"ท่านแม่ ลูกอยากกลับไปนอนที่จวนแล้วเจ้าค่ะ"
ไป๋ซู่ฮวาเอ่ยกับผู้เป็นมารดาด้วยยน้ำเสียงที่เกียจคร้าน เมื่อสามวันก่อนท่านแม่พานางไปไหว้พระขอพรที่วัดหวาเยียนบนเขา ครานี้พี่ใหญ่ก็ติดตามมาด้วยตามคำสั่งของท่านพ่อ เพื่อให้มาคอยดูแลท่านแม่และนาง เนื่องจากยามนี้ต่างแคว้นมีสงคราม ท่านพ่อเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นได้ เพราะยามนี้ค่อนข้างมีโจรป่าชุกชุม จะเรียกว่าคุ้มกันก็ไม่ถูกเท่าใดนัก เพราะท่านแม่ไม่ยอมให้เขาขี่ม้า แต่กลับให้เขาเข้ามานั่งในรถม้าด้วย เพราะเกรงว่าเขาจะล้มป่วย เขาจึงทำได้เพียงให้เหรินห่าวและบ่าวรับใช้คนสนิทคอยคุ้มกันด้านนอกแทน เหรินห่าวค่อนข้างมีทักษะในการต่อสู้อยู่บ้าง ส่วนเขาเองก็ไม่ได้หละหลวม อีกทั้งท่านพ่อยังส่งองครักษ์ลับของจวนมาคอยติดตามเขาอยู่ห่างๆ อย่างไรเสียพวกโจรย่อมไม่กล้าเสนอหน้าออกมาเป็นแน่
ไป๋ฮูหยินมองบุตรสาวของตนเองก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย ไป๋ซู่ฮวาบุตรสาวของนางมีนิสัยเกียจคร้านชอบเล่นสนุก กว่านางจะหาทางทำให้นางยอมตามมาที่วัดย่อมเหนื่อยไม่น้อย
"พวกเจ้าสองคนนี่นะ ช่างขี้บ่นยิ่งนัก ซู่เอ๋อร์ เจ้าน่ะเป็นสตรีควรจะสวดมนต์ไหว้พระให้มาก ส่วนเจ้าจื่อเอ๋อร์ เจ้าเองก็ควรไหว้ขอพรพระโพธิสัตว์ โรคตรงนั้นจะได้หายเร็วยิ่งขึ้น"
ไป๋ฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ โรคที่บุตรชายนางเป็นสร้างความปวดใจให้แก่นางไม่น้อย
ไป๋จื่อเซียนจ้องมองมารดาของตนเองก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เขาเองไม่ได้ทุกข์ใจกับโรคที่เป็นอยู่เท่าใดนัก เดิมทีเขาก็ปวดใจไม่น้อย จะให้เขากล่าวเช่นไรดี ความจริงเขาไม่ได้ป่วยเลยด้วยซ้ำ เขาปกติดีอีกทั้งยังแข็งแรงมากอีกด้วย
ท่านแม่ก็จะให้เขาแข็งทุกวัน ช่างน่าขันสิ้นดี!!!
ปีนี้เขามีอายุครบยี่สิบปีแล้ว ไป๋จื่อเซียนเกิดในตระกูลแม่ทัพ บิดาของเขารั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นต้าโจว ส่วนเขาเองก็รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าบิดาเลยแม้แต่น้อย ท่านพ่อเองก็หมายมั่นให้เขารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ต่อจากตน
อย่างอื่นเขาก็เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งฐานะ ทั้งชาติตระกูล แต่กลับยังไม่ยอมแต่งภรรยา เดิมทีเขามีคู่หมั้นหมาย นางเป็นบุตรสาวของตระกูลฟางจวนเสนาบดี แต่ทว่าเขามิได้ถูกใจนาง
สองวันนี้เขาเดินทางมาคุ้มกันท่านแม่และไป๋ซู่ฮวาผู้เป็นน้องสาว ท่านแม่ชื่นชอบการไหว้พระ พักอยู่ที่วัดสองสามวันก็เดินทางกลับ
ไป๋ฮูหยินหันมามองบุตรชายคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
"นี่จื่อเอ๋อร์ เจ้าไหว้พระแล้ว รู้สึกว่ามีสิ่งใดแข็งขึงขึ้นมาบ้างหรือไม่?"
เมื่อเห็นว่าบุตรชายส่ายหน้าไปมา นางก็ปวดใจยิ่งกว่าเดิม
"จื่อเอ๋อร์ เช่นนี้ตระกูลไป๋คงต้องสูญสิ้นแล้ว!!!"
"ท่านแม่ ลูกปกติดีขอรับ"
"ปกติที่ใดกัน!! ยามท่านพ่อเจ้ายังหนุ่มแน่น เขา...เอ่อ..."
