มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ
“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก
“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน
“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”
“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”
“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”
“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”
“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา
“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”
นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่กังขา
“เหตุใดท่านถึงต้องทำถึงเพียงนั้นเล่า ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด หากท่านมีใจให้ข้าจริง เหตุใดถึงต้องรอคอยมากว่าครึ่งปี”
“เดิมทีข้ามิได้รีบร้อน หมายจะทำงานที่ท่านพ่อมอบหมายให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาเยี่ยมเจ้า แต่แล้วตระกูลหลี่ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ ส่งเทียบเชิญไปมากมาย เช่นนี้ย่อมมีบุรุษนับสิบมาร่วมงาน เจ้าเองงดงามน่ารัก ผู้ใดเห็นย่อมพึงใจ จะให้ข้าทนเฉยต่อไปได้อย่างไร หากไม่รีบมาสู่ขอเจ้าไปเป็นเจ้าสาวเสียตั้งแต่วันนี้ หากมีผู้อื่นมาคว้าหัวใจเจ้าไปเล่า ข้าคงเสียใจยิ่งนัก”
อาการร้อนรนกับคำสารภาพอย่างตรงไปตรงมา ทำให้หัวใจของดรุณีแรกแย้มสั่นสะเทือน นัยน์ตาดุจแสงดารานับร้อยส่องประกายระยิบระยับ
“คุณชายมั่นใจแล้วหรือ”
“ข้าเป็นลูกผู้ชาย พูดคำไหนคำนั้น ข้าต้องการเจ้ามาเป็นภรรยานั่นคือความสัตย์จริง”
“แสดงว่าเมื่อครู่ที่ท่านกล่าวว่าต้องการข้านั้น ก็คือต้องการแต่งข้าเป็นฮูหยินน้อยตระกูลมู่หรงหรือ”
“ย่อมแน่อยู่แล้ว” มู่หรงอี้หวายตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ในแววตาไม่มีอาการ หลุกหลิกแม้แต่น้อย
“หากคุณชายจริงใจ ข้าก็ไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ” หลี่จื่อเหยากล่าวจบใบหน้า ก็พลันแดงระเรื่อ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เค่อที่ลุ้นจนตัวโก่งอยู่อีกด้านก็ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ปลาตัวใหญ่ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาครอบครอง บัดนี้เป็นของตระกูลหลี่เรียบร้อยแล้ว
มู่หรงอี้หวายยิ้มยินดีอย่างสุภาพเช่นเคย เขาหันกลับไปพูดคุยกับหลี่เค่อ โดยให้คำมั่นว่าหากไม่ติดสิ่งใดอีกสามวันให้หลังก็สามารถส่งแม่สื่อมาสู่ขอหลี่จื่อเหยาได้ตามธรรมเนียม หากตระกูลหลี่ต้องการสิ่งใดขอให้บอกกล่าวมา เขายินดีทุ่มไม่อั้นเพื่อเจ้าสาวคนงาม
เมื่อคิดถึงสินสอดที่จะได้มาเติมคลังให้เต็มดุจเดิม นายท่านหลี่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า
ครั้นชายหนุ่มทั้งสองตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อย คนทั้งสามจึงแยกย้ายกันกลับเข้าสู่งานเลี้ยง
เดิมทีหลี่เค่อต้องการให้หลี่จื่อเหยาเล่นพิณเปิดตัว แต่ในเมื่อน้องสาวคนสวยตกปลาตัวอ้วนได้แล้ว การแสดงนี้ย่อมไม่จำเป็น แต่นางกลับต้องการแสดงให้ฮูหยินผู้เฒ่าดู ผู้เป็นพี่ชายจึงตามใจ แล้วส่งสัญญาณให้พ่อบ้านใหญ่ประกาศต่อหน้าแขกเหรื่อว่า คุณหนูหลี่จะเล่นพิณเป็นของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่า
หลี่จื่อเหยาเยื้องกรายไปยังพิณที่ถูกจัดวางเอาไว้ตรงกลางลานแสดงด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มชวนให้หลงใหล นางย่อกายคำนับมารดา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ขัดเงา
นิ้วเรียวดุจลำเทียนดีดดึงสายพิณเพื่อเริ่มบรรเลง นางกรีดนิ้วเร่งจังหวะ สะบัดมือจนแลเห็นท่อนแขนขาว แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มากพอจะทำให้เหล่าคุณชายทั้งหลายทอดถอนหายใจ ยามศีรษะนางส่ายไหวจนปิ่นปักผมสั่นกระทบกัน หัวใจของบุรุษที่นั่งชมอยู่นั้นก็หวั่นไหวจนถ้วนทั่ว
หนึ่งในเหล่าบุรุษที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ก็มีเย่เทียนหลางรวมอยู่ด้วย เขาคือทายาทสำนักคุ้มภัยตระกูลเย่อันเลื่องชื่อ
ตั้งแต่หลี่จื่อเหยาเยื้องกรายมาเบื้องหน้า ตลอดจนลงนิ้วบนสายพิณ เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย
“คุณหนูหลี่ช่างงดงามและบริสุทธิ์นัก ก่อนหน้านี้นางไปอยู่ที่ใดกันหนอ ทำไมข้าไม่เคยพบหน้าสาวงามผู้นี้มาก่อน” เย่เทียนหลางเปรยกับสหายทั้งที่สายตายังคงติดตรึงอยู่กับร่างบอบบางที่กลางลานแสดง
“เลิกฝันลมๆ แล้งๆ แล้วดื่มสุราไปเถิด” มู่หรงอี้หวายตอบสหายด้วย น้ำเสียงราบเรียบ แล้วกลั้วหัวเราะเบาๆ ทั้งที่กำลังตัดกำลังใจของอีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่ท่าทางอันแสนสุภาพกลับทำให้เย่เทียนหลางไม่อาจโกรธเคืองสหายได้ลง
“เจ้ากำลังดูถูกข้า ในแคว้นหานนี้หากไม่นับเบญจบุรุษ ข้าก็เป็นหนุ่มรูปงามอนาคตไกลไม่เกินอันดับสิบ”
“ข้ารู้” มู่หรงอี้หวายตอบสั้นๆ รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปาก
เย่เทียนหลางไม่แน่ใจว่านั่นคือรอยยิ้มในยามปกติ หรือกำลังเยาะหยันเขาอยู่กันแน่ แต่จากนิสัยของสหายน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
“หึ! คอยดูนะ พรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านพ่อมาสู่ขอคุณหนูหลี่”
“เก็บความคิดนั้นเอาไว้เถิด” มู่หรงอี้หวายยับยั้งอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา
“นี่เจ้าพูดแรงเกินไปแล้วสหาย ข้ามีตรงที่ใดไม่ดีหรือ”
“มิได้”
“แล้วเหตุใดจึงห้ามปรามข้าเล่า ในเมื่อข้าพบสตรีที่ถูกใจ เจ้าเป็นสหาย ก็ควรส่งเสริมมิใช่หรือ”
มู่หรงอี้หวายเพียงขยับยิ้ม “เพราะเจ้าดีเกินไปกระมัง”
คำตอบที่เหนือความคาดหมายทำให้เย่เทียนหลางชะงักไป หากชายผู้นี้จะบอกว่าตนไม่คู่ควรกับนางฟ้าตรงหน้า เขายังจะเชื่อหูตนเองมากกว่านี้ “อี้หวายพูดอันใดข้าไม่เข้าใจสักนิด”
“ยามนี้ตระกูลหลี่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน การเปิดตัวคุณหนูหลี่ วันนี้ก็เพื่อหาเจ้าบ่าวที่ร่ำรวย หากนางเลือกเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใจจริงแท้ให้ แต่อาจจะมองเห็นเจ้าเป็นแค่ปลาอ้วนที่ใช้เคี่ยวน้ำแกง นี่ข้าหวังดีหรอกนะ”
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียทีสำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้ “ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน“เ
ตามกฎหมายของแคว้นหาน หากต้องการสู่ขอหญิงสาวจากตระกูลใด ต้องมีของกำนัลมามอบให้ ถ้าถูกปฏิเสธจะไม่สามารถเรียกร้องขอคืนได้ ดังนั้นการสู่ขอจึงเป็นเรื่องที่ทุกตระกูลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้มีโอกาสจะลงทุนอย่างสูญเปล่าก็ตามที แต่ชาวแคว้นหานกลับมีความเชื่อว่ายิ่งให้ของล้ำค่ามากเท่าใด ก็แสดงว่าจริงใจต่อหญิงสาวมากเท่านั้นหลังจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า บ้านสกุลหลี่ก็มีแม่สื่อมาเยือนไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมถือของล้ำค่ามาด้วย ทำให้หลี่เค่ออารมณ์ดีติดต่อกันมาสามวันแล้วแรกเริ่มเดิมทีนายท่านหลี่หวังว่าจะมีผู้สนใจเป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวประมาณห้าหกคน แต่ผู้ที่ต้องการได้หลี่จื่อเหยาไปเป็นภรรยานั้นมีมากเกินความคาดหมาย นับจากวันเกิดมารดา ก็มีแม่สื่อมาดำเนินการสู่ขอนางมากถึงยี่สิบห้าคน เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหลี่ได้ของล้ำค่ามากถึงยี่สิบห้าชิ้นช่างบรรจวบเหมาะยิ่งนักหลี่เค่อได้ถอนทุนคืนจากการจ้างแม่สื่อฟง รวมไปถึงค่าเครื่องประทินผิวอย่างดีสำหรับดูแลความงาม และผิวพรรณของหลี่จื่อเหยาด้วยแม้จะฉวยโอกาสในการหาทรัพย์สินเข้าคลังของตระกูล แต่ความจริงเขาก็รักหลี่จื่อเหยามากเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางม
วันรุ่งขึ้นหลี่เค่อเรียกน้องสาวมาพบ เมื่อเห็นนางมีสีหน้าอมทุกข์ เขาก็รู้สึกโกรธมู่หรงอี้หวายขึ้นมาทันที จึงบอกเรื่องที่ตนตั้งใจจะไปฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับคุณชายมู่หรง แต่หลี่จื่อเหยาขอร้องให้พี่ชายคลายโทสะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่ความดีที่บุรุษผู้นั้นได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ อีกทั้งยังบอกเรื่องที่คิดได้เมื่อคืนว่า อาจจะเป็นประมุขตระกูลที่ไม่เห็นชอบกับบุตรชาย เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ควรเข้าใจความจำเป็นของเขาหลี่เค่อถอนหายใจยาว ที่น้องสาวเขาพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างหากตนไปฟ้องร้อง ก็เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลใหญ่ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้เอาเวลาไปเตรียมจัดงานมงคลจะดีกว่า“น้องพี่อย่าได้เสียใจไปเลย ใช่ว่าจะไม่มีผู้ชายดีๆ สนใจเจ้าเสียเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ มีตั้งยี่สิบหกคนแน่ะ”“จริงหรือพี่ใหญ่ ทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น น้องแค่เล่นพิณเพลงเดียวเองนะเจ้าคะ” นางรู้สึกตกใจจริงๆ“เด็กโง่ ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทั้งบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ชายใดได้เห็นย่อมต้องพึงใจเป็นธรรมดา”“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเลิศเลอกว่าผู้ใด”“น้อยไปสิ ขนาดคุณชายมู่หรงถึงกับลืมตนกินเต้าหู
ตะวันเคลื่อนคล้อยสาดแสงสีส้มตกกระทบหลังคากระเบื้องจนเปล่งประกายร้านค้าแผงลอยต่างทยอยเก็บข้าวของตามปกติดั่งเช่นทุกวัน ผู้คนที่สัญจรจอแจในช่วงกลางวันเริ่มบางตาลงทุกขณะ ในที่สุดนายท่านหลี่ก็กลับมาจากการตกปลาอ้วนพีสามตัว บ่าวไพร่ต่างลงความเห็นว่าผู้เป็นนายน่าจะต่อรองการค้าได้กำไรเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลงจากรถม้า จนกระทั่งเข้ามาในร้านเขายิ้มกว้างตลอดเวลาหลี่เค่อรีบให้คนไปตามน้องสาวมาพบ จากนั้นก็นั่งรอนางในห้องทำงานด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพอหลี่จื่อเหยาเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วแลเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็คาดเดาได้ถึงผลการเจรจา“เหยาเหยารีบมานั่งเร็วเข้า” หลี่เค่อเร่งเร้าน้องสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือประมาณหลี่จื่อเหยาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้สนขัดมันตัวใหญ่“หากให้น้องสาวเดา เกรงว่าจะมีคนยอมรอคำตอบรับสามเดือนใช่หรือไม่”“แน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความใจดีมีเมตตาของตัวเจ้าเองด้วย”“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ทำไมความใจดีของข้าจึงเกี่ยวข้องกับผลการเจรจาได้เล่า”“เมื่อสองเดือนก่อนเจ้าได้ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ใช่หรือไม่”คิ้วสวยได้รูปขมวดเล็กน้อย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“เจ้าค่ะ ยา
เวลาติดปีกโบยบินเข้าสู่เหมันตฤดู ความหนาวเหน็บส่งผลให้หิมะแรกของฤดูตกลงมา ดอกไม้โรยราร่วงหล่น กิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ไม่เหลือใบให้ชื่นชม มีเพียงดอกเหมยเท่านั้นที่ยังส่งกลิ่นหอมท้าทายความทารุณนี้หลี่จื่อเหยายืนอยู่บนสะพานเหนือสายน้ำที่เคยเกือบปลิดชีวิตนาง สายลมโชยปะทะร่างบอบบางจนสะท้านไหว ความหนาวเหน็บดังเข็มเล่มเล็กคอยทิ่มแทง บาดผิวขาวจนเป็นรอยแดง ภายนอกต้องอดทนกับความทรมาน แต่ภายในหัวใจนาง กลับรวดร้าวยิ่งกว่าร้อยเท่าพันทวีสามเดือนที่ผ่าน หลี่จื่อเหยาเฝ้ารอมู่หรงอี้หวายด้วยความหวัง นางเชื่อมั่นว่าเขาจะมาสู่ขอตามคำสัญญา แต่ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมในคราแรกกลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปตามข้อจำกัดของเวลาอันใกล้หมดลงทุกขณะ จนในที่สุดความฝัน ทั้งหมดก็พังทลายราวกับเกล็ดน้ำค้างที่ละลายหายไปบนฝ่ามือวันนี้ถือเป็นวันสิ้นสุดสัญญาแต่งงาน เท่ากับคุณชายมู่หรงและนางสิ้นวาสนาต่อกันแล้ว หลี่จื่อเหยาทอดสายตาอาลัยไปบนผืนน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเยื้องกรายกลับไปยังบ้านสกุลหลี่เพื่อรอการสู่ขอของคุณชายเย่เทียนหลางเพื่อไม่เป็นการประมาท หลี่เค่อรอให้ผ่านพ้นไปอีกสามราตรี จึงค่อยส่งจินหูไปแจ้งข่าวดีแก่นายท่านใหญ่ตร
ตามธรรมเนียมวันเจรจาสู่ขอว่าที่เจ้าสาวสามารถนั่งอยู่ภายในห้องนั้นได้ เพียงแต่ต้องใช้ฉากกั้นเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าก่อนถึงวันวิวาห์หลี่จื่อเหยาได้แต่พยายามปลอบใจตนเองว่าวันข้างหน้าจะมีความสุขได้ การเกิดเป็นสตรี ต้องถือสามคุณธรรมสี่จรรยา นางไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่พี่ชายและมารดาเลือกให้ ทำได้แค่เพียงยอมรับชะตากรรมอยู่หลังฉากกั้นเงียบๆเมื่อเย่เทียนหลางปรากฏกาย นัยน์ตาดุจกวางน้อยจึงเพ่งไปยัง ฉากกั้นเบื้องหน้า เนื่องจากวันเกิดของมารดานั้นจิตใจและสายตาของนางส่งไปยังคุณชายมู่หรงแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ไม่อาจรู้ว่าที่แท้แล้วคุณชายเย่หน้าตาเป็นเช่นไรถึงแม้รูปเหมือนของเขาในประวัติที่แม่สื่อส่งมาให้นั้นจะบ่งบอกว่าเขาหล่อเหลาเอาการ แต่ภาพวาดหรือจะสู้ของจริงม่านโปร่งแสงทำให้นางแลเห็นเพียงเงาสลัวรางของเย่เทียนหลางเท่านั้น กิริยาสุภาพ น้ำเสียงทุ้มกังวาน รวมไปถึงรูปร่างก็จัดว่าเป็นบุรุษกำยำแข็งแรง ความมั่นอกมั่นใจในตนเองฉายชัดยามปราศรัย ด้วยลักษณะอันดีเหล่านี้ ทำให้หลี่จื่อเหยาพอจะทำใจได้หากต้องแต่งเป็นสะใภ้ตระกูลเย่‘หวังว่าเขาจะดีกับข้า หากเป็นเช่นนั้น ในวันหนึ่งข้าก็คงจะสามารถลืม คุณชายมู่หรงได
แม้เสียงจะเบาและสั่นเครือปานใด แต่กลับดังกังวานอยู่ในโสตไม่จางหาย มู่หรงอี้หวายชะงักงันไปชั่วขณะ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน คำตอบถูกส่งออกมาจากริมฝีปากที่เคยครอบครอง ทว่าคำตอบนี้กลับบาดลึกสู่กลางใจ“ได้ยินแล้วหรือไม่ หวังว่าคุณชายจะเลิกดื้อดึง” หลี่เค่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีแววเย้ยหยันความจริงเขาก็เสียดายปลาอ้วนตัวนี้ไม่น้อย แต่หากจะพูดเรื่องความเหมาะสม น้องสาวของเขาน่าจะเหมาะกับเย่เทียนหลางมากกว่า การไปอยู่คฤหาสน์ตระกูลมู่หรง นางอาจจะอึดอัดกับธรรมเนียมอันเคร่งครัด ต่างจากตระกูลเย่ที่เป็นกันเอง“อืม แต่ก่อนจากไป ข้าขอพูดคุยกับนางเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่” มู่หรงอี้หวายส่งสายตาขอร้องไปยังหลี่เค่อ“ย่อมได้ แต่คงให้พบหน้ามิได้ นางกำลังจะออกเรือนแล้ว หวังว่า คุณชายมู่หรงจะเข้าใจ”“ข้าเข้าใจ”มู่หรงอี้หวายรับคำแล้วสาวเท้าไปยังหน้าฉากกั้น ผ้าโป่รงแสงทำให้เห็นเงาร่างของสตรีที่กำลังนั่งอยู่อีกฝั่ง ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ภาพความทรงจำยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงทว่าไม่อาจดื้อดึงอีกต่อไป สิ่งสุดท้ายที่ทำได้เหลือเพียงเอ่ยคำลา“ไม่ต้องกังวลใจ เจ้าไม่ผิดอันใดทั้งสิ้น เป็นข้าทั้งนั้นที่ไ
โดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดหลี่จื่อเหยาวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เสี่ยวจูเห็นนายหญิงวิ่งออกไปทั้งที่ไม่ได้สวมเสื้อคลุม ก็รีบคว้าร่มและชุดคลุมกันลมแล้ววิ่งตามออกไปเช่นกันหลี่เค่ออ้าปากค้าง ทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ เป็นเย่เทียนหลางที่ได้สติก่อนผู้ใด เขาจึงทะยานตามสองนายบ่าวออกไปในทันที เย่หลวนคุนได้แต่ส่ายศีรษะ ก่อนส่งสัญญาณให้หลี่เค่อตามเขาออกไปหลี่จื่อเหยาวิ่งฝ่าสายลมหนาวโดยไม่สนใจสิ่งใด หัวใจของนางเต้นรัว ราวกับลั่นกลอง ขาทั้งสองออกแรงทะยานไปบนถนนศิลาที่ทั้งเปียกทั้งลื่น เป้าหมายคือสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออก‘หากต้องการทดแทนบุญคุณ เจ้าก็จงใช้ลมหายใจที่ข้ามอบให้อยู่ต่อไป อย่างมีความสุขเถิด ลาก่อนคุณหนูหลี่’ หลี่จื่อเหยากังขา คำพูดประโยคนี้คือคำสั่งเสียของเขาใช่หรือไม่‘มู่หรงอี้หวาย ข้าขอโทษ ได้โปรดอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ’สะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกมู่หรงอี้หวายรู้สึกวูบโหวงและปวดร้าว ความผิดหวังนำทางเขามายังสะพานข้ามคูเมืองฝั่งตะวันออกโดยไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาจนถึงกลางสะพานขาทั้งสองพลันหยุดชะงัก นัยน์ตาหงส์ไร้ซึ่งวิญญาณทอดมองออกไปยังพื้นน้ำอันถูกฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งอย่างเหม่อลอย ความทรงจำไ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เทียนหลางค่อยถอยออกห่างจากสตรีที่หยุดร้องไห้ เขาลงจากเตียงแล้วสาวเท้าออกไปรอที่หน้าห้องเมื่อไม่มีบุรุษอยู่ด้วย หลี่จื่อเหยาก็พยายามจัดอาภรณ์ให้ดีที่สุด โชคดีที่ชุดตัวนอกเพียงถูกถอดออกไป นางจึงสามารถเก็บซ่อนรอยขาดวิ่นของอาภรณ์ชั้นในได้บ้างครั้นแต่งกายจนเรียบร้อยที่สุดแล้ว นางจึงเยื้องกรายตามบุรุษในชุดขี่ม้าไปที่ด้านนอกเย่เทียนหลางที่ยืนรออยู่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ไม่น่าเชื่อว่าความปรานีของเขาจะทำให้ความรู้สึกหวาดหวั่นทั้งหลายของนางทุเลาลงจนแทบจะหมดสิ้น ครานี้เหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือยามที่มู่หรงอี้หวายรู้ว่านางถูกบุรุษอื่นเห็นเรือนกายของตนไปเสียแล้ว เขาจะยังต้องการว่าที่เจ้าสาวคนนี้อยู่อีกหรือไม่ระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังคิดวุ่นวาย บุรุษในชุดขี่ม้าสีน้ำตาลก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้นาง“ที่นี่ห่างไกลจากจุดที่รถม้าถูกทิ้งไว้ เช่นนั้นคงต้องขอล่วงเกินเจ้าอีกครั้งแล้ว”หลี่จื่อเหยาพอเดาออกว่าเขาจะทำสิ่งใด ครั้นจะปฏิเสธก็คงเสียเวลาหากต้องเดินย่ำไปบนหิมะที่ทั้งเปียกและลื่น อีกอย่างนางก็เชื่อว่าเย่เทียนหลางเป็นสุภาพบุรุษ เขาย่อมไม่ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากก
เย่เทียนหลางไม่เสียเวลาพูดพร่ำ ก็ทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจก็ถึงตัวชายชุดดำ มือขวาตวัดดาบเชือดเฉือนลงบนร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล โจรร้ายพอมีวิชาจึงหลบการโจมตีจุดตายได้อย่างหวุดหวิด ครั้นเห็นบุรุษในชุดสีน้ำตาลเป็นผู้มีวรยุทธ์์สูงล้ำก็เริ่มมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด“เจ้าเก่งมากที่ทำให้ข้าเลือดตก ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์์คือผู้ใดหรือ”“ข้าคือเย่เทียนหลางแห่งสำนักคุ้มภัย รู้แล้วก็จำไปบอกยมบาลด้วยว่า ใครสังหารเจ้า”“ยะ...เย่เทียนหลางหรือ” ชายชุดดำละล่ำละลัก น้ำเสียงอ่อนลงด้วยความหวั่นเกรง“ต้องให้พูดซ้ำหรือ” เย่เทียนหลางยิ้มเยาะ แต่กลิ่นอายสังหารยังไม่ลดน้อยถอยลงเลยพอได้ยินว่าบุรุษตรงหน้าคือทายาทสำนักคุ้มภัยตระกูลเย่อันเลื่องลือ โจรราคะก็มีท่าทางหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก มันไม่คิดจะต่อกรกับอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้วมือหนาล้วงระเบิดควันออกมาแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างรวดเร็ว ห้องทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยกลุ่มควัน แล้วชายชุดดำก็อาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไปทางหน้าต่าง“บัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า” เย่เทียนหลางกัดฟันกรอด พลางสบถอย่างเดือดดาล แล้วทำท่าจะกระโดดตามออกไป“ช้าก่อน” เสียงสั่นเครือของหลี่จื่อเหยาดัง
ร่างบางวิ่งต่อไปอย่างทุลักทุเลด้วยความหวังสองเท้าย่ำลงไปบนหิมะที่ทั้งหนาและเย็นเฉียบ ความเหนื่อยล้าทำให้ความเร็วในการก้าวเท้าลดน้อยถอยลง๔หลี่จื่อเหยาเริ่มหอบ ลมหายใจกระทบอากาศเย็นจนกลายเป็นควัน ร่างบางไม่อาจฝืนได้อีก นางจึงหันกลับไปมองทางที่ตนเพิ่งผ่านมา เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดติดตามจึงผ่อนฝีเท้าลงความจริงนางควรจะดีใจ แต่เมื่อคิดว่าคนร้ายทั้งสามอาจจะตามเสี่ยวจูไป จึงไม่อาจยินดีได้ มีทางเดียวคือต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วตามคนมาช่วยสาวใช้คนสนิทให้จงได้หญิงสาวเดินต่อไปไม่ถึงร้อยเชียะความหวังก็ดับวูบ เมื่อหนึ่งในกลุ่มโจรขวางทางอยู่ หลี่จื่อเหยาแทบร้องไห้ แต่น้ำตายังไม่ทันหยด ร่างบางก็ถูกคนตัวใหญ่ในชุดสีดำจับตัวเอาไว้ เขาตวัดแขนนำหลี่จื่อเหยาขึ้นพาดบ่า แล้วทะยานกลับไปยังทิศทางที่นางเพิ่งจะผ่านมาอย่างยากลำบากด้วยความเร็วลมหนาวบาดผิว แต่ความสิ้นหวังบาดหัวใจยิ่งกว่าในที่สุดชายชุดดำก็พาหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายกลับมาถึงกระท่อมหลังเก่า เขาสาวเท้าตรงไปข้างใน และครานี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ห้องด้านนอก ร่างสูงกำยำตรงดิ่งไปยังห้องนอน ครั้นถึงที่หมายก็วางหญิงสาวลงบนเตียงแข็งกระด้างความหวาดกลัวพุ่งขึ้นถึ
คณะเดินทางเคลื่อนที่ไปได้อีกสี่ลี้ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เบื้องหน้าปรากฎคนสวมชุดดำ ปิดหน้าตาสามคนถือดาบกระโดดออกมาจากชายป่าขวางเส้นทางเอาไว้หนึ่งในนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นมาบนรถม้าแล้วแย่งบังเหียนจากคนขับ ส่วนชายชุดดำอีกคนก็ตรงไปจัดการคนขับเกวียน รถม้าถูกบังคับให้หยุดลงกลางคัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วเสียงเอะอะ จากภายนอกทำให้หลี่จื่อเหยานั่งกอดกับเสี่ยวจูด้วยความหวาดกลัว ฉับพลันที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นบุรุษตัวใหญ่ในชุดสีดำก้าวเข้ามา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็คว้าตัวเสี่ยวจูแล้วลากออกไปส่งให้พรรคพวกอีกคนที่รอท่าอยู่ เสียงกรีดร้องตกใจ ของหญิงสาวทั้งสองคนกลับเรียกเสียงหัวเราะน่ารังเกียจจากโจรร้าย“ปล่อยพวกข้าไปเถิด หากต้องการเงินทอง ข้าจะนำของมีค่าที่ติดตัวมาให้เจ้าทั้งหมด” หลี่จื่อเหยาพยายามต่อรองทั้งที่หวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก นางคว้าถุงเงินแล้วโยนไปตรงหน้าโจร ชายชุดดำก้มลงเก็บถุงเงินแล้วโยนเล่นก่อนจะเก็บเข้าไปที่ข้างเอว“แน่นอนว่าข้าอยากได้เงิน แต่จะดีสักเพียงใดถ้าได้คุณหนูคนงามมากอดกกด้วย” ชายชุดดำกลั้วหัวเราะพร้อมเดินย่างสาม
“วันนี้เราอาจจะจัดเตรียมให้ไม่ทัน ทางร้านขอนัดส่งสินค้าภายในวันพรุ่งนี้ ก็แล้วกันนะเจ้าค่ะ” หลี่จื่อเหยาตอบอย่างสุภาพ เมื่อเห็นสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย นางพลันก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบนั้นทันที“พรุ่งนี้ข้าจะแจ้งกับพ่อบ้านให้รอรับของ หากพร้อมแล้วก็ส่งคนไปได้ทุกเมื่อ”“เนื่องจากท่านสั่งสินค้าจำนวนมาก ทางร้านจึงจำเป็นต้องขอค่ามัดจำสินค้าก่อนครึ่งหนึ่ง เมื่อส่งของเรียบร้อยแล้วค่อยรับเงินส่วนที่เหลือ ไม่ทราบว่าคุณชายเย่สะดวกหรือไม่เจ้าคะ” นางเหลือบตาขึ้นมองหน้าคมเข้มนั้น แต่ก็ต้องมีอันหลุบตากลับลงไปอีกครา เขาไม่ยอมเลิกจ้องนาง ความรู้สึกบางอย่างถูกส่งออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น จนทำให้นางรู้สึกขวยอายไปหมด“คุณหนูหลี่เขียนสัญญาซื้อขายได้เลย ข้าพร้อมจ่ายตามข้อตกลง”“เช่นนั้นเชิญคุณชายทางด้านนี้เจ้าค่ะ”หลี่จื่อเหยารีบสาวเท้าเดินนำเขาไปยังโต๊ะเก็บเงินของร้าน นางเชิญให้เขานั่ง ส่วนตนเองนั้นเคลื่อนกายไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเปิดลิ้นชักหยิบสัญญาซื้อขายออกมาสองฉบับ จากนั้นจึงหยิบลูกคิดขึ้นมาดีดอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจรดปลายพู่กันลงจำนวนเงินมัดจำพร้อมประทับตราร้านค้าลงในสัญญาที่เตรียมเอาไว้“เชิญคุณชา
“รักษาตัวเอาไว้ให้ดี อย่าทำอย่างเมื่อครู่กับผู้ใดอีกหากข้าไม่สั่ง” เขาเค้นเสียงเข้ม“จะ...เจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าตามคำสั่งอย่างร้อนรนมู่หรงอี้หวายมองสำรวจตรวจความเรียบร้อย เพราะไม่อยากให้หญิงสาวใช้เล่ห์กลทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเขาล่วงเกินนาง แต่แล้วนัยน์ตาคมกริบ ก็เหลือบเห็นความผิดปกติบางอย่าง ร่างแกร่งขยับกายไปนั่งตรงข้างเตียง“เหม่ยเหมย มาคุกเข่าตรงหน้าข้าประเดี๋ยวนี้”สิ้นคำสั่งสาวใช้คนสนิทก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย เขาเชยคางของนางขึ้นพลางสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่ถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ“ใคร”“อะไรนะเจ้าคะ” หญิงสาวตั้งตัวไม่ทันกับคำถามแสนสั้นนั้น“ข้าถามว่า ใคร!” มู่หรงอี้หวายเน้นเสียงหนัก โทสะพวยพุ่ง“มะ...ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มี” นางละล่ำละลัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะดูออก“หากไม่พูดมาตามตรง พรุ่งนี้ออกจากที่นี่ไปได้เลย แต่ถ้าสารภาพมา ข้าจะไล่แค่ไอ้คนหื่นกามนั่นออกไปเพียงผู้เดียว”“คะ...คุณชายเย่ เป็นคุณชายเย่ แต่บ่าวถูกเขาบังคับไม่ได้เต็มใจจริงๆ นะเจ้าคะ” เหม่ยเหมยน้ำตาคลอ หวังว่าผู้เป็นนายจะให้อภัยนางมู่หรงอี้หวายปล่อยมือจากปลายคาง แล้วส่งเสียงหึในลำคอ“เ
“คุณชายเจ้าคะ เหม่ยเหมยขอเข้าไปได้หรือไม่”“เข้ามาได้” มู่หรงอี้หวายตอบรับ โดยไม่ยอมปล่อยมือว่าที่เจ้าสาว พลางถามสาวใช้ของตนเสียงเย็น “มีอะไร” “พ่อบ้านใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งว่า เตรียมรถม้าให้คุณหนูหลี่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”“พวกเจ้าช่างรู้จังหวะเสียจริง” มู่หรงอี้หวายยกยิ้ม คิดถึงหน้าพ่อบ้านเก่าแก่ที่เหมือนรู้ทุกอย่างในบ้านผู้นั้น“จื่อเหยาขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”“แล้วพบกันนะเหยาเอ๋อร์ คนดีของข้า” เขาส่งยิ้มเจิดจ้าละลายหัวใจไปยังหญิงสาว หลี่จื่อเหยาคลี่ยิ้มอ่อนหวานน่ารักตอบกลับไป นางลุกขึ้นแล้วเยื้องย่างไปเบื้องหน้า ก่อนจะหันกลับมาสบตาบุรุษในดวงใจอีกครั้งหนึ่ง จึงค่อยเดินออกจากห้องไปจริงๆเหม่ยเหมยเห็นแล้วแทบทนไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงลอบบริภาษอีกฝ่ายในใจ‘นังแพศยา มากมารยา คงกำลังเสแสร้งว่าใสซื่ออยู่สินะ ยามนี้นายน้อยกำลังหลงเจ้า แต่สักวันเถิดเขาจะเขี่ยเจ้าทิ้ง’เมื่อหลี่จื่อเหยาจากไปไกลแล้ว มู่หรงอี้หวายจึงเอนกายลงนอนอีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อาการบาดเจ็บทางร่างกายของเขานั้นหนักหนาจริงๆ แผลที่ศีรษะค่อนข้างลึก แม้จะถอดผ้าพันแผลออกแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยาที่ดื่มก็มีฤทธิ์ท
หลังจากเย่เทียนหลางจากไปแล้ว เหม่ยเหมยจึงเดินกลับไปยังเรือนพักของนายน้อยมู่หรงนางเปิดประตูแล้วตรงไปยังห้องนอนของมู่หรงอี้หวายอย่างเงียบเชียบ ครั้นเห็นนายน้อยกำลังออดอ้อนว่าที่เจ้าสาวอย่างอ่อนโยน นางก็ทำหน้าเหมือนกำลังกลืนเข็มพันเล่มลงคอ เจ็บปวดแต่ไม่อาจพูด ได้แต่อิจฉาหลี่จื่อเหยาอยู่เงียบๆมู่หรงอี้หวายเหลือบเห็นใครบางคนตรงม่านลูกปัด พอสังเกตดีๆ แล้วเห็นเป็นสาวใช้ต้นห้อง ก็ไม่ได้สนใจที่นางอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชายหญิง คงเป็นเพราะหญิงสาวเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว‘อืม... อีกไม่นานข้าคงใช้งานเหม่ยเหมยได้แล้วสินะ’ชายหนุ่มเก็บสายตากลับมา แล้วให้ความสนใจกระต่ายขาวในอ้อมแขนอีกครั้ง หลี่จื่อเหยาช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ว่าง่าย และอ่อนหวานราวน้ำผึ้ง เป็นสตรีในแบบที่เขาต้องการไม่มีผิด เหลืออีกไม่กี่ก้าวนางก็จะกลายสภาพเป็นทาสรักของเขาอย่างสมบูรณ์แววตาหลงใหลผสานความร้อนแรงจากอารมณ์ปรารถนาล้ำลึกถูกส่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว หลี่จื่อเหยาได้เห็นก็สั่นสะท้าน นางหลุบตาลง ไม่กล้ามองหน้าเขา“เหยาเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ ตัวสั่นเชียว”“ก็พี่อี้หวายมองข้าราวกับ... ราวกับ...” นางอึกอัก หน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกระลอก
ชาหอมกรุ่นกับขนมถูกวางลงบนโต๊ะเหม่ยเหมยรินน้ำชาใส่จอกส่งให้เย่เทียนหลางอย่างคล่องแคล่ว นางเป็นสาวใช้ก็จริง แต่กลับได้รับการดูแลอย่างดีเกินกว่าฐานะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ล้วนขับเน้นให้นางโดดเด่นมากกว่าผู้ใด มู่หรงอี้หวายให้นางปรนนิบัติข้างกายมาหลายปี หนำซ้ำยังให้เรียนเขียนอ่าน กระทั้งดนตรีก็เชี่ยวชาญ ทุกคนต่างคิดว่านายน้อยมู่หรงคงชุบเลี้ยงสตรีผู้นี้ไว้เป็นอนุ ดังนั้นบ่าวไพร่ในคฤหาสน์จึงปฏิบัติต่อนางอย่างนอบน้อมเนื่องจากเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนหวาน จึงไม่แปลกที่เย่เทียนหลางจะชื่นชมนางอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่มาเยือนคฤหาสน์ ก็มักจะเสวนากับนางนานๆ บางครั้งยังนำของมาฝากติดมือมาให้ เขาจึงเป็นบุคคลที่หญิงสาวทำดีด้วยเป็นพิเศษ แต่เมื่อครู่ ด้วยโทสะที่คุกรุ่น เขากลับเอาเปรียบนาง เพื่อระบายความอัดอั้นที่ไม่อาจตระกองกอดหลี่จื่อเหยาได้ชายหนุ่มมองใบหน้างามอย่างพิจารณา ก็พบว่ายามนี้มันช่างราบเรียบเสียเหลือเกิน ต่างกับเมื่อครู่ที่สีชาดฉาบผิวนวลจนไปจนถึงใบหู‘ดูเหมือนว่าระหว่างเตรียมของว่าง นางคงตั้งสติได้แล้วกระมัง’ “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวเหม่ยเหมยจะไปเรียนนายน้อยว่า คุณชายค