“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”
“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ
“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียที
สำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้
มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้
“ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”
“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน
“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”
“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
“เจ้ามันร้าย ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้า”
มู่หรงอี้หวายได้ฟัง ก็กลั้วหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวกับสหายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม อ่อนโยนลง “พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหอชื่นสุข”
“ไม่ต้องมาทำเป็นมีน้ำใจ ข้าน่ะชอบคุณหนูหลี่จริงๆ คราวนี้เจ้าหลีกทางให้ได้หรือไม่”
“มีประมูลสาวพรหมจรรย์ด้วยนะ ข้าจะจัดการให้”
“จะ...เจ้าเห็นข้าเป็นคนเยี่ยงไรกัน นางคณิกาหรือจะมาเทียบคุณหนูหลี่ผู้เพียบพร้อม”
“อืม งั้นข้าจะยกเหม่ยเหมยสาวใช้ต้นห้องของข้าให้เจ้าอีกหนึ่งคนด้วยก็ได้ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าอยากได้นาง”
แม้ข้อเสนอเหล่านี้จะดูน่าสนใจ แต่ด้วยศักดิ์ศรี เย่เทียนหลางจึงมิอาจรีบตอบตกลง
“มู่หรงอี้หวาย... ข้าเกลียดเจ้า”
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ถือว่าการเจรจาการค้าโดยสันติไม่เป็นผล” มู่หรงอี้หวายยุติการต่อรอง เขาละสายตาจากสหายและหันกลับมาดื่มสุราต่อด้วยท่าทีผ่อนคลาย
อากัปกิริยาราวกับไม่แยแสผู้ใดนี้ทำให้เย่เทียนหลางขุ่นเคือง
“จะ...เจ้า นี่มัน”
มู่หรงอี้หวายเหยียดยิ้ม “ทำไมเล่า เจ้าเสียดายหรือ แต่หมดเวลาต่อรองแล้ว”
“ขอถามสักคำเถิด เจ้าแค่หยอกเย้าข้า หรือว่าชอบคุณหนูหลี่จากใจจริง”
มู่หรงอี้หวายหันกลับมาสบตากับสหายด้วยอารามจริงจัง
“ข้าต้องการนาง”
เย่เทียนหลางขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นสหายจริงจังกับสตรีเช่นนี้มาก่อน จึงคาดเดาไปว่าคุณชายมู่หรงคงถูกศรรักปักอกเข้าให้แล้ว
“เอาเถิด ดูจากสายตาของนางเมื่อครู่ เจ้าทั้งสองคงเคยพบกันมาก่อนสินะ”
“ใช่” มู่หรงอี้หวายตอบสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากคู่สนทนาแม้แต่นิดเดียว
เย่เทียนหลางถอนหายใจ “ทำไมไม่พูดตรงๆ แต่แรกเล่า ข้าไม่แย่งคนรัก ของสหายหรอกนะ”
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้จริงจังเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอสาวงาม แต่ดูเหมือนข้าจะประเมินผิดไปสักหน่อย”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร ต่อให้พึงใจเท่าใดหากเป็นสตรีของสหายย่อมไม่ยื้อแย่ง”
“ขอบใจ”
“ดูเหมือนข้าจะต้องใช้สุราย้อมใจจริงๆ เสียแล้ว” เย่เทียนหลายกจอกสุราขึ้นดื่ม
“ข้าจะชดเชยให้ สตรีพรหมจรรย์สองคนเลยเป็นไร” มู่หรงอี้หวาย ยื่นข้อเสนออีกครั้งด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“แหม คุณชายมู่หรงช่างใจกว้าง ข้าเย่เทียนหลางขอสามได้หรือไม่”
“สอง” มู่หรงอี้หวายเอ่ยเสียงเย็น
“ก็ได้ ก็ได้ ผู้น้อยไม่โลภแล้ว” เย่เทียนหลางหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียดายคุณหนูหลี่
เสียงบรรเลงเพลงพิณแว่วหวาน เคล้าคลอบรรยากาศพารื่นรมย์ เมื่อการแสดงจบลง แขกเหรื่อทั้งหลายต่างปรบมืออย่างต่อเนื่อง
หลี่จื่อเหยายอบกายคำนับมารดา พลางยกยิ้มสะกดใจไปยังผู้ชม นางกล่าวคำขอบคุณด้วยเสียงดั่งระฆังแก้ว แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนในฝั่งสตรี
ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ชื่นชมคุณหนูหลี่ เหล่าคุณชายที่หมายตาต่างพูดคุยกับบิดาให้มาสู่ขอนางไปเป็นฮูหยินน้อย พวกเขาพากันแวะเวียนไปคารวะสุรานายท่านหลี่มิขาดสาย ส่วนหลี่เค่อนั้นก็เพียงรับไมตรีไปตามมารยาท เพราะเขามีปลาอ้วนนามมู่หรงอี้หวายอยู่ในกำมือแล้ว
รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้าคมสันตลอดเวลา เขารู้สึกว่าการลงทุนช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ฮูหยินผู้เฒ่าขอตัวกลับเรือนไปพักผ่อน เนื่องจากสุขภาพไม่ดีแล้ว ครั้นเห็นเจ้าของงานเลี้ยงไม่สามารถอยู่ต่อได้ บรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยกลับ ระหว่างนั้นมู่หรงอี้หวายจึงถือโอกาสเข้าไปคุยกับหลี่เค่อ
“นายท่านหลี่ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
“มีอันใดหรือคุณชายมู่หรง”
“ข้าสังเกตว่าท่านรับไมตรีจากทุกคน คงมิได้คิดบิดพลิ้วใช่หรือไม่”
“คุณชายมู่หรงไม่ต้องกังวล ข้าเป็นลูกผู้ชาย รับปากว่าจะยกเหยาเหยาให้ท่าน ย่อมต้องทำตามคำพูด”
“แต่ข้ามิเคยทำสัญญาปากเปล่ากับผู้ใด”
“คุณชายหมายถึงจะทำสัญญาลงนามหรือ”
“มันเป็นนิสัยส่วนตัวของข้า เพราะลมปากเชื่อถือมิได้”
“เช่นนั้นคุณชายมู่หรงเชิญตามมาที่ห้องทำงานของข้า เราจะได้ร่างสัญญากัน”
หลี่เค่อสาวเท้าไปตามทางเดินสู่ห้องทำงานในเรือนหลัก เขาอดลอบยิ้มในใจมิได้ มู่หรงอี้หวายคงหลงรักน้องสาวเขาหัวปักหัวปำ ถึงขนาดต้องร่างสัญญายินยอมให้แต่งงานเพื่อผูกมัดนางเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งง่ายดายสำหรับการเรียกสินสอดจำนวนมหาศาล
‘ปลาตัวนี้ทั้งอ้วน ทั้งโง่ ร้านค้าตระกูลหลี่รอดพ้นวิกฤตแน่แล้ว’
ราตรีนี้จึงจบลงด้วยต่างคนต่างบรรลุเป้าหมาย หลี่เค่อได้เหยื่อเป็นปลาตัวใหญ่ ส่วนมู่หรงอี้หวายได้สัญญาแต่งงานกับกระต่ายน้อยอย่างหลี่จื่อเหยา
ข้าคือมู่หรงซือเฉิง บิดาข้าคือมู่หรงอี้หวาย คหบดีใหญ่และวาณิชหลวงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน มารดาข้าเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมนามหลี่จื่อเหยา ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้านั้นคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีบุญวาสนาที่จะได้เสพสุขจากทรัพย์สินมหาศาล ที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดของตระกูลมู่หรงข้าช่างโชคดีเหลือเกินความจริงข้ามีพี่สาวผู้หนึ่ง นางมีชื่อว่ามู่หรงรั่วเยียน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต่อไปนางจะต้องเติบโตเป็นสตรีที่งดงามปานเทพธิดาแน่นอน ก็ใช่ล่ะสิ นางถอดแบบบิดาผู้มีรูปโฉมล้ำเลิศมาทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่นิสัยใจคอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน พี่สาวของข้ามักสวมหน้ากากคุณหนูในห้องหอทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเอ่ยวาจา หรือเยื้องกรายไปที่ใด ทุกคนล้วนยกยิ้มพลางพยักหน้าหงึก ๆ คิดว่านางช่างดีแสนดี แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้หน้ากากเทพธิดา มีแม่หมาป่าตัวน้อย ๆ ที่พร้อมจะขย้ำคอทุกคนซ่อนอยู่นางร้ายไม่ต่างจากท่านพ่อเลยสักนิด! ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ท่านพ่อเปรยกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการบุตรเขยที่ร่ำรวยและเก่งเกินไป ยิ่งเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือขุนนางซื่อสัตย์สุจริต แต่เบื้องหลังไม่ได้มีอำนาจมากนักก็พอ เพื่อที่แต
ตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงจากไป ข้าไม่เคยเฉียดกลายเข้าไปใกล้บ้านตระกูลหลี่อีกเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าทำเพียงอ่านรายงานความเคลื่อนไหวภายในบ้านตระกูลหลี่ จากคนที่ข้าส่งเข้าไปแทรกซึมเท่านั้นคนของข้าผู้นั้นทำหน้าที่แม่นม นางดูแลหลี่หลางได้อย่างดี อีกทั้งยังเพิ่มรายงานเล็ก ๆ น้อยเกี่ยวกับคนที่อยู่รอบตัวของเขามาด้วย จากรายงานเหล่านั้น ข้ามักจะได้รับรู้เรื่องของหลี่จื่อเหยาเสมอ ๆ แม้ตอนที่หลี่หลางเกิดคุณหนูหลี่จะยังอายุน้อยก็ตาม แต่นางกลับดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างของเด็กชายประหนึ่งมารดาเลยทีเดียวอาจเป็นเพราะหลี่จื่อเหยาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหลี่หลางที่สุด ทำให้ชื่อของนางผ่านสายตาข้าบ่อยครั้ง พอรู้ตัวอีกที เรื่องของคุณหนูผู้นี้ก็กลายเป็นส่วนที่ข้าชอบอ่านในรายงานไปเสียแล้ว “คุณหนูหลี่ปักเสื้อให้คุณชายน้อย” “คุณชายน้อยชอบกินอาหารฝีมือคุณหนูหลี่” “คุณหนูหลี่ดีดพิณได้ไพเราะ” “คุณหนูหลี่ชอบดอกบัวที่สุด” “ตอนนี้คุณหนูหลี่เข้าวัยปักปิ่นแล้ว นางงดงามดั่งดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์” ข้ารู้จักนิสัยใจคอของนางผ่านทางรายงานที่ถูกส่งมา จนรู้สึกว่าหากได้เห็นหน้าคาดตาสักครั้งก็คงดี ทว่าความคิดนี้มีอันต้องตกไป เพราะข้าไม
หลี่จื่อเหยายิ้มถึงดวงตา ในขณะที่เอ่ยล้อเลียนเขาด้วยประโยคที่ตนเองได้ยินบ่อยครั้งที่สุด ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนซอกคอของเขา โดยไม่รู้ว่าเท่านี้ก็เพียงพอให้บุรุษผู้เร่าร้อนทรมานมากมายมู่หรงอี้หวายหวานล้ำไปทั้งใจ อีกทั้งยังรู้สึกวูบวาบไปทั้งกาย แต่ก็อดกลั้นความปรารถนาอันไม่สิ้นสุดที่ตนเองมีต่อนางเอาไว้ในห้องกว้างขวางมีเพียงเงาร่างของสองสามีภรรยาโอบกอดกันอยู่เนิ่นนาน กลิ่นอายแห่งความรัก และความเข้าอกเข้าใจแผ่ซ่านไปถ้วนทั่วทุกอณูคฤหาสน์ตระกูลมู่หรง หลายเดือนต่อมาหลังจากมีข่าวดีว่าฮูหยินน้อยของคุณชายตั้งครรภ์แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงประกาศแต่งตั้งวาณิชหลวงของราชสำนักคนใหม่ ซึ่งมู่หรงอี้หวายได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ด้วยการสนับสนุนของฉินอ๋องและขุนนางที่เห็นว่าเขามีความสามารถมู่หรงเหออารมณ์ดี จึงจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และประกาศมอบหมายกิจการทั้งหมดให้บุตรชายที่ยามนี้พร้อมรับผิดชอบทุกสิ่งที่ตระกูลสร้างเอาไว้แล้วส่วนตนเองก็ตั้งใจจะออกท่องเที่ยว ใช้ชีวิตยามเกษียณเพื่อไปในที่ที่ภรรยาผู้ล่วงลับเคยเอ่ยว่าต้องการไปสักครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเพราะยามนั้นเขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างจ
เมื่อความสงบกลับมา มู่หรงอี้หวายจึงเล่าเรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้บิดาฟังอย่างรวบรัด พยายามตัดจุดที่อาจจะสร้างความแค้นเคืองให้คหบดีใหญ่ออกไป เหลือเพียงส่วนเสี้ยวสำคัญๆ เท่านั้น แล้วไปเน้นย้ำความต้องการของญาติผู้น้องที่หมายจะทำการยกเลิกการหมั้นหมายกับเย่เทียนหลางเสียมากกว่า มู่หรงเหอได้ฟังก็ทอดถอนหายใจ แต่ก็รับปากจะทำตามคำขอของซูเพ่ยอิงพอพูดคุยกันเสร็จสรรพ มู่หรงเหอก็เข้าไปเยี่ยมหลี่จื่อเหยาที่ยังนอนหมดสติอยู่ พอเห็นสภาพของลูกสะใภ้คนโปรด เขาก็เอ่ยปากว่าจะถมสระบัวทิ้ง เพราะเข้าใจว่านางเป็นลมตกน้ำไปเอง จึงเกรงว่าจะเป็นอันตรายอีก แต่มู่หรงอี้หวายห้ามเอาไว้ เพราะหลี่จื่อเหยาชอบดอกบัวมากที่สุด คหบดีใหญ่จึงตำหนิลูกชายว่าไม่รู้จักดูแลภรรยาให้ดี ก่อนจะกลับออกไป ก็ยังคาดโทษเอาไว้อีกด้วยมู่หรงอี้หวายมองส่งบิดาจนลับตา จากนั้นจึงกลับเข้ามาชำระร่างกายตนเอง แล้วไปนั่งเฝ้าหลี่จื่อเหยาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ห่างไปไหน ทั้งยื่นมือไปจับหน้าผากเพื่อตรวจไข้ ไหนจะคอยเช็ดเหงื่อที่ผุดพราย จนกระทั่งไม่รู้สึกความร้อนบนใบหน้าของนางแล้วจึงคลายใจ แล้วม่อยหลับไปในที่สุดแสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องกระทบใบหน้างาม
ตระกูลมู่หรงมั่งคั่งเฟื่องฟูมาทุกยุคสมัย พวกเขาไม่เคยขาดเงินทอง ทว่าทายาทสืบสกุลกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้ในอดีตเหล่าผู้นำตระกูลพยายามแต่งอนุภรรยาเข้าตระกูลมากมาย แต่อย่างไรก็ไม่เคยมีทายาทเกินหนึ่งคน ประหนึ่งถูกคำสาปอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งเซียนท่านหนึ่งมาแถลงไขในโลกนี้ไม่มีผู้ได้จะได้ทุกอย่างสมปรารถนา ต้นตระกูลได้บวงสรวงต่อฟ้าขอความรุ่งโรจน์ทุกชั่วอายุคน ดังนั้นฟ้าดินจึงให้พรข้อนี้แลกกับการมั่งมีบุตรหลาน ทำให้คนรุ่นต่อมามีความสุขกับเงินทอง แต่ต้องกลุ้มใจกับเรื่องผู้สืบทอดตลอดไป ก่อนจากท่านเซียนได้แนะนำวิธีแก้เคล็ดไว้ให้ คือห้ามชายตระกูลมู่หรงมักมากมีหลายภรรยา หากเลือกที่จะรวบรวมพลังหยางไว้ที่สตรีเพียงผู้เดียว พวกเขาก็จะมีโอกาสมีทายาทมากกว่าหนึ่งคนหลังจากนั้นผู้นำตระกูลมู่หรงที่เชื่อคำแนะนำต่างก็แต่งภรรยาเอกเพียงคนเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่งสวรรค์เห็นใจ จึงบันดาลให้บางรุ่นที่สามารถทำตามท่านเซียนชี้แนะ ได้ทายาทชายหญิงอย่างละคนแต่ผู้นำบางรุ่นก็มิได้เคร่งครัด เช่นเดียวกับบิดาของเขา ที่หลังจากได้ทายาทสืบสกุลแล้วก็ใช่ชีวิตเยี่ยงชายสามัญ เพียงแต่ไม่ได้รับอนุภรรยาเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเ
“เทียนหลาง เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ไม่ได้มีใครบังคับให้เจ้ากระทำ ทุกอย่างล้วนเกิดจากการไตร่ตรองของเจ้าทั้งสิ้น ข้าเข้าใจว่าเจ้าคับแค้น แต่ข้าเองก็สิ้นใจด้วยน้ำมือของเจ้าไปแล้วที่คูเมือง อีกทั้งยังถูกโจรกระจอกที่เจ้าจ้างวารเหล่านั้นรุมทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในขณะที่เจ้าสวมบทเป็นยอดบุรุษช่วยหญิงงาม เพียงสองเรื่องนี้ข้าก็สามารถส่งเจ้าไปนอนเล่นในคุกของท่านเจ้าเมืองได้แล้ว แต่เป็นเพราะข้าเห็นแก่ท่านลุง จึงทำเป็นนิ่งเฉยตลอดมา”“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ความจำเสื่อม” เย่เทียนหลางพูดเสียงเบามู่หรงอี้หวายหยักยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่มิได้กระทำเพื่อเย้ยหยันคู่สนทนา หากแต่เพื่อความใจอ่อนของตนเองที่มีแต่สหายมากกว่า“เชื่อเถิดเทียนหลาง ข้าอยากป่วยจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ ไปเสียเลยมากกว่า”“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร” เย่เทียนหลางหน้าซีดเผือด แต่ยังคงรักษาอาการเอาไว้“ตอนแรกข้าก็คิดจะจัดการเจ้าขั้นเด็ดขาด ตัดความสัมพันธ์ของตระกูล แล้วส่งเจ้าไปคุกให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทุกอย่างเป็นข้าที่บีบคั้นเจ้าจนเหลืออด เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเราทั้งสองอีกหน ต่อไปนี้ ข้า...มู่หรงอี้หวายจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับก