เสียงอึกทึกครึกโครมจากตลาดด้านนอกโรงเตี๊ยม เหมยฮวาดึงหลี่มู่ไป๋ออกจากภวังค์ความคิด เขาวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา ดวงตาคู่คมทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นความอลหม่านที่กำลังปะทุขึ้นในเมืองหลิงหยาง กลุ่มนักเลงอันธพาลกำลังทำลายข้าวของและข่มขู่ชาวบ้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย หัวหน้ากลุ่มรูปร่างใหญ่โตส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด
“พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงมาสร้างความวุ่นวายที่นี่!” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจนและกังวาน ไม่ได้ตะโกน แต่กลับเปี่ยมด้วยอำนาจและออร่าที่น่าเกรงขามจนทำให้เสียงโหวกเหวกของตลาดพลันเงียบสงบลงชั่วขณะ
หลี่มู่ไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสนใจ เขามองตามเสียงนั้น และในที่สุด ก็ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาจากร้านผ้าไหมที่อยู่ไม่ไกล บุรุษผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มสนิท ปักลวดลายเมฆามงคลอย่างประณีต บ่งบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดา ใบหน้าคมคาย ผิวขาวผ่องราวหยก ดวงตาเรียวรีฉายแววเฉลียวฉลาดและสุขุมเกินวัย ผมดำขลับถูกรวบมัดอย่างเป็นระเบียบด้วยปิ่นหยกชั้นดี ออร่าของเขาดูสง่างามและเยือกเย็นในเวลาเดียวกัน เขาไม่ใช่คนในยุทธภพที่หลี่มู่ไป๋เคยพบเจอ แต่ดูเป็นผู้ดีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี และที่สำคัญ...เขาไม่ใช่บุรุษ!
นี่คือมู่หรงชิงบุตรสาวแห่งตระกูลมู่หรง หลี่มู่ไป๋จ้องมองนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่เพียงงดงามไร้ที่ติ แต่ยังเปี่ยมด้วยความกล้าหาญและสง่างามที่บุรุษทั่วไปยากจะเทียบเคียงได้
“นี่มันใครกัน! กล้าดียังไงมาขวางทางพวกข้า!” หัวหน้าอันธพาลที่ยังไม่ทันสังเกตว่าคู่กรณีคือสตรีตะโกนอย่างไม่พอใจ ใบหน้าหยาบกร้านของมันเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว
มู่หรงชิงก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกสองสามก้าว ดวงตาของนางจ้องมองหัวหน้าอันธพาลอย่างเยือกเย็น ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย “เมืองหลิงหยางแห่งนี้เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลมู่หรง หากพวกเจ้ายังคงทำตัวอันธพาลเช่นนี้ ข้าจะลงโทษพวกเจ้าแทนเจ้าเมืองเอง” เสียงของนางราบเรียบแต่กลับแฝงด้วยความกดดันที่ทำให้หัวหน้าอันธพาลรู้สึกขนลุก
หลี่มู่ไป๋ยืนอยู่ห่างๆ สังเกตการณ์อย่างเงียบงัน เขารู้สึกประหลาดใจกับความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวของนางที่กล้าเผชิญหน้ากับอันธพาลร้ายกาจเพียงลำพัง เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่มองไม่เห็นบางอย่างจากตัวนาง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่กำลังภายใน แต่เป็นอำนาจจากฐานะและสติปัญญา
“หึ! นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! เจ้าคิดว่าพวกข้าจะกลัวคำขู่ของเจ้าหรือไง!” หัวหน้าอันธพาลหัวเราะเยาะ ก่อนจะสั่งลูกน้อง “จัดการมันซะ! แย่งชิงของมีค่าบนตัวมันให้หมด!”
กลุ่มอันธพาลกรูกันเข้าหามู่หรงชิงอย่างรวดเร็ว หวังจะเข้าถึงตัวนางเพื่อปล้นชิง ทว่ามู่หรงชิงไม่ใช่สตรีบอบบางที่ไร้หนทางต่อสู้ นางมีวิทยายุทธป้องกันตัวในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ถึงขั้นยอดฝีมือ แต่ก็เพียงพอที่จะหลบหลีกการโจมตีของอันธพาลธรรมดาได้ นางพลิ้วตัวหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว มือเรียวบางตวัดพัดเหล็กที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมารับการโจมตี เสียง “เปรี้ยง!” ดังขึ้นเมื่อพัดเหล็กปะทะกับกระบองของอันธพาล ทำให้อีกฝ่ายถอยหลังไปหลายก้าว
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด มู่หรงชิงสามารถต้านทานการโจมตีของอันธพาลได้หลายคนพร้อมกัน แต่ก็ดูท่าว่าจะไม่อาจยันไว้ได้นานนัก เพราะพวกมันมีจำนวนมากกว่าและไม่มีศีลธรรมในการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้เน้นการทำร้ายใคร แต่เน้นการป้องกันตัวและการหลบหลีก
หลี่มู่ไป๋เห็นท่าไม่ดี เขารู้สึกว่าหากปล่อยไว้นางอาจจะตกอยู่ในอันตราย เขาตัดสินใจที่จะเข้าไปช่วย แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกไปนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง “นังหนูมู่หรง เจ้าบังอาจมาทำลายสินค้าของข้าได้อย่างไร”
ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม สวมชุดหรูหรา วิ่งออกมาจากร้านขายเครื่องประดับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มือของเขากำไม้หยกอันหนึ่งไว้แน่น และชี้ไปที่หลี่มู่ไป๋ด้วยความโกรธแค้น “เจ้าคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับนางใช่หรือไม่ เป็นคนที่พวกมันส่งมาทำลายกิจการของข้า”
หลี่มู่ไป๋ชะงัก เขาหันไปมองชายผู้นั้นด้วยความงุนงง เขาเพิ่งมาถึงเมืองนี้และยังไม่รู้จักใครเลย
“ท่านเจ้าของร้านหยาง ท่านเข้าใจผิดแล้ว บุรุษผู้นี้” มู่หรงชิงพยายามอธิบาย แต่นางถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“ไม่ต้องมาแก้ตัว ข้ารู้จักหน้าพวกเจ้าที่มาทำลายเมืองนี้ดี” ชายเจ้าของร้านหยางตะโกนด้วยความเดือดดาล “พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันกับที่มาข่มขู่ข้าเมื่อวานใช่หรือไม่”
ก่อนที่หลี่มู่ไป๋จะทันได้พูดอะไร อันธพาลคนหนึ่งที่หลบหนีจากการโจมตีของมู่หรงชิงไปได้ ก็ฉวยโอกาสพุ่งเข้าใส่หลี่มู่ไป๋จากด้านหลัง หวังจะใช้เขาเป็นตัวประกันหรือจัดการเขาเสีย
แต่หลี่มู่ไป๋ไม่ใช่คนที่จะถูกจู่โจมง่ายๆ เขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวราวสายฟ้า เขาหลบการโจมตีของอันธพาลได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะตวัดมือออกไปอย่างรวดเร็ว สะบัดแขนของอีกฝ่ายด้วยพลังที่มองไม่เห็น อันธพาลผู้นั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด กระเด็นไปชนกับแผงลอยข้างทางจนพังครืน
“หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำร้ายลูกค้าของข้า” เสียงของผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเหมยฮวาตะโกนขึ้น เขาเป็นชายชราผมขาวท่าทางใจดี ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความตกใจ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น และรู้ว่าหลี่มู่ไป๋ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอันธพาล
แต่คำพูดของเขาก็ไม่เป็นผล พวกอันธพาลที่เห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้ายก็ยิ่งโกรธแค้น พวกมันหันมาโจมตีหลี่มู่ไป๋พร้อมกันหลายคน ด้วยความรวดเร็วและไร้ความปรานี
หลี่มู่ไป๋ถอนหายใจ เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้ แต่ในเมื่อถูกเข้าใจผิดและถูกโจมตี เขาก็จำเป็นต้องป้องกันตัว มือขวาของเขาจับที่ด้ามกระบี่คู่ใจที่สะพายอยู่ด้านหลัง ดวงตาคู่คมฉายแววเยือกเย็น
“ท่านบุรุษผู้นี้ อย่าเพิ่งลงมือ” มู่หรงชิงตะโกนขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นหลี่มู่ไป๋กำลังจะชักกระบี่ออก นางสัมผัสได้ถึงพลังอันตรายที่แฝงอยู่ในตัวเขา และไม่อยากให้เกิดการสังหารหมู่ในเมืองนี้ “พวกมันมีจำนวนมาก ท่านกับข้า เราควรจะร่วมมือกัน”
หลี่มู่ไป๋ชะงัก เขาหันไปมองมู่หรงชิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางเป็นคนแรกในรอบสิบปีที่บอกให้เขาร่วมมือแทนที่จะหวาดกลัวหรือหนีหายไป
“ตกลง” เขาตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว ก่อนจะถอนกระบี่ออกจากฝัก แสงสีเงินวูบไหวสะท้อนกับแสงไฟจากโรงเตี๊ยม กระบี่ของเขานั้นเป็นกระบี่เหล็กธรรมดา ไม่ได้วิจิตรงดงามเหมือนพัดเหล็กของนาง แต่กลับแฝงด้วยกลิ่นอายของพลังที่น่าสะพรึงกลัว
หลี่มู่ไป๋ดุจเทพกระบี่ลงมาจุติ เพลงกระบี่ของเขาลื่นไหลราวสายน้ำ แต่คมกริบดุจน้ำแข็งยามเข้าประจันบาน ทุกการตวัด ทุกการแทง ล้วนแม่นยำและเด็ดขาด เขาไม่จำเป็นต้องฆ่าใคร แต่ก็สามารถจัดการพวกอันธพาลให้ล้มลงไปนอนร้องโอดโอยได้ในพริบตา วิชาตัวเบาของเขาว่องไวราวสายฟ้าฟาด เขาเคลื่อนที่ไปมาระหว่างกลุ่มอันธพาลอย่างคล่องแคล่ว จนพวกมันจับทิศทางไม่ได้ เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วบริเวณ เสียงกรีดร้องของอันธพาลที่ถูกจัดการดังขึ้นเป็นระยะๆ
มู่หรงชิงก็ไม่น้อยหน้า นางใช้พัดเหล็กเป็นอาวุธป้องกันตัวและตอบโต้ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ฝีมือจะไม่ถึงขั้นเทพกระบี่แบบหลี่มู่ไป๋ แต่นางก็มีไหวพริบและสติปัญญา นางคอยหลบหลีกและใช้จังหวะที่อันธพาลหันไปสนใจหลี่มู่ไป๋ในการโจมตีสวนกลับอย่างรวดเร็ว บางครั้งนางก็ใช้พัดตวัดใส่จุดอ่อนของพวกมัน หรือใช้ความเร็วในการแย่งชิงอาวุธจากมือพวกมัน และนั่นทำให้การร่วมมือกันของทั้งคู่สมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ
หัวหน้าอันธพาลเห็นลูกน้องล้มลงไปนอนกองกับพื้นทีละคน ก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว มันพุ่งเป้าไปที่มู่หรงชิง หวังจะจับนางเป็นตัวประกัน
“ระวัง” หลี่มู่ไป๋ตะโกนเตือน มู่หรงชิงหันกลับไปเผชิญหน้ากับหัวหน้าอันธพาลอย่างรวดเร็ว นางตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือ
“ไม่ต้องมาขัดขวางข้า” หัวหน้าอันธพาลคำราม ก่อนจะใช้กระบองใหญ่ในมือฟาดเข้าใส่มู่หรงชิงอย่างรุนแรง
มู่หรงชิงยกพัดเหล็กขึ้นป้องกัน แต่ด้วยแรงปะทะที่มหาศาล ทำให้นางถูกกระแทกจนเซถอยหลังไปหลายก้าว พัดเหล็กในมือหลุดกระเด็นไปตกไกลออกไป
ในชั่วพริบตานั้น หลี่มู่ไป๋ก็พุ่งเข้ามาถึงตัวหัวหน้าอันธพาลแล้ว กระบี่ในมือของเขาสั่นสะท้านเป็นเงา เพียงแค่ปลายกระบี่แตะต้องเพียงเบาๆ ที่ข้อศอกของหัวหน้าอันธพาล แรงปะทะที่มองไม่เห็นก็ทำให้แขนของมันกระตุกอย่างรุนแรง กระบองใหญ่ในมือหลุดจากมือกลิ้งไปกับพื้น หัวหน้าอันธพาลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มือของมันชาไปทั้งแขนราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
หลี่มู่ไป๋ไม่ปล่อยโอกาส เขาสะบัดกระบี่เข้าใส่หัวหน้าอันธพาลอีกครั้ง คราวนี้ปลายกระบี่จ่ออยู่ที่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ ใบหน้าของหัวหน้าอันธพาลซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว มันรู้สึกถึงลมเย็นๆ ที่ผ่านผิวหนังจากปลายกระบี่
“ไสหัวไปซะ อย่าได้กลับมาสร้างความวุ่นวายที่นี่อีก” เสียงของหลี่มู่ไป๋เย็นชาและทรงพลัง
พวกอันธพาลที่เหลือเห็นหัวหน้าของพวกตนถูกจับเป็นตัวประกันและถูกคุกคามด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ก็ไม่มีใครกล้าขยับ พวกมันต่างรีบถอยร่นและหนีหายไปในตรอกเล็กๆ อย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบและร่องรอยความเสียหาย
ผู้คนในตลาดที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ เริ่มทยอยกันออกมา พวกเขาจ้องมองหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิงด้วยความตกตะลึงและเลื่อมใส ทั้งคู่ยืนอยู่กลางตลาดท่ามกลางความเงียบงัน หลี่มู่ไป๋เก็บกระบี่เข้าฝักอย่างสง่างาม ในขณะที่มู่หรงชิงค่อยๆ เดินไปเก็บพัดเหล็กของนางที่ตกอยู่บนพื้น
มู่หรงชิงหันกลับมามองหลี่มู่ไป๋ ดวงตาคู่สวยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ตั้งแต่ความประหลาดใจ ความชื่นชม และความสงสัย นางไม่เคยเห็นใครที่มีฝีมือกระบี่ที่น่าทึ่งเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทางที่สงบนิ่งและสุขุมของเขาในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ทำให้เขายิ่งดูน่าค้นหา
“ท่านผู้กล้า ข้าต้องขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่านข้าคงไม่อาจจัดการพวกมันได้เพียงลำพัง” มู่หรงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ก็แฝงด้วยความสงสัยในตัวตนของเขา
หลี่มู่ไป๋พยักหน้ารับเล็กน้อย”ข้าเพียงแค่ช่วยในสิ่งที่ควรช่วยเท่านั้น” เขาไม่ได้บอกชื่อของตนเอง และยังคงรักษาระยะห่าง
“แต่ท่านข้าคิดว่าท่านเข้าใจข้าผิดตั้งแต่แรก” มู่หรงชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับชายอ้วนคนนั้นเลย”
“ข้ารู้” หลี่มู่ไป๋ตอบสั้นๆ “ข้าเพียงแค่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ”
มู่หรงชิงชะงักเล็กน้อย นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้ฉลาดเฉลียวและช่างสังเกตยิ่งกว่าที่นางคิดไว้ เขามีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน และนางรู้สึกว่ามีบางอย่างดึงดูดนางให้เข้าไปใกล้เขา
“ข้ามู่หรงชิงบุตรสาวแห่งตระกูลมู่หรง ข้าขอถามนามท่านผู้กล้าได้หรือไม่” นางเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ หวังว่าเขาจะบอกชื่อที่แท้จริงของตนเองบ้าง
หลี่มู่ไป๋ครุ่นคิดชั่วขณะ เขาไม่อาจบอกชื่อหลี่มู่ไป๋ได้ในตอนนี้ เพราะมันอาจนำมาซึ่งอันตรายแก่ตัวเขาและแก่นางเอง
“ข้าหลี่อี้ ขอรับ” เขาตัดสินใจใช้ชื่อปลอมที่ใช้ในยุทธภพตอบไป
มู่หรงชิงพยักหน้ารับ “หลี่อี้ข้าจะจดจำท่านไว้” ดวงตาของนางยังคงจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้ง ราวกับต้องการมองทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา
ความวุ่นวายในตลาดเริ่มสงบลง ชาวบ้านที่หวาดกลัวเริ่มกลับมาเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเดินเข้ามาหาทั้งคู่ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความขอบคุณ
“ขอบคุณท่านหลี่อี้ และคุณหนูมู่หรงมากขอรับที่ช่วยให้เมืองนี้ปลอดภัย” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมโค้งคำนับ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” มู่หรงชิงตอบ ก่อนจะหันไปมองหลี่มู่ไป๋อีกครั้ง “ท่านหลี่อี้ ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใดในเมืองหลิงหยางแห่งนี้? หรือท่านกำลังมองหาที่พัก”
หลี่มู่ไป๋รู้ดีว่ามู่หรงชิงกำลังพยายามสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวเขา แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เขาเพียงตอบไปตามความจริงครึ่งหนึ่ง "ข้าเดินทางมายังเมืองนี้เพื่อสืบหาข้อมูลบางอย่าง และกำลังมองหาที่พักพอดี"
“เช่นนั้น เหตุใดท่านไม่พักที่โรงเตี๊ยมเหมยฮวาของเราเล่าเจ้าคะ ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมือง และยังปลอดภัยจากการก่อกวนของอันธพาลพวกนั้นแล้วด้วย” มู่หรงชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มชวนมอง นางไม่ได้เพียงเสนอที่พัก แต่เหมือนจะเสนอการร่วมทางบางอย่าง
หลี่มู่ไป๋คิดในใจ การพักที่นี่อาจจะเป็นโอกาสดีในการสังเกตการณ์มู่หรงชิง และอาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองนี้ด้วยเช่นกัน
“เช่นนั้น ก็รบกวนคุณหนูมู่หรงด้วยขอรับ” หลี่มู่ไป๋ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
มู่หรงชิงยิ้มอย่างพึงพอใจในคำตอบของเขา นางรู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ลดลงไปจากตัวเขาเล็กน้อย และความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในตัวหลี่อี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ทั้งคู่เดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาของผู้คนในตลาดที่ยังคงมองมาด้วยความเลื่อมใส ปลายทางของโชคชะตากำลังนำพาทั้งสองมาพบกันในเมืองหลิงหยางแห่งนี้ ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความไม่ไว้วางใจ การเข้าใจผิด และการร่วมมือกันโดยบังเอิญ กำลังจะค่อยๆ ถักทอเป็นสายใยที่แน่นแฟ้นขึ้นในอนาคต
ตอนที่ 65บทสรุปแห่งรักและการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้คลี่คลายปริศนาในอดีตของหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง และได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพรรคเงาอสูรแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจและวางแผนสำหรับอนาคตแม้ว่าตระกูลไป๋จะยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่ไป๋ซูเจินก็ไม่ได้ปรารถนางานแต่งงานที่หรูหราอลังการ สิ่งที่นางต้องการคือความเรียบง่ายและอบอุ่น และหลี่เทียนอี้ก็เห็นด้วยกับนางอย่างเต็มที่ด้วยความเห็นชอบจากประมุขไป๋ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบในภายหลัง และการจัดเตรียมงานของมู่หรงชิง งานแต่งงานเล็กๆ ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบแขกในงานมีเพียงคนสนิทและชาวบ้านที่รักใคร่ หลี่ฟงและเฒ่าจันทร์เองก็เดินทางมาร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และการอวยพรจากใจจริงของทุกคนไป๋ซูเจินในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา งดงามราวกับเทพธิดา นางเดินเข้ามาในลานบ้านที่ถูกประดับประดาอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม เคียงข้างหลี่เทียนอี้ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูสง
ตอนที่ 64การกลับบ้านในเมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง และที่สำคัญที่สุด คือการพาไป๋ซูเจินผู้เป็นที่รักกลับไปแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอบอุ่นในหัวใจของทั้งสองคนหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินออกเดินทางจากเมืองเหมันต์ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและอันตราย บัดนี้มันคือการเดินทางกลับบ้าน สู่ความสงบสุขและอ้อมกอดของครอบครัว แม้จะมีเรื่องราวหนักอึ้งในอดีตที่รอการคลี่คลาย แต่การได้อยู่เคียงข้างไป๋ซูเจินทำให้หลี่เทียนอี้รู้สึกเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งระหว่างทาง หลี่เทียนอี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบให้ไป๋ซูเจินฟังอย่างละเอียด เล่าถึงชีวิตที่เรียบง่าย การฝึกฝนวรยุทธ์ภายใต้การดูแลของบิดา และความรักความอบอุ่นที่มารดามอบให้ ไป๋ซูเจินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ นางรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง ผู้เป็นต้นแบบของคุณธรรมและความสามารถที่หล่อหลอมให้หลี่เทียนอี้เป็นบ
ตอนที่ 63ร่องรอยของอดีตหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการช่วยเหลือผู้คนและสร้างชื่อเสียงที่ดีงามในยุทธภพในฐานะ "คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม" หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองเหมันต์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ และความรักที่มั่นคงต่อกัน แต่โชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาให้เสมอ และในครั้งนี้ หลี่เทียนอี้กำลังจะได้เผชิญหน้ากับ ร่องรอยบางอย่างจากอดีตของพ่อแม่ ที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งที่ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพเมืองนี้อยู่เลย กลิ่นอายของปราณที่แข็งแกร่งและแฝงด้วยความเยือกเย็นบางอย่างที่อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย“ท่านหลี่เทียนอี้ ดูเหมือนเมืองนี้จะมีความพิเศษบางอย่างนะเจ้าคะ” ไป๋ซูเจินสังเกตเห็นท่าทีของเขา นางมีความละเอียดอ่อนและรับรู้ถึงพลังปราณบางอย่างได้ดีเช่นกัน“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นขอรับไป๋ซูเจิน” หลี่เทียนอี้ตอ
ตอนที่ 62บทบาทใหม่ในยุทธภพหลังจากความรักได้รับการยอมรับจากประมุขไป๋และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์ ณ เมืองจินหลิง ชีวิตบทใหม่ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เลือกที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมร่วมกัน นำวิชาความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาออกไปช่วยเหลือผู้คนในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล สร้างบทบาทใหม่ในฐานะ คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินไม่ได้รีบร้อนที่จะสร้างชื่อเสียงอันโด่งดัง หรือก่อตั้งสำนักใหญ่โตดุจสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันพวกเขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและมักถูกละเลยจากสำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นครั้งหนึ่ง พวกเขาได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างหนัก ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก“ท่านหลี่เทียนอี้ ชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนหนักมากเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเจินกล่าวด
ตอนที่ 61การยอมรับและเส้นทางที่เลือกหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองจินหลิง ที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินร่วมมือกันปกป้องเมืองจากเงื้อมมือของสำนักเงาดำ ความกล้าหาญและคุณธรรมของทั้งคู่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประมุขไป๋ผู้เป็นบิดาของไป๋ซูเจิน การกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การยอมรับความรักของทั้งคู่ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมาอย่างยาวนานหลังจากความสงบกลับคืนสู่เมืองจินหลิง ประมุขไป๋ได้เรียกหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินมาพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของจวน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือความไม่พอใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความนับถือและความสำนึกผิด“ท่านหลี่เทียนอี้” ประมุขไป๋เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก “ในวันนี้ ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเช่นไร”เขาถอนหายใจช้าๆ “ข้าเคยผิดพลาดที่มองคนแต่เพียงเปลือกนอก และดูถูกท่านด้วยฐานะอันต่ำต้อย” ประมุขไป๋เดินเข้าไปหาหลี่เทียนอี้ แล้ว โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านด้วยใจจริง ที่เคยดูหมิ่นท่านและทำให้ท่านกับบุตรสาวของข้าต้องเจ็บปวด”หลี่เที
ตอนที่ 60 บทพิสูจน์แห่งรักการกลับมาพบกันอีกครั้งที่เมืองจินหลิง ท่ามกลางสถานการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้ยืนยันความรู้สึกในใจของกันและกัน แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาที่สื่อถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าความรักของพวกเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงความรักที่สวยงาม การเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ความรักของตนเองและสิ่งที่ยึดมั่นร่วมกันหลังจากเหตุการณ์โจรป่าบุกโจมตี ประมุขไป๋ก็จำต้องยอมรับฝีมือและคุณธรรมของหลี่เทียนอี้ที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับหลี่เทียนอี้ในฐานะบุตรเขยของตระกูลไป๋ และยังคงยืนกรานที่จะให้ไป๋ซูเจินแต่งงานกับคุณชายหลินอยู่ดีหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิง“ท่านหลี่เทียนอี้” ไป๋ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อไม่ยอมรับท่าน…และท่านก็ยังคงต้องแต่งงานกับคุณชายหลิน”“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาดขอรับ” หลี่เทียนอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะพิ