“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”
“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ
“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียที
สำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้
มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้
“ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”
“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน
“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”
“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
“เจ้ามันร้าย ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้า”
มู่หรงอี้หวายได้ฟัง ก็กลั้วหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวกับสหายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม อ่อนโยนลง “พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหอชื่นสุข”
“ไม่ต้องมาทำเป็นมีน้ำใจ ข้าน่ะชอบคุณหนูหลี่จริงๆ คราวนี้เจ้าหลีกทางให้ได้หรือไม่”
“มีประมูลสาวพรหมจรรย์ด้วยนะ ข้าจะจัดการให้”
“จะ...เจ้าเห็นข้าเป็นคนเยี่ยงไรกัน นางคณิกาหรือจะมาเทียบคุณหนูหลี่ผู้เพียบพร้อม”
“อืม งั้นข้าจะยกเหม่ยเหมยสาวใช้ต้นห้องของข้าให้เจ้าอีกหนึ่งคนด้วยก็ได้ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าอยากได้นาง”
แม้ข้อเสนอเหล่านี้จะดูน่าสนใจ แต่ด้วยศักดิ์ศรี เย่เทียนหลางจึงมิอาจรีบตอบตกลง
“มู่หรงอี้หวาย... ข้าเกลียดเจ้า”
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ถือว่าการเจรจาการค้าโดยสันติไม่เป็นผล” มู่หรงอี้หวายยุติการต่อรอง เขาละสายตาจากสหายและหันกลับมาดื่มสุราต่อด้วยท่าทีผ่อนคลาย
อากัปกิริยาราวกับไม่แยแสผู้ใดนี้ทำให้เย่เทียนหลางขุ่นเคือง
“จะ...เจ้า นี่มัน”
มู่หรงอี้หวายเหยียดยิ้ม “ทำไมเล่า เจ้าเสียดายหรือ แต่หมดเวลาต่อรองแล้ว”
“ขอถามสักคำเถิด เจ้าแค่หยอกเย้าข้า หรือว่าชอบคุณหนูหลี่จากใจจริง”
มู่หรงอี้หวายหันกลับมาสบตากับสหายด้วยอารามจริงจัง
“ข้าต้องการนาง”
เย่เทียนหลางขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นสหายจริงจังกับสตรีเช่นนี้มาก่อน จึงคาดเดาไปว่าคุณชายมู่หรงคงถูกศรรักปักอกเข้าให้แล้ว
“เอาเถิด ดูจากสายตาของนางเมื่อครู่ เจ้าทั้งสองคงเคยพบกันมาก่อนสินะ”
“ใช่” มู่หรงอี้หวายตอบสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากคู่สนทนาแม้แต่นิดเดียว
เย่เทียนหลางถอนหายใจ “ทำไมไม่พูดตรงๆ แต่แรกเล่า ข้าไม่แย่งคนรัก ของสหายหรอกนะ”
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้จริงจังเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอสาวงาม แต่ดูเหมือนข้าจะประเมินผิดไปสักหน่อย”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร ต่อให้พึงใจเท่าใดหากเป็นสตรีของสหายย่อมไม่ยื้อแย่ง”
“ขอบใจ”
“ดูเหมือนข้าจะต้องใช้สุราย้อมใจจริงๆ เสียแล้ว” เย่เทียนหลายกจอกสุราขึ้นดื่ม
“ข้าจะชดเชยให้ สตรีพรหมจรรย์สองคนเลยเป็นไร” มู่หรงอี้หวาย ยื่นข้อเสนออีกครั้งด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“แหม คุณชายมู่หรงช่างใจกว้าง ข้าเย่เทียนหลางขอสามได้หรือไม่”
“สอง” มู่หรงอี้หวายเอ่ยเสียงเย็น
“ก็ได้ ก็ได้ ผู้น้อยไม่โลภแล้ว” เย่เทียนหลางหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียดายคุณหนูหลี่
เสียงบรรเลงเพลงพิณแว่วหวาน เคล้าคลอบรรยากาศพารื่นรมย์ เมื่อการแสดงจบลง แขกเหรื่อทั้งหลายต่างปรบมืออย่างต่อเนื่อง
หลี่จื่อเหยายอบกายคำนับมารดา พลางยกยิ้มสะกดใจไปยังผู้ชม นางกล่าวคำขอบคุณด้วยเสียงดั่งระฆังแก้ว แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนในฝั่งสตรี
ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ชื่นชมคุณหนูหลี่ เหล่าคุณชายที่หมายตาต่างพูดคุยกับบิดาให้มาสู่ขอนางไปเป็นฮูหยินน้อย พวกเขาพากันแวะเวียนไปคารวะสุรานายท่านหลี่มิขาดสาย ส่วนหลี่เค่อนั้นก็เพียงรับไมตรีไปตามมารยาท เพราะเขามีปลาอ้วนนามมู่หรงอี้หวายอยู่ในกำมือแล้ว
รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้าคมสันตลอดเวลา เขารู้สึกว่าการลงทุนช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ฮูหยินผู้เฒ่าขอตัวกลับเรือนไปพักผ่อน เนื่องจากสุขภาพไม่ดีแล้ว ครั้นเห็นเจ้าของงานเลี้ยงไม่สามารถอยู่ต่อได้ บรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยกลับ ระหว่างนั้นมู่หรงอี้หวายจึงถือโอกาสเข้าไปคุยกับหลี่เค่อ
“นายท่านหลี่ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
“มีอันใดหรือคุณชายมู่หรง”
“ข้าสังเกตว่าท่านรับไมตรีจากทุกคน คงมิได้คิดบิดพลิ้วใช่หรือไม่”
“คุณชายมู่หรงไม่ต้องกังวล ข้าเป็นลูกผู้ชาย รับปากว่าจะยกเหยาเหยาให้ท่าน ย่อมต้องทำตามคำพูด”
“แต่ข้ามิเคยทำสัญญาปากเปล่ากับผู้ใด”
“คุณชายหมายถึงจะทำสัญญาลงนามหรือ”
“มันเป็นนิสัยส่วนตัวของข้า เพราะลมปากเชื่อถือมิได้”
“เช่นนั้นคุณชายมู่หรงเชิญตามมาที่ห้องทำงานของข้า เราจะได้ร่างสัญญากัน”
หลี่เค่อสาวเท้าไปตามทางเดินสู่ห้องทำงานในเรือนหลัก เขาอดลอบยิ้มในใจมิได้ มู่หรงอี้หวายคงหลงรักน้องสาวเขาหัวปักหัวปำ ถึงขนาดต้องร่างสัญญายินยอมให้แต่งงานเพื่อผูกมัดนางเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งง่ายดายสำหรับการเรียกสินสอดจำนวนมหาศาล
‘ปลาตัวนี้ทั้งอ้วน ทั้งโง่ ร้านค้าตระกูลหลี่รอดพ้นวิกฤตแน่แล้ว’
ราตรีนี้จึงจบลงด้วยต่างคนต่างบรรลุเป้าหมาย หลี่เค่อได้เหยื่อเป็นปลาตัวใหญ่ ส่วนมู่หรงอี้หวายได้สัญญาแต่งงานกับกระต่ายน้อยอย่างหลี่จื่อเหยา
ตามกฎหมายของแคว้นหาน หากต้องการสู่ขอหญิงสาวจากตระกูลใด ต้องมีของกำนัลมามอบให้ ถ้าถูกปฏิเสธจะไม่สามารถเรียกร้องขอคืนได้ ดังนั้นการสู่ขอจึงเป็นเรื่องที่ทุกตระกูลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้มีโอกาสจะลงทุนอย่างสูญเปล่าก็ตามที แต่ชาวแคว้นหานกลับมีความเชื่อว่ายิ่งให้ของล้ำค่ามากเท่าใด ก็แสดงว่าจริงใจต่อหญิงสาวมากเท่านั้นหลังจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า บ้านสกุลหลี่ก็มีแม่สื่อมาเยือนไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมถือของล้ำค่ามาด้วย ทำให้หลี่เค่ออารมณ์ดีติดต่อกันมาสามวันแล้วแรกเริ่มเดิมทีนายท่านหลี่หวังว่าจะมีผู้สนใจเป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวประมาณห้าหกคน แต่ผู้ที่ต้องการได้หลี่จื่อเหยาไปเป็นภรรยานั้นมีมากเกินความคาดหมาย นับจากวันเกิดมารดา ก็มีแม่สื่อมาดำเนินการสู่ขอนางมากถึงยี่สิบห้าคน เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหลี่ได้ของล้ำค่ามากถึงยี่สิบห้าชิ้นช่างบรรจวบเหมาะยิ่งนักหลี่เค่อได้ถอนทุนคืนจากการจ้างแม่สื่อฟง รวมไปถึงค่าเครื่องประทินผิวอย่างดีสำหรับดูแลความงาม และผิวพรรณของหลี่จื่อเหยาด้วยแม้จะฉวยโอกาสในการหาทรัพย์สินเข้าคลังของตระกูล แต่ความจริงเขาก็รักหลี่จื่อเหยามากเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางม
วันรุ่งขึ้นหลี่เค่อเรียกน้องสาวมาพบ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าอมทุกข์ เขาก็รู้สึกโกรธมู่หรงอี้หวายขึ้นมาทันที จึงบอกเรื่องที่ตนตั้งใจจะไปฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับคุณชายมู่หรง แต่หลี่จื่อเหยาขอร้องให้พี่ชายคลายโทสะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่ความดีที่บุรุษผู้นั้นได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกเรื่องที่คิดได้เมื่อคืนว่า อาจจะเป็นประมุขตระกูลที่ไม่เห็นชอบกับบุตรชาย เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ควรเข้าใจความจำเป็นของเขาหลี่เค่อถอนหายใจยาว ที่น้องสาวเขาพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างหากตนไปฟ้องร้อง ก็เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลใหญ่ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้เอาเวลาไปเตรียมจัดงานมงคลจะดีกว่า“น้องพี่อย่าได้เสียใจไปเลย ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ สนใจเจ้าเสียเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ มีตั้งยี่สิบหกคนแน่ะ”“จริงหรือพี่ใหญ่ ทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น น้องแค่เล่นพิณเพลงเดียวเองนะเจ้าคะ” นางรู้สึกตกใจจริงๆ“เด็กโง่ ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ชายใดได้เห็นย่อมต้องพึงใจเป็นธรรมดา”“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่าผู้ใด”“น้อยไปสิ ขนาดคุณชายมู่หรงถึงกับลืมตนกินเต้าหู
ตะวันเคลื่อนคล้อยสาดแสงสีส้มตกกระทบหลังคากระเบื้องจนเปล่งประกายร้านค้าแผงลอยต่างทยอยเก็บข้าวของตามปกติดั่งเช่นทุกวัน ผู้คนที่สัญจรจอแจในช่วงกลางวันเริ่มบางตาลงทุกขณะ ในที่สุดนายท่านหลี่ก็กลับมาจากการตกปลาอ้วนพีสามตัว บ่าวไพร่ต่างลงความเห็นว่าผู้เป็นนายน่าจะต่อรองการค้าได้กำไรเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลงจากรถม้า จนกระทั่งเข้ามาในร้านเขายิ้มกว้างตลอดเวลาหลี่เค่อรีบให้คนไปตามน้องสาวมาพบ จากนั้นก็นั่งรอนางในห้องทำงานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพอหลี่จื่อเหยาเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วแลเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็คาดเดาได้ถึงผลการเจรจา“เหยาเหยารีบมานั่งเร็วเข้า” หลี่เค่อเร่งเร้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือประมาณหลี่จื่อเหยาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้สนขัดมันตัวใหญ่“หากให้น้องสาวเดา เกรงว่าจะมีคนยอมรอคำตอบรับสามเดือนใช่หรือไม่”“แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความใจดีมีเมตตาของตัวเจ้าเองด้วย”“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ทำไมความใจดีของข้าจึงเกี่ยวข้องกับผลการเจรจาได้เล่า”“เมื่อสองเดือนก่อนเจ้าได้ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ใช่หรือไม่”คิ้วสวยได้รูปขมวดเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าค่ะ ยา
เวลาติดปีกโบยบินเข้าสู่เหมันตฤดู ความหนาวเหน็บส่งผลให้หิมะแรกของฤดูตกลงมา ดอกไม้โรยราร่วงหล่น กิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ไม่เหลือใบให้ชื่นชม มีเพียงดอกเหมยเท่านั้นที่ยังส่งกลิ่นหอมท้าทายความทารุณนี้หลี่จื่อเหยายืนอยู่บนสะพานเหนือสายน้ำที่เคยเกือบปลิดชีวิตนาง สายลมโชยปะทะร่างบอบบางจนสะท้านไหว ความหนาวเหน็บดังเข็มเล่มเล็กคอยทิ่มแทง บาดผิวขาวจนเป็นรอยแดง ภายนอกต้องอดทนกับความทรมาน แต่ภายในหัวใจนาง กลับรวดร้าวยิ่งกว่าร้อยเท่าพันทวีสามเดือนที่ผ่าน หลี่จื่อเหยาเฝ้ารอมู่หรงอี้หวายด้วยความหวัง นางเชื่อมั่นว่าเขาจะมาสู่ขอตามคำสัญญา แต่ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมในคราแรกกลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปตามข้อจำกัดของเวลาอันใกล้หมดลงทุกขณะ จนในที่สุดความฝัน ทั้งหมดก็พังทลายราวกับเกล็ดน้ำค้างที่ละลายหายไปบนฝ่ามือวันนี้ถือเป็นวันสิ้นสุดสัญญาแต่งงาน เท่ากับคุณชายมู่หรงและนางสิ้นวาสนาต่อกันแล้ว หลี่จื่อเหยาทอดสายตาอาลัยไปบนผืนน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเยื้องกรายกลับไปยังบ้านสกุลหลี่เพื่อรอการสู่ขอของคุณชายเย่เทียนหลางเพื่อไม่เป็นการประมาท หลี่เค่อรอให้ผ่านพ้นไปอีกสามราตรี จึงค่อยส่งจินหูไปแจ้งข่าวดีแก่นายท่านใหญ่ตร
ตามธรรมเนียมวันเจรจาสู่ขอว่าที่เจ้าสาวสามารถนั่งอยู่ภายในห้องนั้นได้ เพียงแต่ต้องใช้ฉากกั้นเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าก่อนถึงวันวิวาห์หลี่จื่อเหยาได้แต่พยายามปลอบใจตนเองว่าวันข้างหน้าจะมีความสุขได้ การเกิดเป็นสตรี ต้องถือสามคุณธรรมสี่จรรยา นางไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่พี่ชายและมารดาเลือกให้ ทำได้แค่เพียงยอมรับชะตากรรมอยู่หลังฉากกั้นเงียบๆเมื่อเย่เทียนหลางปรากฏกาย นัยน์ตาดุจกวางน้อยจึงเพ่งไปยัง ฉากกั้นเบื้องหน้า เนื่องจากวันเกิดของมารดานั้นจิตใจและสายตาของนางส่งไปยังคุณชายมู่หรงแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ไม่อาจรู้ว่าที่แท้แล้วคุณชายเย่หน้าตาเป็นเช่นไรถึงแม้รูปเหมือนของเขาในประวัติที่แม่สื่อส่งมาให้นั้นจะบ่งบอกว่าเขาหล่อเหลาเอาการ แต่ภาพวาดหรือจะสู้ของจริงม่านโปร่งแสงทำให้นางแลเห็นเพียงเงาสลัวรางของเย่เทียนหลางเท่านั้น กิริยาสุภาพ น้ำเสียงทุ้มกังวาน รวมไปถึงรูปร่างก็จัดว่าเป็นบุรุษกำยำแข็งแรง ความมั่นอกมั่นใจในตนเองฉายชัดยามปราศรัย ด้วยลักษณะอันดีเหล่านี้ ทำให้หลี่จื่อเหยาพอจะทำใจได้หากต้องแต่งเป็นสะใภ้ตระกูลเย่‘หวังว่าเขาจะดีกับข้า หากเป็นเช่นนั้น ในวันหนึ่งข้าก็คงจะสามารถลืม คุณชายมู่หรงได
แม้เสียงจะเบาและสั่นเครือปานใด แต่กลับดังกังวานอยู่ในโสตไม่จางหาย มู่หรงอี้หวายชะงักงันไปชั่วขณะ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน คำตอบถูกส่งออกมาจากริมฝีปากที่เคยครอบครอง ทว่าคำตอบนี้กลับบาดลึกสู่กลางใจ“ได้ยินแล้วหรือไม่ หวังว่าคุณชายจะเลิกดื้อดึง” หลี่เค่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีแววเย้ยหยันความจริงเขาก็เสียดายปลาอ้วนตัวนี้ไม่น้อย แต่หากจะพูดเรื่องความเหมาะสม น้องสาวของเขาน่าจะเหมาะกับเย่เทียนหลางมากกว่า การไปอยู่คฤหาสน์ตระกูลมู่หรง นางอาจจะอึดอัดกับธรรมเนียมอันเคร่งครัด ต่างจากตระกูลเย่ที่เป็นกันเอง“อืม แต่ก่อนจากไป ข้าขอพูดคุยกับนางเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่” มู่หรงอี้หวายส่งสายตาขอร้องไปยังหลี่เค่อ“ย่อมได้ แต่คงให้พบหน้ามิได้ นางกำลังจะออกเรือนแล้ว หวังว่า คุณชายมู่หรงจะเข้าใจ”“ข้าเข้าใจ”มู่หรงอี้หวายรับคำแล้วสาวเท้าไปยังหน้าฉากกั้น ผ้าโป่รงแสงทำให้เห็นเงาร่างของสตรีที่กำลังนั่งอยู่อีกฝั่ง ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ภาพความทรงจำยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงทว่าไม่อาจดื้อดึงอีกต่อไป สิ่งสุดท้ายที่ทำได้เหลือเพียงเอ่ยคำลา“ไม่ต้องกังวลใจ เจ้าไม่ผิดอันใดทั้งสิ้น เป็นข้าทั้งนั้นที่ไ
โดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดหลี่จื่อเหยาวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เสี่ยวจูเห็นนายหญิงวิ่งออกไปทั้งที่ไม่ได้สวมเสื้อคลุม ก็รีบคว้าร่มและชุดคลุมกันลมแล้ววิ่งตามออกไปเช่นกันหลี่เค่ออ้าปากค้าง ทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ เป็นเย่เทียนหลางที่ได้สติก่อนผู้ใด เขาจึงทะยานตามสองนายบ่าวออกไปในทันที เย่หลวนคุนได้แต่ส่ายศีรษะ ก่อนส่งสัญญาณให้หลี่เค่อตามเขาออกไปหลี่จื่อเหยาวิ่งฝ่าสายลมหนาวโดยไม่สนใจสิ่งใด หัวใจของนางเต้นรัว ราวกับลั่นกลอง ขาทั้งสองออกแรงทะยานไปบนถนนศิลาที่ทั้งเปียกทั้งลื่น เป้าหมายคือสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออก‘หากต้องการทดแทนบุญคุณ เจ้าก็จงใช้ลมหายใจที่ข้ามอบให้อยู่ต่อไป อย่างมีความสุขเถิด ลาก่อนคุณหนูหลี่’ หลี่จื่อเหยากังขา คำพูดประโยคนี้คือคำสั่งเสียของเขาใช่หรือไม่‘มู่หรงอี้หวาย ข้าขอโทษ ได้โปรดอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ’สะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกมู่หรงอี้หวายรู้สึกวูบโหวงและปวดร้าว ความผิดหวังนำทางเขามายังสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกโดยไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาจนถึงกลางสะพานขาทั้งสองพลันหยุดชะงัก นัยน์ตาหงส์ไร้ซึ่งวิญญาณทอดมองออกไปยังพื้นน้ำอันถูกฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งอย่างเหม่อลอย ความทรงจำไ
‘ช่างเถอะ ข้าคงดูคนผิดไป พี่ชายนางเลวร้ายถึงเพียงนั้น เชื้อก็คงไม่ทิ้งแถวกระมัง’ลมหายใจร้อนกระทบกับอากาศจนกลายเป็นควันจางๆ แต่หลี่จื่อเหยายังคงเร่งฝ่าเท้าเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็ว สะพานสีแดงอยู่ไม่ไกลแล้วนางพยายามเพ่งมองเพื่อหาใครบางคน ในที่สุดก็พบเงาร่างอันคุ้นตาในชุดคลุมกันลมสีดำตัดกับชุดขี่ม้าสีขาว ชายหนุ่มยืนอยู่กลางสะพานกำลังทอดสายตามองพื้นน้ำแข็งอยู่เงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นกลับเหลือเพียงความเศร้าหมอง‘ให้ตายเถอะ ข้ามีค่ามากพอให้ท่านสละชีวิตหรือ’ ในที่สุดหลี่จื่อเหยาก็มาถึงเชิงสะพานข้ามคูฝั่งตะวันออก นางจึงผ่อนฝีเท้า แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่มผู้กำลังยืนเหม่อลอยมู่หรงอี้หวายที่กำลังเท้าแขนอยู่บนราวสะพานพลันหยัดตัวขึ้น ทำท่าเหมือนพร้อมจะพุ่งไปข้างหน้าตลอดเวลา นางเห็นแล้วใจหายวาบจึงร้องตะโกนออกไปโดยไม่ทันคิด “ช้าก่อน!”มู่หรงอี้หวายผินหน้าไปมองยังที่มาของเสียง ก็เห็นหลี่จื่อเหยากำลังก้าวเข้ามา เนื้อตัวนางเปียกชื้นจากการวิ่งฝ่าหิมะโดยไม่ใส่ชุดคลุมกันลม ร่างระหงสั่นเทาจากความหนาวเย็น“คุณหนูหลี่?”“คุณชายมู่หรง จื่อเหยาไม่มีค่าให้ท่านสละชีวิต ได้โปรดออกมาจากต
ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เทียนหลางค่อยถอยออกห่างจากสตรีที่หยุดร้องไห้ เขาลงจากเตียงแล้วสาวเท้าออกไปรอที่หน้าห้องเมื่อไม่มีบุรุษอยู่ด้วย หลี่จื่อเหยาก็พยายามจัดอาภรณ์ให้ดีที่สุด โชคดีที่ชุดตัวนอกเพียงถูกถอดออกไป นางจึงสามารถเก็บซ่อนรอยขาดวิ่นของอาภรณ์ชั้นในได้บ้างครั้นแต่งกายจนเรียบร้อยที่สุดแล้ว นางจึงเยื้องกรายตามบุรุษในชุดขี่ม้าไปที่ด้านนอกเย่เทียนหลางที่ยืนรออยู่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ไม่น่าเชื่อว่าความปรานีของเขาจะทำให้ความรู้สึกหวาดหวั่นทั้งหลายของนางทุเลาลงจนแทบจะหมดสิ้น ครานี้เหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือยามที่มู่หรงอี้หวายรู้ว่านางถูกบุรุษอื่นเห็นเรือนกายของตนไปเสียแล้ว เขาจะยังต้องการว่าที่เจ้าสาวคนนี้อยู่อีกหรือไม่ระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังคิดวุ่นวาย บุรุษในชุดขี่ม้าสีน้ำตาลก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้นาง“ที่นี่ห่างไกลจากจุดที่รถม้าถูกทิ้งไว้ เช่นนั้นคงต้องขอล่วงเกินเจ้าอีกครั้งแล้ว”หลี่จื่อเหยาพอเดาออกว่าเขาจะทำสิ่งใด ครั้นจะปฏิเสธก็คงเสียเวลาหากต้องเดินย่ำไปบนหิมะที่ทั้งเปียกและลื่น อีกอย่างนางก็เชื่อว่าเย่เทียนหลางเป็นสุภาพบุรุษ เขาย่อมไม่ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากก
เย่เทียนหลางไม่เสียเวลาพูดพร่ำ ก็ทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจก็ถึงตัวชายชุดดำ มือขวาตวัดดาบเชือดเฉือนลงบนร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล โจรร้ายพอมีวิชาจึงหลบการโจมตีจุดตายได้อย่างหวุดหวิด ครั้นเห็นบุรุษในชุดสีน้ำตาลเป็นผู้มีวรยุทธ์์สูงล้ำก็เริ่มมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด“เจ้าเก่งมากที่ทำให้ข้าเลือดตก ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์์คือผู้ใดหรือ”“ข้าคือเย่เทียนหลางแห่งสำนักคุ้มภัย รู้แล้วก็จำไปบอกยมบาลด้วยว่า ใครสังหารเจ้า”“ยะ...เย่เทียนหลางหรือ” ชายชุดดำละล่ำละลัก น้ำเสียงอ่อนลงด้วยความหวั่นเกรง“ต้องให้พูดซ้ำหรือ” เย่เทียนหลางยิ้มเยาะ แต่กลิ่นอายสังหารยังไม่ลดน้อยถอยลงเลยพอได้ยินว่าบุรุษตรงหน้าคือทายาทสำนักคุ้มภัยตระกูลเย่อันเลื่องลือ โจรราคะก็มีท่าทางหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก มันไม่คิดจะต่อกรกับอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้วมือหนาล้วงระเบิดควันออกมาแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างรวดเร็ว ห้องทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยกลุ่มควัน แล้วชายชุดดำก็อาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไปทางหน้าต่าง“บัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า” เย่เทียนหลางกัดฟันกรอด พลางสบถอย่างเดือดดาล แล้วทำท่าจะกระโดดตามออกไป“ช้าก่อน” เสียงสั่นเครือของหลี่จื่อเหยาดัง
ร่างบางวิ่งต่อไปอย่างทุลักทุเลด้วยความหวังสองเท้าย่ำลงไปบนหิมะที่ทั้งหนาและเย็นเฉียบ ความเหนื่อยล้าทำให้ความเร็วในการก้าวเท้าลดน้อยถอยลง๔หลี่จื่อเหยาเริ่มหอบ ลมหายใจกระทบอากาศเย็นจนกลายเป็นควัน ร่างบางไม่อาจฝืนได้อีก นางจึงหันกลับไปมองทางที่ตนเพิ่งผ่านมา เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดติดตามจึงผ่อนฝีเท้าลงความจริงนางควรจะดีใจ แต่เมื่อคิดว่าคนร้ายทั้งสามอาจจะตามเสี่ยวจูไป จึงไม่อาจยินดีได้ มีทางเดียวคือต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วตามคนมาช่วยสาวใช้คนสนิทให้จงได้หญิงสาวเดินต่อไปไม่ถึงร้อยเชียะความหวังก็ดับวูบ เมื่อหนึ่งในกลุ่มโจรขวางทางอยู่ หลี่จื่อเหยาแทบร้องไห้ แต่น้ำตายังไม่ทันหยด ร่างบางก็ถูกคนตัวใหญ่ในชุดสีดำจับตัวเอาไว้ เขาตวัดแขนนำหลี่จื่อเหยาขึ้นพาดบ่า แล้วทะยานกลับไปยังทิศทางที่นางเพิ่งจะผ่านมาอย่างยากลำบากด้วยความเร็วลมหนาวบาดผิว แต่ความสิ้นหวังบาดหัวใจยิ่งกว่าในที่สุดชายชุดดำก็พาหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายกลับมาถึงกระท่อมหลังเก่า เขาสาวเท้าตรงไปข้างใน และครานี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ห้องด้านนอก ร่างสูงกำยำตรงดิ่งไปยังห้องนอน ครั้นถึงที่หมายก็วางหญิงสาวลงบนเตียงแข็งกระด้างความหวาดกลัวพุ่งขึ้นถึ
คณะเดินทางเคลื่อนที่ไปได้อีกสี่ลี้ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เบื้องหน้าปรากฎคนสวมชุดดำ ปิดหน้าตาสามคนถือดาบกระโดดออกมาจากชายป่าขวางเส้นทางเอาไว้หนึ่งในนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นมาบนรถม้าแล้วแย่งบังเหียนจากคนขับ ส่วนชายชุดดำอีกคนก็ตรงไปจัดการคนขับเกวียน รถม้าถูกบังคับให้หยุดลงกลางคัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วเสียงเอะอะ จากภายนอกทำให้หลี่จื่อเหยานั่งกอดกับเสี่ยวจูด้วยความหวาดกลัว ฉับพลันที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นบุรุษตัวใหญ่ในชุดสีดำก้าวเข้ามา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็คว้าตัวเสี่ยวจูแล้วลากออกไปส่งให้พรรคพวกอีกคนที่รอท่าอยู่ เสียงกรีดร้องตกใจ ของหญิงสาวทั้งสองคนกลับเรียกเสียงหัวเราะน่ารังเกียจจากโจรร้าย“ปล่อยพวกข้าไปเถิด หากต้องการเงินทอง ข้าจะนำของมีค่าที่ติดตัวมาให้เจ้าทั้งหมด” หลี่จื่อเหยาพยายามต่อรองทั้งที่หวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก นางคว้าถุงเงินแล้วโยนไปตรงหน้าโจร ชายชุดดำก้มลงเก็บถุงเงินแล้วโยนเล่นก่อนจะเก็บเข้าไปที่ข้างเอว“แน่นอนว่าข้าอยากได้เงิน แต่จะดีสักเพียงใดถ้าได้คุณหนูคนงามมากอดกกด้วย” ชายชุดดำกลั้วหัวเราะพร้อมเดินย่างสาม
“วันนี้เราอาจจะจัดเตรียมให้ไม่ทัน ทางร้านขอนัดส่งสินค้าภายในวันพรุ่งนี้ ก็แล้วกันนะเจ้าค่ะ” หลี่จื่อเหยาตอบอย่างสุภาพ เมื่อเห็นสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย นางพลันก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบนั้นทันที“พรุ่งนี้ข้าจะแจ้งกับพ่อบ้านให้รอรับของ หากพร้อมแล้วก็ส่งคนไปได้ทุกเมื่อ”“เนื่องจากท่านสั่งสินค้าจำนวนมาก ทางร้านจึงจำเป็นต้องขอค่ามัดจำสินค้าก่อนครึ่งหนึ่ง เมื่อส่งของเรียบร้อยแล้วค่อยรับเงินส่วนที่เหลือ ไม่ทราบว่าคุณชายเย่สะดวกหรือไม่เจ้าคะ” นางเหลือบตาขึ้นมองหน้าคมเข้มนั้น แต่ก็ต้องมีอันหลุบตากลับลงไปอีกครา เขาไม่ยอมเลิกจ้องนาง ความรู้สึกบางอย่างถูกส่งออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น จนทำให้นางรู้สึกขวยอายไปหมด“คุณหนูหลี่เขียนสัญญาซื้อขายได้เลย ข้าพร้อมจ่ายตามข้อตกลง”“เช่นนั้นเชิญคุณชายทางด้านนี้เจ้าค่ะ”หลี่จื่อเหยารีบสาวเท้าเดินนำเขาไปยังโต๊ะเก็บเงินของร้าน นางเชิญให้เขานั่ง ส่วนตนเองนั้นเคลื่อนกายไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเปิดลิ้นชักหยิบสัญญาซื้อขายออกมาสองฉบับ จากนั้นจึงหยิบลูกคิดขึ้นมาดีดอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจรดปลายพู่กันลงจำนวนเงินมัดจำพร้อมประทับตราร้านค้าลงในสัญญาที่เตรียมเอาไว้“เชิญคุณชา
“รักษาตัวเอาไว้ให้ดี อย่าทำอย่างเมื่อครู่กับผู้ใดอีกหากข้าไม่สั่ง” เขาเค้นเสียงเข้ม“จะ...เจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าตามคำสั่งอย่างร้อนรนมู่หรงอี้หวายมองสำรวจตรวจความเรียบร้อย เพราะไม่อยากให้หญิงสาวใช้เล่ห์กลทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเขาล่วงเกินนาง แต่แล้วนัยน์ตาคมกริบ ก็เหลือบเห็นความผิดปกติบางอย่าง ร่างแกร่งขยับกายไปนั่งตรงข้างเตียง“เหม่ยเหมย มาคุกเข่าตรงหน้าข้าประเดี๋ยวนี้”สิ้นคำสั่งสาวใช้คนสนิทก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย เขาเชยคางของนางขึ้นพลางสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่ถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ“ใคร”“อะไรนะเจ้าคะ” หญิงสาวตั้งตัวไม่ทันกับคำถามแสนสั้นนั้น“ข้าถามว่า ใคร!” มู่หรงอี้หวายเน้นเสียงหนัก โทสะพวยพุ่ง“มะ...ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มี” นางละล่ำละลัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะดูออก“หากไม่พูดมาตามตรง พรุ่งนี้ออกจากที่นี่ไปได้เลย แต่ถ้าสารภาพมา ข้าจะไล่แค่ไอ้คนหื่นกามนั่นออกไปเพียงผู้เดียว”“คะ...คุณชายเย่ เป็นคุณชายเย่ แต่บ่าวถูกเขาบังคับไม่ได้เต็มใจจริงๆ นะเจ้าคะ” เหม่ยเหมยน้ำตาคลอ หวังว่าผู้เป็นนายจะให้อภัยนางมู่หรงอี้หวายปล่อยมือจากปลายคาง แล้วส่งเสียงหึในลำคอ“เ
“คุณชายเจ้าคะ เหม่ยเหมยขอเข้าไปได้หรือไม่”“เข้ามาได้” มู่หรงอี้หวายตอบรับ โดยไม่ยอมปล่อยมือว่าที่เจ้าสาว พลางถามสาวใช้ของตนเสียงเย็น “มีอะไร” “พ่อบ้านใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งว่า เตรียมรถม้าให้คุณหนูหลี่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”“พวกเจ้าช่างรู้จังหวะเสียจริง” มู่หรงอี้หวายยกยิ้ม คิดถึงหน้าพ่อบ้านเก่าแก่ที่เหมือนรู้ทุกอย่างในบ้านผู้นั้น“จื่อเหยาขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”“แล้วพบกันนะเหยาเอ๋อร์ คนดีของข้า” เขาส่งยิ้มเจิดจ้าละลายหัวใจไปยังหญิงสาว หลี่จื่อเหยาคลี่ยิ้มอ่อนหวานน่ารักตอบกลับไป นางลุกขึ้นแล้วเยื้องย่างไปเบื้องหน้า ก่อนจะหันกลับมาสบตาบุรุษในดวงใจอีกครั้งหนึ่ง จึงค่อยเดินออกจากห้องไปจริงๆเหม่ยเหมยเห็นแล้วแทบทนไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงลอบบริภาษอีกฝ่ายในใจ‘นังแพศยา มากมารยา คงกำลังเสแสร้งว่าใสซื่ออยู่สินะ ยามนี้นายน้อยกำลังหลงเจ้า แต่สักวันเถิดเขาจะเขี่ยเจ้าทิ้ง’เมื่อหลี่จื่อเหยาจากไปไกลแล้ว มู่หรงอี้หวายจึงเอนกายลงนอนอีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อาการบาดเจ็บทางร่างกายของเขานั้นหนักหนาจริงๆ แผลที่ศีรษะค่อนข้างลึก แม้จะถอดผ้าพันแผลออกแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยาที่ดื่มก็มีฤทธิ์ท
หลังจากเย่เทียนหลางจากไปแล้ว เหม่ยเหมยจึงเดินกลับไปยังเรือนพักของนายน้อยมู่หรงนางเปิดประตูแล้วตรงไปยังห้องนอนของมู่หรงอี้หวายอย่างเงียบเชียบ ครั้นเห็นนายน้อยกำลังออดอ้อนว่าที่เจ้าสาวอย่างอ่อนโยน นางก็ทำหน้าเหมือนกำลังกลืนเข็มพันเล่มลงคอ เจ็บปวดแต่ไม่อาจพูด ได้แต่อิจฉาหลี่จื่อเหยาอยู่เงียบๆมู่หรงอี้หวายเหลือบเห็นใครบางคนตรงม่านลูกปัด พอสังเกตดีๆ แล้วเห็นเป็นสาวใช้ต้นห้อง ก็ไม่ได้สนใจที่นางอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชายหญิง คงเป็นเพราะหญิงสาวเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว‘อืม... อีกไม่นานข้าคงใช้งานเหม่ยเหมยได้แล้วสินะ’ชายหนุ่มเก็บสายตากลับมา แล้วให้ความสนใจกระต่ายขาวในอ้อมแขนอีกครั้ง หลี่จื่อเหยาช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ว่าง่าย และอ่อนหวานราวน้ำผึ้ง เป็นสตรีในแบบที่เขาต้องการไม่มีผิด เหลืออีกไม่กี่ก้าวนางก็จะกลายสภาพเป็นทาสรักของเขาอย่างสมบูรณ์แววตาหลงใหลผสานความร้อนแรงจากอารมณ์ปรารถนาล้ำลึกถูกส่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว หลี่จื่อเหยาได้เห็นก็สั่นสะท้าน นางหลุบตาลง ไม่กล้ามองหน้าเขา“เหยาเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ ตัวสั่นเชียว”“ก็พี่อี้หวายมองข้าราวกับ... ราวกับ...” นางอึกอัก หน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกระลอก
ชาหอมกรุ่นกับขนมถูกวางลงบนโต๊ะเหม่ยเหมยรินน้ำชาใส่จอกส่งให้เย่เทียนหลางอย่างคล่องแคล่ว นางเป็นสาวใช้ก็จริง แต่กลับได้รับการดูแลอย่างดีเกินกว่าฐานะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ล้วนขับเน้นให้นางโดดเด่นมากกว่าผู้ใด มู่หรงอี้หวายให้นางปรนนิบัติข้างกายมาหลายปี หนำซ้ำยังให้เรียนเขียนอ่าน กระทั้งดนตรีก็เชี่ยวชาญ ทุกคนต่างคิดว่านายน้อยมู่หรงคงชุบเลี้ยงสตรีผู้นี้ไว้เป็นอนุ ดังนั้นบ่าวไพร่ในคฤหาสน์จึงปฏิบัติต่อนางอย่างนอบน้อมเนื่องจากเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนหวาน จึงไม่แปลกที่เย่เทียนหลางจะชื่นชมนางอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่มาเยือนคฤหาสน์ ก็มักจะเสวนากับนางนานๆ บางครั้งยังนำของมาฝากติดมือมาให้ เขาจึงเป็นบุคคลที่หญิงสาวทำดีด้วยเป็นพิเศษ แต่เมื่อครู่ ด้วยโทสะที่คุกรุ่น เขากลับเอาเปรียบนาง เพื่อระบายความอัดอั้นที่ไม่อาจตระกองกอดหลี่จื่อเหยาได้ชายหนุ่มมองใบหน้างามอย่างพิจารณา ก็พบว่ายามนี้มันช่างราบเรียบเสียเหลือเกิน ต่างกับเมื่อครู่ที่สีชาดฉาบผิวนวลจนไปจนถึงใบหู‘ดูเหมือนว่าระหว่างเตรียมของว่าง นางคงตั้งสติได้แล้วกระมัง’ “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวเหม่ยเหมยจะไปเรียนนายน้อยว่า คุณชายค