ณ เขาไท่ซวน ภายใต้เงาจันทร์ที่ส่องแสงเย็นตา ลมภูเขาพัดเอื่อยไล้ใบไม้ให้เอนไหวเป็นจังหวะเงียบสงบ
ท่ามกลางสวนดอกโบตั๋นที่ผลิบานในยามราตรี
นักพรต"อี้เซียน"
ยืนสงบนิ่งอยู่กลางสวนเบื้องหน้าดอกโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์
ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงกลางดอกโบตั๋นดอกโตเป็นพิเศษ เรือนแสงสว่างจ้ากลีบดอกโบตั๋นสีเงินเรืองรองก็พลิ้วไหว สายลมพัดวนรอบดอกไม้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
ทันใดนั้น นางปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้างดงาม ร่างระหง ผมยาวสลวยไหลลงอาบแผ่นหลัง ดวงตากลมดำใสดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนมืด ผิวพรรณขาวผ่องละมุนราวหิมะ ร่างระหงดูประหนึ่งนางฟ้าจากสรวงสวรรค์
นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวเงินอ่อน นุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ราวกับปุยเมฆที่ล่องลอยในท้องฟ้า
"เจ้าคือ...มู่หลิน" นักพรตอี้เซียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตา
หญิงสาวกะพริบตา มองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
"ท่านอาจารย์? ข้า...มู่หลินหรือ?"
"ใช่แล้ว เจ้าถือกำเนิดจากโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่ถูกลิขิตให้เกิดมา"
นักพรตเฒ่ายิ้มบาง ๆ สายตาอ่านผ่านโชคชะตาของนางได้เพียงเล็กน้อย รู้แต่ว่านางมิใช่ผู้ธรรมดา
นางถือกำเนิดมาพร้อมกับมุกพลังจันทรา เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีทั้งแสงและเงาในตัวเอง มันสามารถใช้ รักษา บรรเทา หรือชุบชีวิต ได้แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นพลังที่ ปีศาจและมารร้ายต้องการ เพราะหากพวกมันครอบครอง จะกลายเป็น อสูรนิรันดร์ ฆ่าไม่ตาย
“มู่หลิน ข้าให้กำไลหยกพลังจันทรานี้แก่เจ้า จงสวมมันติดตัวไว้ เพราะมันจะอำพรางพลังมุกจันทราของเจ้า ไม่ให้เป็นที่โดดเด่น หมู่มารจะได้ไม่สนใจเจ้า”
นักพรตอี้เซียนกล่าวพลางส่งกำไลหยกเนื้อดีให้ศิษย์สาว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
มู่หลินรับกำไลมาอย่างเคารพ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาอาจารย์
“ขอบคุณอาจารย์เจ้าค่ะ ข้าจะใส่กำไลไว้ตลอด”
นางสวมกำไลลงบนข้อมือ ความเย็นจากหยกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายม่านพลังบางเบาค่อยๆ ปกคลุมตัวนางไว้ นี่คือสิ่งเดียวที่สามารถปิดซ่อนมุกพลังจันทราได้ แต่ในขณะเดียวกัน… มันก็เป็นเครื่องเตือนใจว่านางต้องระวังตัวตลอดเวลา
นักพรตอี้เซียนพยักหน้าเบาๆ พลางทอดถอนใจ “จำไว้มู่หลิน… หากวันใดกำไลนี้แตกสลาย เจ้าจะ
ไม่มีที่ให้หลบซ่อนอีกต่อไป”
“ข้าจะดูแลกำไลให้ดีที่สุดเจ้าค่ะอาจารย์”
มู่หลินยกมือประสานคารวะอาจารย์อย่างนอบน้อม
ตั้งแต่นั้นมา มู่หลินก็เติบโตภายใต้การดูแลของนักพรตอี้เซียน นางเรียนวิชาปราบมาร ฝึกฝนทั้งศาสตร์แห่งพลังปราณและศิลปะการต่อสู้
นางร่าเริง สดใสดุจแสงจันทร์ในคืนสงบ แม้ว่าจะมีพลังพิเศษ แต่นางกลับมิได้ถือตัว และมักช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
วันหนึ่งนางขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรในป่าลึก
มีหมอกขาวลอยละล่องปกคลุมมวลผืนป่านางมองเห็น เขาลูกหนึ่งสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้ายามพลบค่ำ
มู่หลินเดินอยู่ท่ามกลางสายลมที่อ่อนโยน นางมีอาวุธประจำตัว "ดอกโบตั๋นสะกดวิญญาณ" ไว้แนบตัว
“ป่านี้ไม่ธรรมดา ข้าได้กลิ่นความตายจากเหล่าปีศาจหมู่มาร” นางพึมพำกับตัวเอง
“ฟุบ!”
ร่างของบุรุษผู้หนึ่งตกลงมาจากหน้าผา พลังมหาศาลแผ่ออกมาจากตัวเขา แต่บาดเจ็บหนักเกินกว่าจะตั้งรับทัน เขาทรุดลงกับพื้น เลือดสีแดงฉานไหลออกจากปาก
มู่หลินเบิกตากว้าง รีบก้าวเข้าไปใกล้ด้วยความตกใจ
"ท่าน! บาดเจ็บ"
บุรุษนั้นมีดวงตาสีแดง ใบหน้าคล้ำจากการฝึกอาคม แม้จะดูภายนอกแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ร่างกายอ่อนล้าจากบาดแผล
อาภรณ์สีดำประดับด้วยลวดลายมังกรทองเผยให้เห็นว่าเขาหาใช่บุรุษธรรมดา
"ข้า..."
เขาขมวดคิ้ว ฝืนลืมตาขึ้นมามองนาง รู้สึกเหมือนเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน แม้จะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับนางในอดีต แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นอย่างไร้เหตุผล
มู่หลินสัมผัสถึงบางอย่าง นางรู้สึกถึงความผูกพันประหลาดในใจ นางคุกเข่าลงพลางใช้พลังเยียวยาบาดแผลเขา
"เจ้าช่วยข้าทำไม..."
เขาเอ่ยขึ้น เสียงแหบพร่า
"ข้าไม่รู้เหตุผลหรอก แต่ข้าอยากช่วยท่าน คนจะตายต่อหน้าถ้าไม่ช่วยก็ใจดำเกินไป"
นางยิ้มอ่อนโยน
"บางที...เราอาจเคยรู้จักกันมาก่อน"
บุรุษผู้นั้นจ้องนางนิ่งงัน หัวใจเต้นกระหน่ำ นั่นคือการพบกันครั้งแรกของ "มู่หลิน" และ "ไป๋เทียนหลง"
แม้จะจำอดีตชาติไม่ได้ แต่โชคชะตาก็ขีดเส้นทางให้พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง...ระหว่างเทพแห่งจันทราและเทพแห่งสงคราม
“ขอบใจเจ้ามาก… แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าใกล้ ข้า… ถ้าเจ้าอยู่ใกล้ข้า เจ้าจะไม่ปลอดภัย”
น้ำเสียงของไป๋เทียนหลงแหบแห้ง ฝืนพูดออกมา สายตาเศร้าหมองแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้
มู่หลินยืนข้างๆ เขา สายตาหวั่นไหว หัวใจเฝ้าแต่คำนึงถึงความทุกข์ทรมานที่เขากำลังเผชิญ
“บุรุษท่านนี้… ทำไมถึงมีกลิ่นมารแรงขนาดนี้… ร่างกายของท่านกำลังจะถูกครอบงำด้วยพลังมาร… ข้าไม่สามารถปล่อยท่านไปได้ ข้า… ข้าต้องช่วยท่าน”
มู่หลินพยายามเข้าหาเขา นางตั้งใจจะหาทางช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากพลังมารนั้น แต่มือของไป๋เทียนหลงขยับอย่างรวดเร็ว เขาออกเวทมารไอสีดำลอเหนือร่างมู่หลิน ทำให้นางสลบไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ไป๋เทียนหลงกลับมายังหุบเขาจอมมาร ก็ได้พบกับจ้าวแห่งจอมมาร
“ไป๋เทียนหลง ข้าให้เจ้าไปหาธิดามารเจ้าได้ไปหรือไม่” เสียงของจ้าวแห่งจอมมารดังขึ้น พร้อมกับความกดดัน
“ท่านพ่อข้าตั้งใจจะไปหานางแล้ว แต่ข้าไปเจอกับเหล่ามารของฮั่วเทียนหลงก่อนจึงต่อสู้กันข้าได้รับบาดเจ็บจึงกลับมาก่อนไม่ได้พบนาง”
“ฮั่วเทียนหลง นี้ช่างกล้านัก มันคงไม่พอใจที่เจ้าต้องไปพบธิดามารจริงๆ ถึงทำร้ายเจ้า เจ้าไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว”
“ต่อจากนี้เจ้าจงฟังคำสั่งข้า เพราะข้าจะทำให้เจ้าเป็นจอมมารอย่างสมบูรณ์ หวังว่าเจ้าคงไม่ลืมที่จะล้างแค้นคนที่ทำให้แม่ของเจ้าต้องตาย”
ไป๋เทียนหลงย้อนคิดถึงอดีตที่แสนปวดร้าว หลังจากที่ออกจากจวนไป๋เซียง… เขากลายเป็นขอทาน ไม่ได้กินข้าวน้ำ ถูกรังแกจากผู้คนมากมาย เขาทนทุกข์ทรมานจากความหนาวเหน็บ
หนทางเดินที่แสนยากลำบาก ต้องนอนกลางดิน ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน ต้องอาศัยนอนพักในคอกหมูคอกวัวเพราะอย่างน้อยก็มีฟางให้ไออุ่นได้ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรันทด และเจ็บปวดจนแทบจะหมดสิ้นกำลังใจ
แต่เขารู้ดี… ถ้าเขายังอยู่ในสภาพนี้ เขาคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นให้กับแม่
ย้อนไปวันที่ จ้าวแห่งจอมมารได้มองเห็นถึงความพิเศษในตัวเขา จึงยื่นมือมาชวนเขาฝึกวิชามาร เพื่อให้เขามีโอกาสแก้แค้นให้กับแม่…
ไป๋เทียนหลงต้องใช้เวลาฝึกวิชามารเกือบสิบปี กว่าจะสามารถควบคุมพลังมารได้จนถึงขั้นนี้ เขาฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ทั้งหมดเพื่อความแค้น และเพื่อตัวเขาที่ไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม…
จวนไป๋เซียง...เสียงในจวนแตกตื่นเมื่อไป๋เทียนหลงลงมาจากฟ้า แสงสีดำอำมหิตจากร่างของเขาปกคลุมไปทั่ว เขามองดูทุกคนที่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว คนรับใช้ในจวนตกใจและตะโกนออกไป“ไปตามท่านแม่ทัพมาเร็ว จอมมารบุกจวนแล้ว!”ชายคนหนึ่งวิ่งไปตามหาท่านแม่ทัพไป๋เฉิงหลงผู้เป็นบิดาของไป๋เทียนหลงทันทีไป๋เฉิงหลงยืนนิ่งเมื่อได้ยินคำรายงานจากลูกน้อง กำปั้นของเขากำแน่น“เจ้าหายออกไปจากจวนข้า คิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ที่แท้เจ้าก็ไปเป็นมารอย่างนั้นหรือ? หึ...ช่างน่าเวทนาเสียจริง”“หุบปาก! คนใจร้ายอย่างท่านก็ไม่ได้ดีกว่าข้านักหรอก! เป็นสามีที่แย่ ปล่อยให้ภรรยาตัวเองถูกรังแกจนต้องตาย! วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้กับท่านแม่ของข้า!”ไป๋เทียนหลงพูดด้วยเสียงกร้าวไป๋เฉิงหลงยิ้มเยาะ“หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นนั้น...ก็มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย! ลูกชู้อย่างเจ้าก็ไม่ควรอยู่!”คำว่าลูกชู้นั้นทำให้ไป๋เทียนหลงเจ็บปวดในใจ ดวงตาของเขาร้อนระอุแดงก่ำ มองไปยังบิดาทันที พร้อมใช้วิชามารพลังสีดำพุ่งเข้าใส่ไป๋เฉิงหลงโดยตรง“อ๊าก...เจ้า...”ไป๋เฉิงหลงร้องลั่น ลงไปกองกับพื้นกระอักเลือดทันที“คุณชายใหญ่อย่าทำอย่างนี้เลยนะเจ้าค่ะ...เห็
“เซียวหาน ท่านเห็นศิษย์น้องหรือไม่? นี่ก็นานแล้วที่นางขอไปเดินตลาดคนเดียว ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”ซิวเหยาถามด้วยความกังวล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย“เจ้าอย่าห่วงนางเลย นางมีวรยุทธและของวิเศษมากมาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้หรอก”เซียวหานกล่าวเสียงเบา แล้วหันมามองนางอย่างอ่อนโยน“ว่าแต่...เจ้าอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปเอง”ซิวเหยายิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ที่เขาทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจ ทั้งคำพูดและการกระทำของเขากลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนที่พร้อมจะดูแลเสมอ“ท่านนี่ก็น่ารักดีนะ ดูใส่ใจข้าดี”ซิวเหยาพึมพำเบาๆ อย่างรู้สึกดี“เจ้าว่าอะไรนะ?”เซียวหานถามกลับด้วยท่าทีแปลกใจ แม้จะพยายามเก็บความรู้สึกไว้ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”นางรีบยิ้มแล้วหันไปมองร้านผลไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า "เอาไม้หนึ่ง"นางสั่งพ่อค้าเสียงดังอย่างร่าเริงเซียวหานไม่ลังเล เขาหยิบเงินจากถุงของตัวเองแล้วยื่นให้พ่อค้าทันที ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนที่ซิวเหยาจะหันกลับไปหามองเขาอย่างดีใจ"ขอบคุณ!"นางยิ้มหวาน ตาเป็นประกาย พร้อมถือไม้ผลไม้ชุบน้ำตาลในมือไปด้วยอย่างอารมณ์ดีเซียวหานมองนางด้วยความพึงพอใจ
เมืองหย่งกง...ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วแต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเองข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขาไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำแต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”มู่หลินเอ่ยถามด้ว
เขาไท่ซวน …"มู่หลิน เหตุใดเจ้าถึงไปนอนหมดสติอยู่กลางป่าลึกขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น?"ซิวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ขณะที่สายตาของนางจ้องไปยังมู่หลินด้วยความสงสัย"ข้าจำได้ว่าข้าช่วยชายคนหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้ข้าสลบไป"มู่หลินตอบเสียงเบา สายตาหลบเล็กน้อย ขณะที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในป่านั้น"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"เซียวหานถามอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถปกปิดได้"ข้าดีขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องกังวล"มู่หลินยิ้มบาง ๆ ตอบรับคำถามนั้น เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนห่วงใยเธอมากแค่ไหนเซียวหานและซิวเหยาเป็นศิษย์ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากนักพรตอี้เซียน ผู้มีวิชา และวรยุทธเก่งกล้า ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่มีทักษะในการปราบมารอย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเซียวหานที่มีอาวุธคู่กายเป็นกระบี่ปราบมาร "ทยาลกันต์" ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีพลังอันแข็งแกร่ง เพราะถูกหลอมด้วยเหล็กกล้าสวรรค์และไฟอเวจี ใช้โลหิตของเซียนทั้งแปดขณะที่ซิวเหยาก็มีอาวุธเป็นพัดเพลงแห่งลม พัดที่มีพลังจากเสียงเพลงของลม เมื่อกางออกเสียงเพลงจากพัดนี้จะสะท้อนคลื่นเสียงที่มีพลังคมดังมีดกรีด
ณ เขาไท่ซวน ภายใต้เงาจันทร์ที่ส่องแสงเย็นตา ลมภูเขาพัดเอื่อยไล้ใบไม้ให้เอนไหวเป็นจังหวะเงียบสงบท่ามกลางสวนดอกโบตั๋นที่ผลิบานในยามราตรีนักพรต"อี้เซียน"ยืนสงบนิ่งอยู่กลางสวนเบื้องหน้าดอกโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงกลางดอกโบตั๋นดอกโตเป็นพิเศษ เรือนแสงสว่างจ้ากลีบดอกโบตั๋นสีเงินเรืองรองก็พลิ้วไหว สายลมพัดวนรอบดอกไม้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นทันใดนั้น นางปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้างดงาม ร่างระหง ผมยาวสลวยไหลลงอาบแผ่นหลัง ดวงตากลมดำใสดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนมืด ผิวพรรณขาวผ่องละมุนราวหิมะ ร่างระหงดูประหนึ่งนางฟ้าจากสรวงสวรรค์นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวเงินอ่อน นุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ราวกับปุยเมฆที่ล่องลอยในท้องฟ้า"เจ้าคือ...มู่หลิน" นักพรตอี้เซียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตาหญิงสาวกะพริบตา มองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา"ท่านอาจารย์? ข้า...มู่หลินหรือ?""ใช่แล้ว เจ้าถือกำเนิดจากโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่ถูกลิขิตให้เกิดมา"นักพรตเฒ่ายิ้มบาง ๆ สายตาอ่านผ่านโชคชะตาของนางได้เพียงเล็กน้อย รู้แต่ว่านางมิใช่ผู้ธรรมดานางถือกำเนิดมาพ
จวนไป๋เซียง...แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียงเมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียงการแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลงแต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพแต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่นบรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่ว
ห้องบรรทมเยว์ซิน เทพแห่งจันทรา“เร็วซือเหยามาช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกหาข้าแล้ว”“เพคะธิดาเทพ”ซือเหยาช่วยเยว์ซินแต่งองค์ให้สง่างามสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งจันทราของสวรรค์ แม้นางจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แสนซน แต่หน้าที่ของนางนั้นยิ่งใหญ่นัก คำสั่งของสวรรค์นั้นไม่อาจละเลยได้“ธิดาเทพแห่งจันทราเจ้าไปที่ใดมา ทำไมหมู่นี้ข้าไม่เจอเจ้ามาที่ท้องพระโรงเลย”เสียงท่านเฮ่าเทียนตี้จุนผู้เป็นบิดาดังขึ้นในห้อง ท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย“ท่านพ่อเพคะ ข้าเป็นเทพธิดาตัวเล็ก ๆ จะไปไหนได้เพคะ อยู่ได้แค่สวนในสรวงสวรรค์เท่านั้นเพคะ”เยว์ซินพูดพลางยิ้ม ตอบคำถามของบิดา“ท่านพี่ก็อย่าว่าลูกเลย นางก็มีกิจของนาง”ตี้หย่งเหอกล่าวปกป้องธิดาของตนทันที เยว์ซินมองตามารดาแล้วยิ้มอบอุ่นที่เห็นมารดาปกป้องนางจนถึงขนาดนี้“ท่านแม่เข้าใจลูกที่สุด”เยว์ซินเข้าไปกอดมารดาของนางอย่างออดอ้อน“ถ้าท่านพ่อไม่มีอะไรจะตรัสกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”เยว์ซินยกมือประสานคารวะผู้เป็นบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม จากนั้นนางหมุนตัวเพื่อเดินจากไปจนถึงประตูแต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินตรงเข้ามาผู้นั้นคือ จิ่นหลิง“ท่านมาที่นี่ได้อย
เยว์ซินได้จัดการปีศาจแมงป่องจนสิ้นซากเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนนี้ทั้งสองยังคงพักอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงรายงานจากซือเหยาดังขึ้นหลังจากไปสำรวจรอบๆ กระท่อม“ธิดาเทพเพคะ ข้างหลังกระท่อมมีโครงกระดูกมนุษย์มากมายเต็มไปหมด คาดว่าผู้คนคงถูกหลอกล่อให้มายังหุบเขานี้เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ กะโหลกส่วนใหญ่เป็นกะโหลกของเด็กๆ ทั้งนั้น”เยว์ซินโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อได้ยินรายงานนี้ ปีศาจชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ควรปล่อยไว้“เรื่องนี้ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้! รุ่งสางข้าจะต้องเข้าไปในถ้ำของหุบเขานี้ให้ได้ คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว โลกมนุษย์ไม่เหมือนสวรรค์ ทุกการกระทำต้องใช้พลังจากร่างกาย ทำให้เราเหนื่อยล้าได้”รุ่งสางทั้งสองเดินทางเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ เส้นทางแคบ ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นดอกลมหายใจปีศาจที่ลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ทั้งสองใช้ผ้าปิดจมูกแน่นหนา เพราะหากสูดดมกลิ่นเข้าไปเพียงแค่ครู่เดียว ร่างกายจะค่อยๆ แข็งทื่อ หัวใจเต้นช้าลง จนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ“ดอกไม้ที่นี่ล้วนมีพิษทั้งนั้น ระวังตัวด้วยนะ ซือเหยา” เยว์ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กังวลซือเหยาพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินลึกเข้าไป
บรรยากาศบนสรวงสวรรค์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เหล่าเทพเซียนจากทั่วทุกชั้นฟ้าได้รวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงแห่งสวรรค์ เพื่อหารือถึงวิกฤตที่กำลังคุกคามทั้งโลกมนุษย์และแดนสวรรค์เหนือบัลลังก์ทองคำ เฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ ทรงเปล่งสุรเสียงหนักแน่น สะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง“บัดนี้ หมู่มารได้บังอาจบุกรุก ทำลายและครอบครองโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำ ยังลามปามขึ้นมาก่อกวนยังสรวงสวรรค์! พวกเราจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้! จะต้องหาทางกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”เฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์กล่าวเสียงสนทนาอื้ออึงของเหล่าเทพเซียนดังกระหึ่มด้วยความกังวล เทพแห่งสงครามผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาเทพนักรบลุกขึ้น ประสานมือคารวะจักรพรรดิอย่างเคร่งขรึม“องค์จักรพรรดิ ข้าได้ส่งบุตรชายของข้าลงไปสำรวจโลกมนุษย์แล้ว” เสียนเทียนกล่าว“เขาเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้ายินดีจะให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ในการศึกครั้งนี้”เฮ่าเทียนตี้จุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงเนตรเปล่งประกายทรงอำนาจ“ดีมาก อย่างไรก็ดี พวกเจ้าจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังปกป้องทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ข้าจะไม่ยอมให้หมู่มารเหิมเกริมไปมากกว่านี้”ขณะที่เหล่าเทพสนทนา