จวนไป๋เซียง...
แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียง
เมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียง
การแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลง
แต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพ
แต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่น
บรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ท่ามกลางอากาศที่เย็นชื้นใต้แสงแดดอ่อนๆ ที่กำลังเริ่มฉายลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหิมะ เสียงวิวาทดังมาจากห้องโถงใหญ่
“ไอ้ลูกชู้ เจ้ามาสิทธิ์อะไรมาแย่งของลูกข้า!”
จ้าวหงหลิงตะโกนต่อว่าไป๋เทียนหลงทันที
“ท่านแม่รองนี่มันหนังสือเรียนของข้า ไป๋หยางเซินต่างหากที่มาแย่งหนังสือข้า!”
“ต่อให้ไป๋หยางเซินแย่งจริง เจ้าก็ต้องให้เขา เจ้าก็แค่ลูกชู้อย่ามาถือดี!”
"เพี้ยะ!"
ฝ่ามือของซูเหม่ยหลานฟาดลงบนหน้าของจ้าวหงหลิงอย่างแรง
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่าลูกข้าเป็นลูกชู้! ตลอดเวลาหลายปีเจ้าป่าวประกาศไปทั่ว เจ้านี่มันชั่วช้าสิ้นดี จ้าวหงหลิง!”
ซูเหม่ยหลานตอบกลับด้วยความโกรธ
“เจ้ากล้าตบข้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีที่อยู่ในจวนนี้!”
ทันทีที่จ้าวหงหลิงพูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นแม่ทัพไป๋เฉิงหลงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางหยิบปิ่นปังผมที่อยู่บนศีรษะของซูเหม่ยหลานแล้วเอามือของเธอไปจับมันไว้ ก่อนวิ่งเข้าไปสร้างสถานการณ์ว่า ซูเหม่ยหลานพยายามใช้ปิ่นปักผมฆ่าตนเอง
“โอ๊ย... เหตุใดท่านจึงคิดฆ่าข้า?”
ปิ่นปักลงกลางอก เลือดไหลทะลักออกมาจ้าวหงหลิง ล้มลงไปฟุบกับพื้น เสียงร้องของนางทำให้แม่ทัพวิ่งมาที่เหตุการณ์ในทันที
“ซูเหม่ยหลาน! นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงคิดฆ่าคนได้ขนาดนี้?”
“ข้าไม่ได้ทำ! นางแทงตัวเอง!” ซูเหม่ยหลานปฏิเสธทันที
“ท่านพ่อ ข้าเห็นท่านแม่ใหญ่แทงท่านแม่ของข้าจริงๆ” ไป๋หยางเซิน บุตรชายคนเล็กกล่าว
“ท่านพ่อ ท่านแม่รองแทงตัวเองจริงๆ ข้าเป็นพยานได้!”
ไป๋เทียนหลงรีบพูดแทรกเพื่อช่วยมารดา
“ที่ผ่านมาข้าไม่ใช่คนที่ท่านโปรดปรานอยู่แล้ว ท่านอยากเชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ท่านเถิด!”
ซูเหม่ยหลานกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าใช้ปิ่นของเจ้าแทงนาง! เจ้าจะปฏิเสธขาอย่างไร! เจ้าตอบข้าสิ!” เสียงตะโกนของแม่ทัพดังก้องไปทั่วจวน สีหน้าของเขาแดงก่ำ ใต้ดวงตาที่คลอด้วยน้ำตาของความโกรธเกรี้ยว เขาไม่สามารถเชื่อได้ว่า หญิงผู้เป็นที่รักของเขาจะกล้าทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนี้
“เจ้าไปคุกเขาสำนึกผิดที่ลานโบตั๋น! ถ้าไม่สำนึกผิดเป็นตายอย่างไรก็ไม่ต้องเข้ามา... ไป๊!”
แม่ทัพสั่งเสียงเข้ม ดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและความเจ็บปวด
“ท่านพ่อ อย่าลงโทษท่านแม่เลย! ท่านแม่ไม่ได้ทำ!” เสียงของเด็กชายสิบขวบดังขึ้น น้ำเสียงอ้อนวอนด้วยความหวังที่จะช่วยมารดาให้พ้นจากการลงโทษ เขาร้องขอด้วยความน่าสงสาร
ซูเหม่ยหลานหันมองสามีด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ทุกอารมณ์ที่เคยมีต่อเขาละลายหายไปในพริบตา สายตาของนางตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่มีแม้แต่นิดเดียวของความรักที่เคยมีให้ เขาทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ซูเหม่ยหลานลุกขึ้น เดินไปยังลานโบตั๋นท่ามกลางหิมะตก
นางคุกเข่าลงหลายชั่วยามโดยมีบุตรชายคอยอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง
แม่ทัพยืนนิ่ง มองเห็นภรรยาของเขาทรมานต่อหน้าต่อตา ความเจ็บปวดท่วมท้นในใจเขา เขายืนมองขอโทษไม่ได้ มือที่เคยเต็มไปด้วยการสัมผัสที่อบอุ่นในช่วงเวลาที่เคยเป็นสุข ตอนนี้กลับทำอะไรไม่ถูก
อากาศรอบข้างเริ่มหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ หิมะตกหนักขึ้น ซูเหม่ยหลานรู้ดีว่าหากปล่อยบุตรชายอยู่กับนางแบบนี้ เขาคงจะไม่สบายเป็นแน่
“ป้าหวัง พาคุณชายใหญ่เข้าไปห้องก่อน”
ซูเหม่ยหลานกล่าวเสียงเบา แต่ยังคงคุกเข่าต่อไป
หิมะตกหนักจนแม่ทัพไม่สามารถยืนดูได้อีก เขากางร่มเดินไปหานาง หวังจะให้ภรรยาสำนึกผิดและกลับเข้าไปในจวน แต่ซูเหม่ยหลานกลับยืนกรานว่าไม่ได้ทำอะไร นางยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตน
“เรื่องมาถึงขนาดนี้ยังไม่ยอมรับอีก เช่นนั้นเจ้าก็รับโทษต่อไป” แม่ทัพโกรธจัดจึงเดินจากไปอย่างเจ็บปวด
นางนั่งจนร่างกายอ่อนแรง ความหนาวเริ่มจับหัวใจจนไม่สามารถทนทานต่อไปได้ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว และในที่สุด นางก็หมดสติไป
แม่ทัพรีบวิ่งเข้ามาอุ้มภรรยาของเขาเข้ามาในห้องนอนทันที เขาสั่งหมอมาดูอาการอย่างเร่งรีบ
“เดิมร่างกายของฮูหยินก็อ่อนแออยู่แล้ว เหตุใดจึงปล่อยให้ท่านไปตากหิมะแบบนี้ เกรงว่าจะอาการทรุดหนัก” หมอกล่าวพร้อมส่ายหน้า แสดงความกังวล
“พรุ่งนี้ฝากท่านแวะมาดูอาการของฮูหยินของข้าอีกครั้ง ขอเพียงแต่นางหายดี เท่าไหร่ ข้าจะยอมจ่ายทุกอย่าง”
แม่ทัพพูดด้วยเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความร้อนใจ
ซูเหม่ยหลานอาการทรุดหนัก ร่างกายอ่อนแอใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในจวน 3 ปีต่อมานางได้ล้มป่วยและจากไปไม่มีวันหวนกลับมา
“ท่านแม่ทำไมท่านทิ้งข้าไปไวถึงเพียงนี้ ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ ท่านแม่” ไป๋เทียนหลงผู้เป็นบุตรชายร้องไห้กอดร่างที่ไร้ลมหายใจของมารดา
“คุณชายใหญ่หักห้ามใจเถิดเจ้าคะ ท่านแม่ของท่านไปสบายแล้ว”
“ที่ท่านแม่ต้องจากข้าไปเพราะท่านพ่อไม่ให้ความยุติธรรม ท่านพ่อใจร้าย ข้าเกลียดท่านพ่อ”
“ไอ้ลูกชู้เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเกลียดแม่ทัพ เจ้ามันลูกชู้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลของเรา”
“เจ้ามันคนเลวใส่ร้ายแม่ข้าสักวันฟ้าจะลงโทษคนอย่างท่าน”
ทันใดนั้นแม่ทัพไป๋ได้เดินเข้ามาได้ยินบทสนทนาเขาโกรธมากที่ไป๋เทียนหลงทำตัวก้าวร้าวแบบนี้
“เพี๊ย!”
เขาฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของไป๋เทียนหลงทันที
“ท่านพ่อ ข้าเจ็บ”
“พ่อหรือใครพ่อเจ้ากันแน่ ตอนข้าออกรบแม่เจ้าก็ตั้งท้องเจ้า น่าขันนักหากเจ้าเป็นลูกของข้า”
“ในเมื่อท่านแม่ของข้าไม่อยู่แล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ในเมื่อตระกูลไป๋ไม่ยอมรับข้า ข้าก็จะไปเอง”
“หากเจ้าออกไปไม่ต้องกลับมาอีก ตั้งแต่วันนี้ข้ากับเจ้าตัดขาดกัน เจ้าไม่ใช่ลูกข้า”
“ได้ตั้งแต่วันนี้เราขาดกัน สักวันข้าจะมาแก้แค้นให้กับแม่ของข้า พวกท่านต้องชดใช้”
“พี่ใหญ่ อย่าไปเลยอยู่กับข้าที่นี่”
ไป๋เยี่ยนบุตรสาวคนเล็กของจ้าวหงหลิง เข้ามาอยู่เคียงข้างพี่ชาย แม้จะคนละแม่แต่นางก็รักและเคารพไป๋เทียนหลงเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ
“ปล่อยข้า ...ข้าไม่ใช่พี่ชายเจ้า”
ไป๋เทียนหลงเดินออกจากตระกูลไป๋ตัวเปล่าไม่มีอะไรติดตัวมาแม้แต่น้อย เขากลายเป็นคนพเนจรอดมื้อกินมื้อ นอนในคอกหมูคอกวั; ต้องทนกับการรังแกของเด็กๆ แถวตลาด เขาใช้ชีวิตแบบนี้ไปวันๆ จนมาเจอกับจ้าวแห่งจอมมาร ชีวิตเขาต่อจากนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แสงแดดอ่อนของยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องผู้ป่วยอุ่นสบาย ทว่าหัวใจของหญิงสาวกลับเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อดวงตาคู่งามเริ่มขยับเปลือกตาขึ้นช้า ๆจางเจียว ลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอยในวินาทีแรก เธอไม่รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเธอหันไปทางเตียงข้าง ๆ ...เธอเห็นเขา - กู้เหยี่ยนนอนอยู่ที่ ใบหน้าซีดจางแต่มีรอยยิ้มอ่อนโยน และที่สำคัญ... ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเธออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขารักเธอเขายิ้ม...เธอไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป“ขอบคุณ...”เสียงของเธอสั่นเครือเมื่อพูดออกมา“ขอบคุณที่คุณยังรักษาสัญญา…”“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉันกับลูกไป… กู้เหยี่ยน คนบ้า…”น้ำตาของเธอไหลลงช้า ๆ ขณะที่รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเธอไม่สนว่าตัวเองยังเพิ่งฟื้น ไม่สนแม้ร่างกายยังอ่อนแรง เธอรีบลุกจากเตียง เดินตรงเข้าไปหาชายคนที่เธอเกือบเสียไปตลอดกาลกู้เหยี่ยนยื่นมือออกมา...และเธอก็ทิ้งตัวลงกอดเขาแน่นทั้งน้ำตา“คุณรู้ไหม... ใจฉันแทบสลายตอนรู้ว่าคุณไม่หายใจ... ฉันกลัว... กลัวจนแทบจะตายตามคุณไป…”มือของเขาลูบผมเธอเบา ๆ จ้องมองเธอไม่ละสายตา“ผมต้องพยายามกลับมาให้ได้... เพราะผมสั
ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกหนัก พายุคำรามราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ประธานกู้ขับรถออกจากบ้านด้วยหัวใจอัดแน่นด้วยความกังวลเร่งรีบรถแน่นออกไปได้ไม่เกินสอบนาที เสียงล้อบดถนนดังกึกก้อง กระจกรถข้างหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด รถเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างรุนแรง เสียงเหล็กบิดเบี้ยวดังลั่นไปทั่วบริเวณ ก่อนรถทั้งคันตีลังกาคว่ำสองตลบใครที่ผ่านไปพบเห็น ต่างพากันคิดว่าคนในรถคงไม่มีทางรอด...ในเวลาเดียวกันนั้นจางเจียว ยังนั่งรอฟังข่าวของลูกชายของ ดร.จอห์น ด้วยใจสั่นระรัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝันร้ายที่เธอไม่เคยคาดคิด“คุณนายค่ะ... ประธานกู้รถคว่ำค่ะ! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน!”มือของจางเจียวสั่นระริก ใบหน้าเธอซีดเผือดก่อนเสียงสะอื้นแรกจะหลุดลอดริมฝีปากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ไม่นะ... ไม่นะ... ฮือ ฮือ ฮือ... คุณอย่าทิ้งฉันกับลูกไปนะ... ได้โปรดกลับมาหาพวกเรานะคะ... ที่รัก...”โรงพยาบาลบรรยากาศในโรงพยาบาลเงียบงันแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนแห่งความวิตก ทุกคนต่างมารวมตัวกันเฝ้ารอฟังผลจากห้องฉุกเฉิน ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวังผสมความสิ้นหวังจางเจียว นั่งนิ่งอยู่
หลังจบทริปบริษัท บรรดาพนักงานต่างเดินทางกลับด้วยรถบัส ขณะที่ประธานกู้และประธานสื่อต่างให้คนขับรถส่วนตัวมารับกลับอย่างเงียบๆกู้เหยี่ยนเลือกพาจางเจียว ไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเล ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยสวนดอกกุหลาบสีขาวที่เบ่งบานงดงามทั่วบริเวณทันทีที่จางเจียวก้าวลงจากรถหรู สายตาเธอก็ทอดมองไปทั่วสวนอย่างประทับใจ“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ...”เสียงเธอเบาแต่นุ่มนวลเขายิ้มบาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ผมสั่งให้เขาจัดสวนนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว...ผมทำเพื่อคุณนะ”เธอหันกลับมามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน“ขอบคุณที่ใส่ใจฉันนะคะ...มันสวยจริงๆ”“ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ เดือนหน้าเราก็จะแต่งงานกันแล้ว...ผมเฝ้ารอวันนั้นทุกลมหายใจเลย”“แต่ถ้าเราแต่งเร็ว คุณอาจไม่มีอิสระอีกนะ...”เธอพูดด้วยความลังเล“ผมไม่ต้องการอิสระอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”เธอยิ้มละมุน หัวใจพลันอ่อนลงกับคำพูดอ่อนโยนนั้น“ปากหวานจริงนะคะ...”“เข้าบ้านกันเถอะครับ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือให้จางเจียวส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น ก่อนจะก้าวเดิน แต่ยังไม่ทันถึงขั้นบันได เธอกลับเซไปเหมือนจะวูบกู้เหยี่ยนเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าประคองแล
เพื่อเป็นการตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของพนักงานที่ทำผลงานยอดเยี่ยมตลอดไตรมาส บริษัทกู้กรุ๊ปจึงจัดทริป “สานสัมพันธ์” ที่รีสอร์ตริมทะเล 3 วัน 2 คืน โดยมีพนักงานจากทุกแผนกเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงและสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นมากที่สุดคือ…ประธานใหญ่ กู้เหยี่ยน ตอบตกลงเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง!พร้อมกับพา จางเจียว เลขาสาวคนสนิท ที่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เลขา แต่เป็นว่าที่คุณนายกู้นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญพิเศษจากบริษัทพันธมิตร ประธานสือและแฟนสาว หลินหลินที่เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ก็ขอตามมาร่วมแจมด้วยเช่นกันเช้าวันเดินทาง รถบัสสองคันจอดรออยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ พนักงานต่างถ่ายรูป เช็กอิน และโพสต์ภาพกันอย่างคึกคักประธานกู้เดินลงจากรถหรู พร้อมลากกระเป๋าเดินทางตรงมายังรถบัสในชุดลำลองสีขาวสะอาดตา แตกต่างจากภาพลักษณ์ประธานเย็นชาที่เห็นในห้องประชุมโดยสิ้นเชิงข้างกายคือจางเจียว ในเดรสยาวสีขาว สายเดี่ยวมัดโบว์ เผยให้เห็นความสดใสน่ารักอย่างล้นเหลือ“ทุกคนพร้อมรึยังครับ?”เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเสียงเฮดังลั่นทันที พร้อมเสียงแซวเบา ๆ“พร้อมตั้งแต่รู้ว่าประธานจะไปแล้วค่า~”ไม่นาน รถยนต์หรูอีกคันก็จอด
“ไหนใครบ่นคิดถึงผม?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาหลินหลินสะดุ้งเธอหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะพบกับร่างสูงของ ประธานสือ ยืนไขว้ขาพิงกรอบประตู ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นไร้ขอบที่มองมาไม่วางตาสูทสีดำหรู เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนเพียงเม็ดเดียว เผยช่วงอกแน่นล่ำพอให้ใจเต้น เส้นผมเซตอย่างลวก ๆ แต่กลับดูดี“ประธานสือ! คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”เธอรีบวางแก้วกาแฟ ตาโตด้วยความตกใจ เขิน และ...หงุดหงิดเขาเดินเข้ามาใกล้ หยุดตรงหน้าเธอโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เปิดดูแชทหลายรอบแล้วใช่ไหม? ผมเห็นตั้งแต่คุณถอนหายใจรอบแรก”“คุณ...แอบดูฉันเหรอ?!”“ก็คุณชอบทำตัวให้น่าจับตามอง”หลินหลินอ้าปาก แต่พูดไม่ออก ความเขินตีขึ้นหน้าแดงจัด ขณะมือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ“ก็คุณไม่โทร ไม่ตอบแชท ฉันก็นึกว่าคุณไม่สนใจ...”“แบตหมดตอนประชุมครับ”เขาตอบ พร้อมยื่นมือถือให้ดูเธอชะงักไปชั่วครู่... แต่ก็ไม่ยอมให้เขาชนะง่าย ๆ“ก็ได้ งั้นฉันไม่โกรธก็ได้”เขายิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนโน้มตัวกระซิบข้างหู“ต่อให้คุณโกรธ ผมก็ตามง้ออยู่ดี”น้ำเสียงของเขานุ่มลึก แฝงแรงปรารถนาบางอย่างก่อนกระซิบข้าง ๆ ใบหูของเธอ“คืนนี้...ไปกินข้าวที
บริษัทตระกูลกู้ภายในห้องทำงานใหญ่ชั้นบนสุดของอาคารจางเจียวนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางไล่ดูเอกสารอย่างตั้งใจ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านโปร่งบางสร้างบรรยากาศสงบแต่ไม่เงียบเหงาเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆก๊อก... ก๊อก..“ขออนุญาตค่ะคุณจาง ประธานกู้สั่งให้เอานี่มาให้ค่ะ”เลขาซูเดินเข้ามาพร้อมถาดขนม ในถาดมีเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่มกับชาผลไม้กลิ่นหอมสดชื่นเมนูโปรดของจางเจียวทั้งคู่ เธอวางถาดลงตรงหน้าจางเจียวอย่างสุภาพ“ขอบคุณมากนะคะ เลขาซู”“ยินดีค่ะ ตั้งแต่คุณจางเข้ามาทำงานที่นี่…ประธานของเราก็อารมณ์ดีขึ้นมากเลยค่ะ ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเลย”เลขาซูพูดยิ้ม ๆ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ เสียงประตูเปิดออกเบา ๆ“แน่นอนอยู่แล้วครับเลขาซู...”เสียงทุ้มอบอุ่นของกู้เหยี่ยนดังขึ้นข้างหลัง“…ก็ผมได้อยู่ใกล้ว่าที่ภรรยา จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ”“อุ๊ย! ท่านประธาน...”เลขาซูยกมือปิดปาก ยิ้มเขินแต่ไม่ลืมโค้งให้เบา ๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องอย่างรู้จังหวะ“เลขาซู เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ห้ามมีใครรบกวนผมนะครับ”“รับทราบค่ะท่านประธาน”จางเจียวยิ้มเขิน แก้มแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้นต่อหน้าคนอื่น เธอแสร้งก้มหน้