ไป๋ฮูหยินหันไปมองไป๋ซู่ฮวาคราหนึ่ง ก่อนจะโน้มใบหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของไป๋จื่อเซียน
"เขาแข็งสู้มือข้ายิ่งนัก"
ไป๋จื่อเซียนแทบจะพ่นน้ำชาในปากออกมา แต่เขาทำได้เพียงกลืนมันลงไปอย่างกระอักกระอ่วนใจ
สองปีก่อน สามีของนาง แม่ทัพใหญ่ไป๋มาบอกนางว่า เขารู้สึกว่าบุตรชายผิดปกติตรงสิ่งนั้น แรกเริ่มนางก็ไม่แน่ใจ จึงลองส่งสาวใช้นางหนึ่งเข้าไปในห้องของไป๋จื่อเซียน แต่ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจึงส่งสาวใช้เข้าไปอีก ส่งไปร่วมสิบคน คำตอบเดียวกันคือ
คุณชายใหญ่เฉยเมยต่อพวกบ่าวมากเจ้าค่ะ บ่าวลองจับดูพบว่า เอ่อ ส่วนนั้นของคุณชายใหญ่ไม่แข็ง อีกทั้งคุณชายใหญ่ยังถีบบ่าวออกมาจากห้องอีกด้วยเจ้าค่ะ ฮือออ
ไป๋จื่อเซียนไม่รู้จะเอ่ยกับมารดาเช่นไรดี เขาเองก็ไม่รู้ว่าท่านพ่อไปเอ่ยวาจาใดกับท่านแม่ นางจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
วันๆ เอาแต่ถามเขาว่า
วันนี้รู้สึกแข็งหรือไม่!!!
ให้ตายเถิด ท่านแม่ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะอับอายหรือไม่!!!
ไป๋ซู่ฮวาหูดียิ่งนัก นางที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง จนไป๋ฮูหยินต้องหันไปถลึงตาใส่บุตรสาว
"น่าขำอันใดกัน พี่ชายเจ้าป่วยนะ!!!"
"ท่านแม่ ท่านดูหน้าพี่ใหญ่สิเจ้าคะ เขาอึดอัดเพียงใดท่านไม่รู้หรือ ข้าได้ยินนะที่ท่านแม่ถามพี่ใหญ่"
"แม่เป็นห่วงพี่เจ้า ยามนี้ต่อให้ได้ลูกสะใภ้เป็นผีข้าก็ไม่ขัดขวาง ขอเพียงให้พี่ชายเจ้าหายเป็นปกติก็พอ ว่าแต่เจ้าเถิด น่าตียิ่งนัก มันใช่เรื่องที่สตรีมาแอบฟังหรือไม่"
"ท่านแม่พูดดังเช่นนี้ แม้แต่ผีในรถม้ายังได้ยินเลยเจ้าค่ะ"
"ได้ยินสิดี"
ไป๋จื่อเซียนมองมารดากับน้องสาวของตนคราหนึ่ง เขารู้สึกหมดคำจะกล่าวแล้ว เขาจึงเลือกจะนั่งเงียบๆ ไปเสีย
ใช้เวลาไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงโจวกังแคว้นต้าโจว ไป๋จื่อเซียนยังมีงานที่ต้องรีบไปสะสางต่อที่กองทัพ จึงสั่งให้คนขับรีบเร่งเดินทางไปให้ถึงจวนโดยเร็ว
แต่ทว่าเพิ่งจะเข้าเมืองหลวงได้ไม่นาน รถม้าของเขาก็หยุดลงกะทันหัน ไป๋ฮูหยินและไป๋ซู่ฮวาแทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ไป๋จื่อเซียนขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม
"เกิดสิ่งใดขึ้น?"
"เรียนคุณชายใหญ่ จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งร่วงตกลงมาจากหน้าต่างหอวารี ยามนี้นางนอนขวางรถม้าของเราเอาไว้ขอรับ"
"เอ?"
ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปเอ่ยกับมารดาของตนเองทันที
"ท่านแม่รอสักครู่ ลูกจะลงไปดูเสียหน่อย"
"รีบลงไปดูเถิด"
ไป๋จื่อเซียนพยักหน้าก่อนจะรีบเดินลงจากรถม้าไปทันที เมื่อออกมาก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่งที่ถูกมัดมือเอาไว้ ยามนี้นางดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ใบหน้างามซีดเซียว นางนอนขดตัวพลางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด
เจียงหว่านหนิงซู้ดปากคราหนึ่ง ให้ตายเถิด กว่านางจะรวบรวมแรงกระโดดลงมาจากหน้าต่างของหอวารีได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หน้าต่างที่นางอยู่คือชั้นสอง เดิมทีนางไม่คิดว่าจะเจ็บตัวถึงเพียงนี้ ให้ตายเถิด!!!
"แม่นาง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ แล้วเหตุใดจึงกระโดดลงมาเช่นนี้เล่า? มันอันตรายรู้หรือไม่?"
ไป๋จื่อเซียนมองดูหน้าต่างของหอวารีสลับกับมองเจียงหว่านหนิง ตรงที่นางกระโดดลงมาเป็นด้านหลังหอวารีที่มีคนคุ้มกันไม่มากนัก เจียงหว่านหนิงเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่ พบว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้เห็นการแต่งกายของเขา เจียงหว่านหนิงก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องเป็นคุณชายจากจวนตระกูลใหญ่สักจวนเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่ง สภาพทุลักทุเลเป็นอย่างมาก
"นายท่าน ได้โปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าถูกคนลักพาตัวมาขายที่หอวารีแห่งนี้ ข้าไม่ได้เต็มใจ"
เจียงหว่านหนิงเหนื่อยล้าเพราะพิษในกายกำเริบ นางแทบจะไม่มีแรงแล้ว ยามนี้ต้องหาที่พึ่งก่อนที่จะสายเกินไป
ยังไม่ทันที่ไป๋จื่อเซียนจะได้เอ่ยถามสิ่งใดจากนางต่อ ก็พบว่าคนของหอวารีโผล่ออกมาตามจับนางแล้ว พวกมันเข้ามารวบตัวนางอย่างรวดเร็ว โดยมีสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งที่จ้องมองเจียงหว่านหนิงเขม็ง เมื่อหันมาเห็นว่าไป๋จื่อเซียนยืนอยู่ตรงนั้นด้วย นางก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา
"คารวะท่านรองแม่ทัพไป๋ ขออภัยด้วยที่เด็กๆ ในหอวารีของข้าสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน รีบๆ ลากตัวนางกลับเข้าไปสิ"
เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ ตะโกนจนสุดเสียง
"ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!!!! ข้าโดนจับตัวมา!!!"
นางไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืน ทำได้เพียงออกแรงตะโกน นางหมดเรี่ยวแรงแล้ว หากไม่ใช่เพราะถูกพิษนางจะอัดคนพวกนี้ให้น่วมเลย
ไป๋ซู่ฮวาที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายด้านนอกก็ขมวดคิ้วมุ่น นางครุ่นคิดคราหนึ่ง คล้ายว่าเคยได้ยินเสียงของสตรีนางนี้จากที่ใดสักแห่ง
"ซู่เอ๋อร์ เจ้าจะทำสิ่งใด อย่าได้โผล่หน้าออกไปแอบดูเชียว"
"ท่านแม่ เสียงนางคล้ายคนที่เคยช่วยข้าไว้ ข้าขอดูสักครู่นะเจ้าคะ อย่าเพิ่งด่าข้าเลย ท่านแม่กลั้นไว้ก่อนเจ้าค่ะ"
ไป๋ซู่ฮวาเอ่ยอย่างรีบร้อน ไป๋ฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็สูดลมหายใจคราหนึ่งก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ให้ตายเถอะ แล้วข้าจะกลั้นเสียงตามนางบอกทำไมกัน!!!
ไป๋ซู่ฮวารีบเปิดผ้าม่านรถม้าออกทันที เมื่อนางได้มองเห็นใบหน้าของเจียงหว่านหนิงชัดเจน นางจึงรีบหันไปเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนทันที
"พี่ใหญ่ นางคือคนที่ข้าเล่าให้ฟัง นางเป็นคนช่วยข้าจากหลัวเหวินซิ่งเอาไว้เจ้าค่ะ"
"เป็นนางหรือ?"
"เจ้าค่ะ เจียงหว่านหนิง เหตุใดจึงถูกจับตัวมาเช่นนี้ได้เล่า พี่ใหญ่ ช่วยนางก่อนเถิด!!!"
ไป๋จื่อเซียนขมวดคิ้วคราหนึ่ง ที่แท้สตรีนางนี้เคยช่วยน้องสาวเขาเอาไว้ อีกทั้งยังมาได้ทันเวลา ทำให้ไป๋ซู่ฮวาไม่ทันเผยวรยุทธ์ของตนออกมา
ไป๋ซู่ฮวารีบลงมาจากรถม้าทันที ก่อนจะจ้องมองเจียงหว่านหนิงที่มีใบหน้าซีดเผือดด้วยความร้อนใจ เจียงหว่านหนิงก็จำนางได้เช่นกัน
"ไป๋ซู่ฮวา"
ไป๋จื่อเซียนที่เห็นเช่นนั้นก็จ้องมองสตรีวัยกลางคนผู้นั้นคราหนึ่ง ก่อนจะสลับมองเจียงหว่านหนิง
คนเช่นเขา ผู้ใดทำดีด้วยเขาย่อมตอบแทนบุญคุณ
"ข้าจะขอไถ่ตัวนาง เจ้าคิดเท่าใด"
สตรีวัยกลางคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก นางเก็บแววตาดีใจเอาไว้ ก่อนจะครุ่นคิดว่าควรจะโก่งราคาเช่นไรดี
"ท่านรองแม่ทัพไป๋ เดิมทีข้าซื้อนางมาในราคาสูงยิ่งนัก"
"เท่าใด"
"ห้าร้อยตำลึงเจ้าค่ะ"
"ข้าให้หนึ่งร้อยตำลึง ปล่อยตัวนางมา"
"ท่านรองแม่ทัพไป๋ แต่ว่า"
"หรือเจ้าอยากถูกจับข้อหาลักลอบค้ามนุษย์ แม้หอวารีของเจ้าจะมีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง แต่หากเจ้าทำผิดบังคับจิตใจผู้อื่นเช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจปล่อยผ่าน เหรินห่าว ไปแจ้งศาลต้าหลี่ หอวารีจะได้ถูกปิดเสียที เปิดไปก็ไร้ประโยชน์!!!"
"ท่านรองแม่ทัพไป๋!! อย่ารังแกกันเกินไปนักเลยนะเจ้าคะ"
"เหรินห่าว ไปศาลต้าหลี่"
"ตกลงเจ้าค่ะ พวกเจ้ายืนบื้ออยู่ทำไมกัน ปล่อยตัวนางสิ"
สตรีวัยกลางคนรับตั๋วเงินมาจากไป๋จื่อเซียนก่อนจะปล่อยตัวเจียงหว่านหนิงทิ้งไปทันที อย่างไรเสียแค่สตรีนางเดียวนางหาซื้อใหม่ก็ได้ การเอาหอวารีไปแลกกับรองแม่ทัพไป๋ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย หากนายท่านรู้เข้าว่านางก่อเรื่องยุ่งยากย่อมถูกลงโทษเป็นแน่ ตระกูลไป๋มีอำนาจไม่น้อย อีกทั้งยังมีความดีความชอบช่วยปกป้องบ้านเมืองนับแต่อดีต นางยอมจบปัญหาเพียงเท่านี้เสียดีกว่า
เมื่อถูกปล่อยตัวเจียงหว่านหนิงยังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณไป๋จื่อเซียนและไป๋ซู่ฮวาเลยแม้แต่ครึ่งคำ นางก็หมดสติไปเสียก่อน ไป๋ซู่ฮวารีบเข้าไปประคองเจียงหว่านหนิง ก่อนจะเอ่ยถามไป๋จื่อเซียนผู้เป็นพี่ชาย
"พี่ใหญ่ นางหมดสติไปแล้ว เหมือนจะไม่สบายด้วยเจ้าค่ะ ทำเช่นไรดี?"
"พานางไปโรงหมอก่อนเถิด อ้อ เหรินห่าว พาท่านแม่กลับจวนก่อน ข้ามีเรื่องต้องจัดการ อีกเดี๋ยวจะพาไป๋ซู่ฮวาไปส่งที่จวนเอง"
"ขอรับคุณชายใหญ่"
ไป๋ฮูหยินยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดก็ถูกพากลับมาที่จวนเสียแล้ว นางลอบบ่นบุตรชายบุตรสาวทั้งสองคนคราหนึ่งด้วยความเหนื่อยหน่ายใจเมื่อกลับมาถึงก็พบว่าแม่ทัพใหญ่ไป๋ผู้เป็นสามีกำลังรอนางอยู่ ข้างกายเขามีไต้ซือผู้หนึ่งยืนอยู่ ไป๋ฮูหยินจ้องมองไต้ซือผู้นั้นด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม
"ท่านพี่ ท่านพาผู้ใดมาน่ะ?"
"น้องหญิง เจ้ามานี่เร็วเข้า ข้าได้พบกับไต้ซือผู้หนึ่ง เขาบอกว่ามีวิธีรักษาจื่อเอ๋อร์ของพวกเราแล้ว"
"จริงหรือเจ้าคะ!!!"
"จริงสิน้องหญิง ในเมื่อดื่มยาแล้วไม่ได้ผล เราย่อมต้องพึ่งไต้ซือแล้ว รับรองว่าจื่อเอ๋อร์จะต้อง 'แข็ง' ขึ้นมาได้เป็นแน่ รับรอบผงาดง้ำยิ่งกว่าข้าเสียอีก ฮ่าๆ"
"โอ๊ยยย สวรรค์ โฮ่ๆๆๆ ฮิๆๆๆ"
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก