จวนไป๋เซียง...
แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียง
เมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียง
การแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลง
แต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพ
แต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่น
บรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ท่ามกลางอากาศที่เย็นชื้นใต้แสงแดดอ่อนๆ ที่กำลังเริ่มฉายลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหิมะ เสียงวิวาทดังมาจากห้องโถงใหญ่
“ไอ้ลูกชู้ เจ้ามาสิทธิ์อะไรมาแย่งของลูกข้า!”
จ้าวหงหลิงตะโกนต่อว่าไป๋เทียนหลงทันที
“ท่านแม่รองนี่มันหนังสือเรียนของข้า ไป๋หยางเซินต่างหากที่มาแย่งหนังสือข้า!”
“ต่อให้ไป๋หยางเซินแย่งจริง เจ้าก็ต้องให้เขา เจ้าก็แค่ลูกชู้อย่ามาถือดี!”
"เพี้ยะ!"
ฝ่ามือของซูเหม่ยหลานฟาดลงบนหน้าของจ้าวหงหลิงอย่างแรง
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่าลูกข้าเป็นลูกชู้! ตลอดเวลาหลายปีเจ้าป่าวประกาศไปทั่ว เจ้านี่มันชั่วช้าสิ้นดี จ้าวหงหลิง!”
ซูเหม่ยหลานตอบกลับด้วยความโกรธ
“เจ้ากล้าตบข้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีที่อยู่ในจวนนี้!”
ทันทีที่จ้าวหงหลิงพูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นแม่ทัพไป๋เฉิงหลงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางหยิบปิ่นปังผมที่อยู่บนศีรษะของซูเหม่ยหลานแล้วเอามือของเธอไปจับมันไว้ ก่อนวิ่งเข้าไปสร้างสถานการณ์ว่า ซูเหม่ยหลานพยายามใช้ปิ่นปักผมฆ่าตนเอง
“โอ๊ย... เหตุใดท่านจึงคิดฆ่าข้า?”
ปิ่นปักลงกลางอก เลือดไหลทะลักออกมาจ้าวหงหลิง ล้มลงไปฟุบกับพื้น เสียงร้องของนางทำให้แม่ทัพวิ่งมาที่เหตุการณ์ในทันที
“ซูเหม่ยหลาน! นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงคิดฆ่าคนได้ขนาดนี้?”
“ข้าไม่ได้ทำ! นางแทงตัวเอง!” ซูเหม่ยหลานปฏิเสธทันที
“ท่านพ่อ ข้าเห็นท่านแม่ใหญ่แทงท่านแม่ของข้าจริงๆ” ไป๋หยางเซิน บุตรชายคนเล็กกล่าว
“ท่านพ่อ ท่านแม่รองแทงตัวเองจริงๆ ข้าเป็นพยานได้!”
ไป๋เทียนหลงรีบพูดแทรกเพื่อช่วยมารดา
“ที่ผ่านมาข้าไม่ใช่คนที่ท่านโปรดปรานอยู่แล้ว ท่านอยากเชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ท่านเถิด!”
ซูเหม่ยหลานกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าใช้ปิ่นของเจ้าแทงนาง! เจ้าจะปฏิเสธขาอย่างไร! เจ้าตอบข้าสิ!” เสียงตะโกนของแม่ทัพดังก้องไปทั่วจวน สีหน้าของเขาแดงก่ำ ใต้ดวงตาที่คลอด้วยน้ำตาของความโกรธเกรี้ยว เขาไม่สามารถเชื่อได้ว่า หญิงผู้เป็นที่รักของเขาจะกล้าทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนี้
“เจ้าไปคุกเขาสำนึกผิดที่ลานโบตั๋น! ถ้าไม่สำนึกผิดเป็นตายอย่างไรก็ไม่ต้องเข้ามา... ไป๊!”
แม่ทัพสั่งเสียงเข้ม ดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและความเจ็บปวด
“ท่านพ่อ อย่าลงโทษท่านแม่เลย! ท่านแม่ไม่ได้ทำ!” เสียงของเด็กชายสิบขวบดังขึ้น น้ำเสียงอ้อนวอนด้วยความหวังที่จะช่วยมารดาให้พ้นจากการลงโทษ เขาร้องขอด้วยความน่าสงสาร
ซูเหม่ยหลานหันมองสามีด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ทุกอารมณ์ที่เคยมีต่อเขาละลายหายไปในพริบตา สายตาของนางตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่มีแม้แต่นิดเดียวของความรักที่เคยมีให้ เขาทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ซูเหม่ยหลานลุกขึ้น เดินไปยังลานโบตั๋นท่ามกลางหิมะตก
นางคุกเข่าลงหลายชั่วยามโดยมีบุตรชายคอยอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง
แม่ทัพยืนนิ่ง มองเห็นภรรยาของเขาทรมานต่อหน้าต่อตา ความเจ็บปวดท่วมท้นในใจเขา เขายืนมองขอโทษไม่ได้ มือที่เคยเต็มไปด้วยการสัมผัสที่อบอุ่นในช่วงเวลาที่เคยเป็นสุข ตอนนี้กลับทำอะไรไม่ถูก
อากาศรอบข้างเริ่มหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ หิมะตกหนักขึ้น ซูเหม่ยหลานรู้ดีว่าหากปล่อยบุตรชายอยู่กับนางแบบนี้ เขาคงจะไม่สบายเป็นแน่
“ป้าหวัง พาคุณชายใหญ่เข้าไปห้องก่อน”
ซูเหม่ยหลานกล่าวเสียงเบา แต่ยังคงคุกเข่าต่อไป
หิมะตกหนักจนแม่ทัพไม่สามารถยืนดูได้อีก เขากางร่มเดินไปหานาง หวังจะให้ภรรยาสำนึกผิดและกลับเข้าไปในจวน แต่ซูเหม่ยหลานกลับยืนกรานว่าไม่ได้ทำอะไร นางยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตน
“เรื่องมาถึงขนาดนี้ยังไม่ยอมรับอีก เช่นนั้นเจ้าก็รับโทษต่อไป” แม่ทัพโกรธจัดจึงเดินจากไปอย่างเจ็บปวด
นางนั่งจนร่างกายอ่อนแรง ความหนาวเริ่มจับหัวใจจนไม่สามารถทนทานต่อไปได้ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว และในที่สุด นางก็หมดสติไป
แม่ทัพรีบวิ่งเข้ามาอุ้มภรรยาของเขาเข้ามาในห้องนอนทันที เขาสั่งหมอมาดูอาการอย่างเร่งรีบ
“เดิมร่างกายของฮูหยินก็อ่อนแออยู่แล้ว เหตุใดจึงปล่อยให้ท่านไปตากหิมะแบบนี้ เกรงว่าจะอาการทรุดหนัก” หมอกล่าวพร้อมส่ายหน้า แสดงความกังวล
“พรุ่งนี้ฝากท่านแวะมาดูอาการของฮูหยินของข้าอีกครั้ง ขอเพียงแต่นางหายดี เท่าไหร่ ข้าจะยอมจ่ายทุกอย่าง”
แม่ทัพพูดด้วยเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความร้อนใจ
ซูเหม่ยหลานอาการทรุดหนัก ร่างกายอ่อนแอใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในจวน 3 ปีต่อมานางได้ล้มป่วยและจากไปไม่มีวันหวนกลับมา
“ท่านแม่ทำไมท่านทิ้งข้าไปไวถึงเพียงนี้ ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ ท่านแม่” ไป๋เทียนหลงผู้เป็นบุตรชายร้องไห้กอดร่างที่ไร้ลมหายใจของมารดา
“คุณชายใหญ่หักห้ามใจเถิดเจ้าคะ ท่านแม่ของท่านไปสบายแล้ว”
“ที่ท่านแม่ต้องจากข้าไปเพราะท่านพ่อไม่ให้ความยุติธรรม ท่านพ่อใจร้าย ข้าเกลียดท่านพ่อ”
“ไอ้ลูกชู้เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเกลียดแม่ทัพ เจ้ามันลูกชู้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลของเรา”
“เจ้ามันคนเลวใส่ร้ายแม่ข้าสักวันฟ้าจะลงโทษคนอย่างท่าน”
ทันใดนั้นแม่ทัพไป๋ได้เดินเข้ามาได้ยินบทสนทนาเขาโกรธมากที่ไป๋เทียนหลงทำตัวก้าวร้าวแบบนี้
“เพี๊ย!”
เขาฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของไป๋เทียนหลงทันที
“ท่านพ่อ ข้าเจ็บ”
“พ่อหรือใครพ่อเจ้ากันแน่ ตอนข้าออกรบแม่เจ้าก็ตั้งท้องเจ้า น่าขันนักหากเจ้าเป็นลูกของข้า”
“ในเมื่อท่านแม่ของข้าไม่อยู่แล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ในเมื่อตระกูลไป๋ไม่ยอมรับข้า ข้าก็จะไปเอง”
“หากเจ้าออกไปไม่ต้องกลับมาอีก ตั้งแต่วันนี้ข้ากับเจ้าตัดขาดกัน เจ้าไม่ใช่ลูกข้า”
“ได้ตั้งแต่วันนี้เราขาดกัน สักวันข้าจะมาแก้แค้นให้กับแม่ของข้า พวกท่านต้องชดใช้”
“พี่ใหญ่ อย่าไปเลยอยู่กับข้าที่นี่”
ไป๋เยี่ยนบุตรสาวคนเล็กของจ้าวหงหลิง เข้ามาอยู่เคียงข้างพี่ชาย แม้จะคนละแม่แต่นางก็รักและเคารพไป๋เทียนหลงเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ
“ปล่อยข้า ...ข้าไม่ใช่พี่ชายเจ้า”
ไป๋เทียนหลงเดินออกจากตระกูลไป๋ตัวเปล่าไม่มีอะไรติดตัวมาแม้แต่น้อย เขากลายเป็นคนพเนจรอดมื้อกินมื้อ นอนในคอกหมูคอกวั; ต้องทนกับการรังแกของเด็กๆ แถวตลาด เขาใช้ชีวิตแบบนี้ไปวันๆ จนมาเจอกับจ้าวแห่งจอมมาร ชีวิตเขาต่อจากนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
จวนไป๋เซียง...เสียงในจวนแตกตื่นเมื่อไป๋เทียนหลงลงมาจากฟ้า แสงสีดำอำมหิตจากร่างของเขาปกคลุมไปทั่ว เขามองดูทุกคนที่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว คนรับใช้ในจวนตกใจและตะโกนออกไป“ไปตามท่านแม่ทัพมาเร็ว จอมมารบุกจวนแล้ว!”ชายคนหนึ่งวิ่งไปตามหาท่านแม่ทัพไป๋เฉิงหลงผู้เป็นบิดาของไป๋เทียนหลงทันทีไป๋เฉิงหลงยืนนิ่งเมื่อได้ยินคำรายงานจากลูกน้อง กำปั้นของเขากำแน่น“เจ้าหายออกไปจากจวนข้า คิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ที่แท้เจ้าก็ไปเป็นมารอย่างนั้นหรือ? หึ...ช่างน่าเวทนาเสียจริง”“หุบปาก! คนใจร้ายอย่างท่านก็ไม่ได้ดีกว่าข้านักหรอก! เป็นสามีที่แย่ ปล่อยให้ภรรยาตัวเองถูกรังแกจนต้องตาย! วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้กับท่านแม่ของข้า!”ไป๋เทียนหลงพูดด้วยเสียงกร้าวไป๋เฉิงหลงยิ้มเยาะ“หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นนั้น...ก็มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย! ลูกชู้อย่างเจ้าก็ไม่ควรอยู่!”คำว่าลูกชู้นั้นทำให้ไป๋เทียนหลงเจ็บปวดในใจ ดวงตาของเขาร้อนระอุแดงก่ำ มองไปยังบิดาทันที พร้อมใช้วิชามารพลังสีดำพุ่งเข้าใส่ไป๋เฉิงหลงโดยตรง“อ๊าก...เจ้า...”ไป๋เฉิงหลงร้องลั่น ลงไปกองกับพื้นกระอักเลือดทันที“คุณชายใหญ่อย่าทำอย่างนี้เลยนะเจ้าค่ะ...เห็
“เซียวหาน ท่านเห็นศิษย์น้องหรือไม่? นี่ก็นานแล้วที่นางขอไปเดินตลาดคนเดียว ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”ซิวเหยาถามด้วยความกังวล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย“เจ้าอย่าห่วงนางเลย นางมีวรยุทธและของวิเศษมากมาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้หรอก”เซียวหานกล่าวเสียงเบา แล้วหันมามองนางอย่างอ่อนโยน“ว่าแต่...เจ้าอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปเอง”ซิวเหยายิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ที่เขาทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจ ทั้งคำพูดและการกระทำของเขากลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนที่พร้อมจะดูแลเสมอ“ท่านนี่ก็น่ารักดีนะ ดูใส่ใจข้าดี”ซิวเหยาพึมพำเบาๆ อย่างรู้สึกดี“เจ้าว่าอะไรนะ?”เซียวหานถามกลับด้วยท่าทีแปลกใจ แม้จะพยายามเก็บความรู้สึกไว้ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”นางรีบยิ้มแล้วหันไปมองร้านผลไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า "เอาไม้หนึ่ง"นางสั่งพ่อค้าเสียงดังอย่างร่าเริงเซียวหานไม่ลังเล เขาหยิบเงินจากถุงของตัวเองแล้วยื่นให้พ่อค้าทันที ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนที่ซิวเหยาจะหันกลับไปหามองเขาอย่างดีใจ"ขอบคุณ!"นางยิ้มหวาน ตาเป็นประกาย พร้อมถือไม้ผลไม้ชุบน้ำตาลในมือไปด้วยอย่างอารมณ์ดีเซียวหานมองนางด้วยความพึงพอใจ
เมืองหย่งกง...ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วแต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเองข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขาไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำแต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”มู่หลินเอ่ยถามด้ว
เขาไท่ซวน …"มู่หลิน เหตุใดเจ้าถึงไปนอนหมดสติอยู่กลางป่าลึกขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น?"ซิวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ขณะที่สายตาของนางจ้องไปยังมู่หลินด้วยความสงสัย"ข้าจำได้ว่าข้าช่วยชายคนหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้ข้าสลบไป"มู่หลินตอบเสียงเบา สายตาหลบเล็กน้อย ขณะที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในป่านั้น"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"เซียวหานถามอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถปกปิดได้"ข้าดีขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องกังวล"มู่หลินยิ้มบาง ๆ ตอบรับคำถามนั้น เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนห่วงใยเธอมากแค่ไหนเซียวหานและซิวเหยาเป็นศิษย์ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากนักพรตอี้เซียน ผู้มีวิชา และวรยุทธเก่งกล้า ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่มีทักษะในการปราบมารอย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเซียวหานที่มีอาวุธคู่กายเป็นกระบี่ปราบมาร "ทยาลกันต์" ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีพลังอันแข็งแกร่ง เพราะถูกหลอมด้วยเหล็กกล้าสวรรค์และไฟอเวจี ใช้โลหิตของเซียนทั้งแปดขณะที่ซิวเหยาก็มีอาวุธเป็นพัดเพลงแห่งลม พัดที่มีพลังจากเสียงเพลงของลม เมื่อกางออกเสียงเพลงจากพัดนี้จะสะท้อนคลื่นเสียงที่มีพลังคมดังมีดกรีด
ณ เขาไท่ซวน ภายใต้เงาจันทร์ที่ส่องแสงเย็นตา ลมภูเขาพัดเอื่อยไล้ใบไม้ให้เอนไหวเป็นจังหวะเงียบสงบท่ามกลางสวนดอกโบตั๋นที่ผลิบานในยามราตรีนักพรต"อี้เซียน"ยืนสงบนิ่งอยู่กลางสวนเบื้องหน้าดอกโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงกลางดอกโบตั๋นดอกโตเป็นพิเศษ เรือนแสงสว่างจ้ากลีบดอกโบตั๋นสีเงินเรืองรองก็พลิ้วไหว สายลมพัดวนรอบดอกไม้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นทันใดนั้น นางปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้างดงาม ร่างระหง ผมยาวสลวยไหลลงอาบแผ่นหลัง ดวงตากลมดำใสดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนมืด ผิวพรรณขาวผ่องละมุนราวหิมะ ร่างระหงดูประหนึ่งนางฟ้าจากสรวงสวรรค์นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวเงินอ่อน นุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ราวกับปุยเมฆที่ล่องลอยในท้องฟ้า"เจ้าคือ...มู่หลิน" นักพรตอี้เซียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตาหญิงสาวกะพริบตา มองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา"ท่านอาจารย์? ข้า...มู่หลินหรือ?""ใช่แล้ว เจ้าถือกำเนิดจากโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่ถูกลิขิตให้เกิดมา"นักพรตเฒ่ายิ้มบาง ๆ สายตาอ่านผ่านโชคชะตาของนางได้เพียงเล็กน้อย รู้แต่ว่านางมิใช่ผู้ธรรมดานางถือกำเนิดมาพ
จวนไป๋เซียง...แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียงเมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียงการแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลงแต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพแต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่นบรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่ว
ห้องบรรทมเยว์ซิน เทพแห่งจันทรา“เร็วซือเหยามาช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกหาข้าแล้ว”“เพคะธิดาเทพ”ซือเหยาช่วยเยว์ซินแต่งองค์ให้สง่างามสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งจันทราของสวรรค์ แม้นางจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แสนซน แต่หน้าที่ของนางนั้นยิ่งใหญ่นัก คำสั่งของสวรรค์นั้นไม่อาจละเลยได้“ธิดาเทพแห่งจันทราเจ้าไปที่ใดมา ทำไมหมู่นี้ข้าไม่เจอเจ้ามาที่ท้องพระโรงเลย”เสียงท่านเฮ่าเทียนตี้จุนผู้เป็นบิดาดังขึ้นในห้อง ท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย“ท่านพ่อเพคะ ข้าเป็นเทพธิดาตัวเล็ก ๆ จะไปไหนได้เพคะ อยู่ได้แค่สวนในสรวงสวรรค์เท่านั้นเพคะ”เยว์ซินพูดพลางยิ้ม ตอบคำถามของบิดา“ท่านพี่ก็อย่าว่าลูกเลย นางก็มีกิจของนาง”ตี้หย่งเหอกล่าวปกป้องธิดาของตนทันที เยว์ซินมองตามารดาแล้วยิ้มอบอุ่นที่เห็นมารดาปกป้องนางจนถึงขนาดนี้“ท่านแม่เข้าใจลูกที่สุด”เยว์ซินเข้าไปกอดมารดาของนางอย่างออดอ้อน“ถ้าท่านพ่อไม่มีอะไรจะตรัสกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”เยว์ซินยกมือประสานคารวะผู้เป็นบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม จากนั้นนางหมุนตัวเพื่อเดินจากไปจนถึงประตูแต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินตรงเข้ามาผู้นั้นคือ จิ่นหลิง“ท่านมาที่นี่ได้อย
เยว์ซินได้จัดการปีศาจแมงป่องจนสิ้นซากเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนนี้ทั้งสองยังคงพักอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงรายงานจากซือเหยาดังขึ้นหลังจากไปสำรวจรอบๆ กระท่อม“ธิดาเทพเพคะ ข้างหลังกระท่อมมีโครงกระดูกมนุษย์มากมายเต็มไปหมด คาดว่าผู้คนคงถูกหลอกล่อให้มายังหุบเขานี้เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ กะโหลกส่วนใหญ่เป็นกะโหลกของเด็กๆ ทั้งนั้น”เยว์ซินโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อได้ยินรายงานนี้ ปีศาจชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ควรปล่อยไว้“เรื่องนี้ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้! รุ่งสางข้าจะต้องเข้าไปในถ้ำของหุบเขานี้ให้ได้ คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว โลกมนุษย์ไม่เหมือนสวรรค์ ทุกการกระทำต้องใช้พลังจากร่างกาย ทำให้เราเหนื่อยล้าได้”รุ่งสางทั้งสองเดินทางเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ เส้นทางแคบ ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นดอกลมหายใจปีศาจที่ลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ทั้งสองใช้ผ้าปิดจมูกแน่นหนา เพราะหากสูดดมกลิ่นเข้าไปเพียงแค่ครู่เดียว ร่างกายจะค่อยๆ แข็งทื่อ หัวใจเต้นช้าลง จนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ“ดอกไม้ที่นี่ล้วนมีพิษทั้งนั้น ระวังตัวด้วยนะ ซือเหยา” เยว์ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กังวลซือเหยาพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินลึกเข้าไป
บรรยากาศบนสรวงสวรรค์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เหล่าเทพเซียนจากทั่วทุกชั้นฟ้าได้รวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงแห่งสวรรค์ เพื่อหารือถึงวิกฤตที่กำลังคุกคามทั้งโลกมนุษย์และแดนสวรรค์เหนือบัลลังก์ทองคำ เฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ ทรงเปล่งสุรเสียงหนักแน่น สะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง“บัดนี้ หมู่มารได้บังอาจบุกรุก ทำลายและครอบครองโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำ ยังลามปามขึ้นมาก่อกวนยังสรวงสวรรค์! พวกเราจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้! จะต้องหาทางกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”เฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์กล่าวเสียงสนทนาอื้ออึงของเหล่าเทพเซียนดังกระหึ่มด้วยความกังวล เทพแห่งสงครามผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาเทพนักรบลุกขึ้น ประสานมือคารวะจักรพรรดิอย่างเคร่งขรึม“องค์จักรพรรดิ ข้าได้ส่งบุตรชายของข้าลงไปสำรวจโลกมนุษย์แล้ว” เสียนเทียนกล่าว“เขาเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้ายินดีจะให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ในการศึกครั้งนี้”เฮ่าเทียนตี้จุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงเนตรเปล่งประกายทรงอำนาจ“ดีมาก อย่างไรก็ดี พวกเจ้าจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังปกป้องทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ข้าจะไม่ยอมให้หมู่มารเหิมเกริมไปมากกว่านี้”ขณะที่เหล่าเทพสนทนา