน ข้าสงสัยว่าพวกมันอาจจะเป็นคนของ พรรคเมฆาโลหิต”
หลี่มู่ไป๋ชะงัก พรรคเมฆาโลหิต เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของพรรคนี้ มันเป็นพรรคอธรรมที่มีอิทธิพลมากในยุทธภพทางใต้ มีข่าวลือว่าพวกมันมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับราชสำนักบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ชายสาม ที่เขาเองก็กำลังสืบหาเบาะแสอยู่
“พรรคเมฆาโลหิตมีสาขามาถึงเมืองหลิงหยางได้อย่างไร” หลี่มู่ไป๋ถามเสียงเคร่ง
“ข้าเองก็กำลังสืบเรื่องนี้อยู่เจ้าค่ะ” มู่หรงชิงตอบ สีหน้าของนางดูจริงจัง “ตระกูลมู่หรงของเรามีกิจการอยู่ทั่วแคว้น และเราพยายามที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคอธรรมเหล่านี้ แต่ช่วงหลังมานี้ พรรคเมฆาโลหิตเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ของเรามากขึ้น และดูเหมือนพวกมันกำลังพยายามจะยึดครองกิจการค้าขายบางส่วน”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังปรึกษาหารือกัน ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็ใช้เท้าถีบชายชราจนล้มลง เลือดไหลซึมจากมุมปากของเขา
“ไม่ไหวแล้ว” หลี่มู่ไป๋ไม่อาจทนดูต่อไปได้อีกแล้ว เขาสะบัดแขนมู่หรงชิงออกเบาๆ และพุ่งตัวเข้าไปในโรงน้ำชาอย่างรวดเร็วราวกับเงา
“หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงของหลี่มู่ไป๋ก้องกังวานไปทั่วโรงน้ำชา ทำให้ทุกคนหันมามอง
พวกนักเลงของพรรคเมฆาโลหิตหันมาเผชิญหน้ากับหลี่มู่ไป๋อย่างไม่พอใจ พวกมันต่างถืออาวุธอยู่ในมือ ทั้งมีดสั้นและกระบองไม้
“แกเป็นใคร กล้าดียังไงมาเสือกเรื่องของพรรคเมฆาโลหิต”หัวหน้ากลุ่มนักเลงตะคอกใส่ หลี่มู่ไป๋
“ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นพรรคใด แต่การรังแกผู้อื่นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจยอมทนได้” หลี่มู่ไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น มือของเขากำกระบี่คู่ใจแน่น
นักเลงพรรคเมฆาโลหิตไม่รอช้า พวกมันกรูกันเข้ามาโจมตีหลี่มู่ไป๋พร้อมกัน หวังจะรุมจัดการเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่พวกมันประเมินฝีมือของหลี่มู่ไป๋ต่ำเกินไป เพลงกระบี่ของเขาพลิ้วไหวราวผีเสื้อ แต่เด็ดขาดราวใบมีดโกน เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของพวกมันได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ในพริบตา นักเลงหลายคนก็ล้มลงไปนอนร้องโอดโอยกับพื้น บางคนถูกกระบี่ในมือของหลี่มู่ไป๋ปัดอาวุธจนกระเด็นไปไกล บางคนถูกพลังลมปราณกระแทกจนกระอักเลือดออกมา
หัวหน้ากลุ่มนักเลงของพรรคเมฆาโลหิตเห็นท่าไม่ดี มันไม่คิดว่าจะมีคนที่มีฝีมือเช่นนี้อยู่ในเมืองหลิงหยาง มันพุ่งตัวเข้าไปหาหลี่มู่ไป๋อย่างรวดเร็ว หวังจะใช้มีดสั้นในมือแทงเข้าที่จุดตาย
แต่หลี่มู่ไป๋ก็เร็วกว่า เขาสะบัดกระบี่ออกไปเพียงครั้งเดียว ปลายกระบี่ของเขาไม่ได้สัมผัสโดนตัวหัวหน้ากลุ่มนักเลง แต่แรงลมปราณจากปลายกระบี่กลับปะทะเข้ากับตัวมันอย่างรุนแรง หัวหน้ากลุ่มนักเลงกระเด็นไปชนกับเสาไม้ในโรงน้ำชาจนเสียงดัง “โครม!” มันทรุดลงกับพื้น สลบแน่นิ่งไปในทันที
เพียงไม่กี่อึดใจ กลุ่มนักเลงของพรรคเมฆาโลหิตก็ถูกจัดการลงอย่างราบคาบ ชาวบ้านที่หลบซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ เริ่มทยอยกันออกมา พวกเขาจ้องมองหลี่มู่ไป๋ด้วยความตกตะลึงและเลื่อมใสในฝีมือยุทธ์อันเหนือชั้นของเขา
มู่หรงชิง เดินเข้ามาหาหลี่มู่ไป๋ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชื่นชมและแปลกใจ “ท่านหลี่อี้ ฝีมือของท่านเหนือกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก”
หลี่มู่ไป๋เก็บกระบี่เข้าฝัก “ไม่เป็นไรขอรับ คุณหนูมู่หรง”
“แต่การที่ท่านลงมือจัดการคนของพรรคเมฆาโลหิตเช่นนี้ อาจจะนำภัยมาสู่ท่านได้นะเจ้าคะ” มู่หรงชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “พรรคนี้มีอิทธิพลมาก และมักจะแก้แค้นอย่างสาสม”
“ข้าไม่กลัว” หลี่มู่ไป๋ตอบสั้นๆ "ความอยุติธรรมไม่ว่าที่ใด ข้าก็ไม่อาจทนมองดูได้" คำพูดของเขาหนักแน่นและจริงใจ จนมู่หรงชิงรู้สึกอบอุ่นในใจ
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ช่วยกันปฐมพยาบาลชายชราที่บาดเจ็บ และมู่หรงชิงยังได้มอบเงินชดเชยค่าเสียหายให้กับโรงน้ำชาและชายชราด้วย หลี่มู่ไป๋ยืนมองการกระทำของนางอย่างเงียบๆ เขาเห็นถึงความมีน้ำใจและความเมตตาของนาง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวเช่นนี้
การเผชิญหน้ากับพรรคเมฆาโลหิตในครั้งนี้ ทำให้หลี่มู่ไป๋ยิ่งเชื่อมั่นว่า องค์ชายสาม จะต้องอยู่เบื้องหลังการบงการพรรคอธรรมนี้อย่างแน่นอน เพราะการกระทำของพวกมันสะท้อนถึงความอำมหิตและความไร้คุณธรรมที่เขาสัมผัสได้จากข่าวลือเกี่ยวกับองค์ชายสาม
ในช่วงหลายวันที่เหลือในเมืองหลิงหยาง หลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิงยังคงร่วมเดินทางและทำกิจวัตรต่างๆ ด้วยกัน มู่หรงชิงพาเขาไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ของเมือง รวมถึงแหล่งข้อมูลลับบางแห่งที่นางสามารถเข้าถึงได้จากการเป็นบุตรสาวคหบดีใหญ่ หลี่มู่ไป๋ใช้โอกาสนี้ในการสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับเสนาบดีจ้าวอย่างระมัดระวังที่สุด และเขาก็เริ่มได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของอดีตขุนนางผู้นั้น ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่และกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
ระหว่างการเดินทางและการทำงานร่วมกัน หลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิงได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น มู่หรงชิงสังเกตเห็นว่าหลี่อี้เป็นคนสุขุม รอบคอบ มีความคิดลึกซึ้ง และมีคุณธรรมอย่างแท้จริง เขามักจะใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหามากกว่าการใช้กำลัง แม้จะมีฝีมือยุทธ์ที่ล้ำเลิศก็ตาม นอกจากนี้ เขายังมีความรู้รอบด้าน ทั้งการแพทย์ การอ่านตำรา และแม้กระทั่งการทำอาหารง่ายๆ ที่เขามักจะทำให้กินระหว่างการเดินทาง
ส่วนหลี่มู่ไป๋เขาก็ชื่นชมในความฉลาดเฉลียว ไหวพริบปฏิภาณ และความเด็ดเดี่ยวของมู่หรงชิง นางไม่ใช่เพียงสตรีที่งดงาม แต่ยังมีความสามารถในการบริหารจัดการ ความเป็นผู้นำ และมีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ นางเป็นดั่งแสงสว่างที่ช่วยนำทางเขาในยามที่ต้องเผชิญกับความมืดมิดในใจ
แม้หลี่มู่ไป๋จะยังคงเก็บความลับเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขาไว้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ มีช่วงเวลาที่ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างเปิดอก แบ่งปันความคิดและความรู้สึก แม้จะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่ลึกซึ้ง แต่ก็ทำให้พวกเขาเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
วันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งพักอยู่ริมลำธารนอกเมือง หลังจากเพิ่งผ่านการปะทะกับกลุ่มนักเลงของพรรคเมฆาโลหิตมาอีกครั้ง มู่หรงชิงหันมามองหลี่มู่ไป๋ด้วยแววตาที่จริงจัง “ท่านหลี่อี้ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน”
“เชิญคุณหนูมู่หรง” หลี่มู่ไป๋ตอบ
“ท่านมีเรื่องอะไรที่ปกปิดข้าอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านไม่ได้เป็นแค่นักเดินทางพเนจรธรรมดาใช่หรือไม่” คำถามของนางตรงไปตรงมาจนหลี่มู่ไป๋ต้องชะงัก
หลี่มู่ไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจในแววตาของนาง และรู้ว่าไม่อาจปกปิดนางได้ทั้งหมด แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
“ข้ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ต้องปกปิดตัวตน” เขาตอบเสียงแผ่วเบา “แต่ข้าขอรับรองว่า ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อคุณหนูมู่หรง หรือต่อตระกูลมู่หรง”
มู่หรงชิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเชื่อท่านเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร หรือมีเรื่องราวใดซ่อนอยู่ ข้าก็สัมผัสได้ว่าท่านเป็นคนดี และเป็นผู้มีคุณธรรม” นางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่หากวันใดที่ท่านพร้อม ข้าหวังว่าท่านจะเล่าให้ข้าฟังนะเจ้าคะ”
คำพูดของนางทำให้หัวใจของหลี่มู่ไป๋รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นี่คือครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามีใครบางคนเข้าใจเขามากขนาดนี้ และพร้อมที่จะเชื่อใจเขาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
หลังจากใช้เวลาอยู่ในเมืองหลิงหยางเกือบสิบวัน และได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเสนาบดีจ้าวแล้ว หลี่มู่ไป๋ก็ตัดสินใจว่าจะต้องออกเดินทางต่อไป เพื่อตามหาเบาะแสที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และตรวจสอบความปลอดภัยของเสนาบดีจ้าวด้วยตนเอง ส่วนมู่หรงชิงก็ต้องกลับไปจัดการกิจการของตระกูลที่เมืองหลวง
“ถึงเวลาที่เราจะต้องแยกจากกันแล้วนะเจ้าคะ ท่านหลี่อี้” มู่หรงชิงเอ่ยขึ้นในเช้าวันที่จะต้องจากกัน เสียงของนางแฝงด้วยความอาลัยเล็กน้อย
"ข้าต้องขอบคุณคุณหนูมู่หรงมาก ที่ร่วมเดินทางมากับข้า และช่วยข้าคลี่คลายสถานการณ์หลายอย่าง” หลี่มู่ไป๋กล่าวด้วยความจริงใจ เขาไม่เคยคิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้พบกับสหายเช่นนาง
มู่หรงชิงยื่นกำไลหยกสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งให้เขา “กำไลหยกนี้เป็นของที่ข้าพกติดตัวมาตลอด เป็นเครื่องรางนำโชคหากวันใดท่านมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดในแคว้นเหลียง ขอให้ท่านส่งข่าวมายังร้านค้าของตระกูลมู่หรงในเมืองนั้น แล้วข้าจะไปหาท่านให้เร็วที่สุด”
หลี่มู่ไป๋รับกำไลหยกมาไว้ในมือ มันเย็นเฉียบ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นในใจ “ข้าจะเก็บมันไว้อย่างดี ขอบคุณคุณหนูมู่หรง” เขาเก็บกำไลหยกไว้ในอกเสื้อใกล้หัวใจ ก่อนจะล้วงหยิบ ปิ่นปักผมไม้แกะสลักรูปมังกร ที่อาจารย์เคยให้เขาไว้เป็นเครื่องราง ออกมาจากอกเสื้อของตนเอง มันเป็นปิ่นที่ดูเรียบง่าย แต่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง และมีพลังบางอย่างแฝงอยู่
“ปิ่นปักผมอันนี้ อาจารย์ของข้าเคยให้ไว้” หลี่มู่ไป๋กล่าว “มันเป็นเครื่องรางนำโชคและเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่น ข้าขอมอบให้คุณหนูมู่หรง เพื่อเป็นเครื่องหมายว่า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด เราจะสามารถก้าวผ่านไปได้เสมอ”
มู่หรงชิงรับปิ่นปักผมมาไว้ในมือ ดวงตาของนางฉายแววซาบซึ้งใจ นางสัมผัสได้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของปิ่นอันนี้ และความผูกพันที่หลี่มู่ไป๋มีให้
“ข้าจะเก็บมันไว้อย่างดีเจ้าค่ะ ท่านหลี่อี้” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีกในเร็ววัน”
หลี่มู่ไป๋พยักหน้า เขาหันหลังกลับและเดินจากไปอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่รออยู่เบื้องหน้า มู่หรงชิงยืนมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ จางหายไปในความมืดมิดของยามเช้าตรู่ นางกำปิ่นปักผมไม้แกะสลักรูปมังกรไว้แน่นในมือ และภาวนาในใจให้พวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นขึ้นจากความเข้าใจผิดและม่านหมอกแห่งความลับ กำลังค่อยๆ ถักทอเป็นสายใยที่แน่นแฟ้นขึ้น ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือและการเผชิญหน้ากับอันตรายร่วมกัน ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นส่วนหนึ่งในโชคชะตาของกันและกันโดยไม่รู้ตัว และการจากลาในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ 65บทสรุปแห่งรักและการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้คลี่คลายปริศนาในอดีตของหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง และได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพรรคเงาอสูรแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจและวางแผนสำหรับอนาคตแม้ว่าตระกูลไป๋จะยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่ไป๋ซูเจินก็ไม่ได้ปรารถนางานแต่งงานที่หรูหราอลังการ สิ่งที่นางต้องการคือความเรียบง่ายและอบอุ่น และหลี่เทียนอี้ก็เห็นด้วยกับนางอย่างเต็มที่ด้วยความเห็นชอบจากประมุขไป๋ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบในภายหลัง และการจัดเตรียมงานของมู่หรงชิง งานแต่งงานเล็กๆ ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบแขกในงานมีเพียงคนสนิทและชาวบ้านที่รักใคร่ หลี่ฟงและเฒ่าจันทร์เองก็เดินทางมาร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และการอวยพรจากใจจริงของทุกคนไป๋ซูเจินในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา งดงามราวกับเทพธิดา นางเดินเข้ามาในลานบ้านที่ถูกประดับประดาอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม เคียงข้างหลี่เทียนอี้ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูสง
ตอนที่ 64การกลับบ้านในเมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง และที่สำคัญที่สุด คือการพาไป๋ซูเจินผู้เป็นที่รักกลับไปแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอบอุ่นในหัวใจของทั้งสองคนหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินออกเดินทางจากเมืองเหมันต์ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและอันตราย บัดนี้มันคือการเดินทางกลับบ้าน สู่ความสงบสุขและอ้อมกอดของครอบครัว แม้จะมีเรื่องราวหนักอึ้งในอดีตที่รอการคลี่คลาย แต่การได้อยู่เคียงข้างไป๋ซูเจินทำให้หลี่เทียนอี้รู้สึกเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งระหว่างทาง หลี่เทียนอี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบให้ไป๋ซูเจินฟังอย่างละเอียด เล่าถึงชีวิตที่เรียบง่าย การฝึกฝนวรยุทธ์ภายใต้การดูแลของบิดา และความรักความอบอุ่นที่มารดามอบให้ ไป๋ซูเจินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ นางรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง ผู้เป็นต้นแบบของคุณธรรมและความสามารถที่หล่อหลอมให้หลี่เทียนอี้เป็นบ
ตอนที่ 63ร่องรอยของอดีตหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการช่วยเหลือผู้คนและสร้างชื่อเสียงที่ดีงามในยุทธภพในฐานะ "คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม" หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองเหมันต์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ และความรักที่มั่นคงต่อกัน แต่โชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาให้เสมอ และในครั้งนี้ หลี่เทียนอี้กำลังจะได้เผชิญหน้ากับ ร่องรอยบางอย่างจากอดีตของพ่อแม่ ที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งที่ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพเมืองนี้อยู่เลย กลิ่นอายของปราณที่แข็งแกร่งและแฝงด้วยความเยือกเย็นบางอย่างที่อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย“ท่านหลี่เทียนอี้ ดูเหมือนเมืองนี้จะมีความพิเศษบางอย่างนะเจ้าคะ” ไป๋ซูเจินสังเกตเห็นท่าทีของเขา นางมีความละเอียดอ่อนและรับรู้ถึงพลังปราณบางอย่างได้ดีเช่นกัน“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นขอรับไป๋ซูเจิน” หลี่เทียนอี้ตอ
ตอนที่ 62บทบาทใหม่ในยุทธภพหลังจากความรักได้รับการยอมรับจากประมุขไป๋และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์ ณ เมืองจินหลิง ชีวิตบทใหม่ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เลือกที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมร่วมกัน นำวิชาความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาออกไปช่วยเหลือผู้คนในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล สร้างบทบาทใหม่ในฐานะ คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินไม่ได้รีบร้อนที่จะสร้างชื่อเสียงอันโด่งดัง หรือก่อตั้งสำนักใหญ่โตดุจสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันพวกเขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและมักถูกละเลยจากสำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นครั้งหนึ่ง พวกเขาได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างหนัก ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก“ท่านหลี่เทียนอี้ ชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนหนักมากเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเจินกล่าวด
ตอนที่ 61การยอมรับและเส้นทางที่เลือกหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองจินหลิง ที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินร่วมมือกันปกป้องเมืองจากเงื้อมมือของสำนักเงาดำ ความกล้าหาญและคุณธรรมของทั้งคู่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประมุขไป๋ผู้เป็นบิดาของไป๋ซูเจิน การกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การยอมรับความรักของทั้งคู่ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมาอย่างยาวนานหลังจากความสงบกลับคืนสู่เมืองจินหลิง ประมุขไป๋ได้เรียกหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินมาพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของจวน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือความไม่พอใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความนับถือและความสำนึกผิด“ท่านหลี่เทียนอี้” ประมุขไป๋เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก “ในวันนี้ ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเช่นไร”เขาถอนหายใจช้าๆ “ข้าเคยผิดพลาดที่มองคนแต่เพียงเปลือกนอก และดูถูกท่านด้วยฐานะอันต่ำต้อย” ประมุขไป๋เดินเข้าไปหาหลี่เทียนอี้ แล้ว โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านด้วยใจจริง ที่เคยดูหมิ่นท่านและทำให้ท่านกับบุตรสาวของข้าต้องเจ็บปวด”หลี่เที
ตอนที่ 60 บทพิสูจน์แห่งรักการกลับมาพบกันอีกครั้งที่เมืองจินหลิง ท่ามกลางสถานการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้ยืนยันความรู้สึกในใจของกันและกัน แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาที่สื่อถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าความรักของพวกเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงความรักที่สวยงาม การเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ความรักของตนเองและสิ่งที่ยึดมั่นร่วมกันหลังจากเหตุการณ์โจรป่าบุกโจมตี ประมุขไป๋ก็จำต้องยอมรับฝีมือและคุณธรรมของหลี่เทียนอี้ที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับหลี่เทียนอี้ในฐานะบุตรเขยของตระกูลไป๋ และยังคงยืนกรานที่จะให้ไป๋ซูเจินแต่งงานกับคุณชายหลินอยู่ดีหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิง“ท่านหลี่เทียนอี้” ไป๋ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อไม่ยอมรับท่าน…และท่านก็ยังคงต้องแต่งงานกับคุณชายหลิน”“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาดขอรับ” หลี่เทียนอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะพิ