บุรุษผู้นั้นหันมาจ้องมองเจียงหว่านหนิงราวกับจะดื่มเลือดกินเนื้อนาง แต่ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของนางชัดๆ ดวงตาของเขาก็ทอประกายวาวโรจน์ สตรีตรงหน้าช่างงดงามเป็นอย่างมาก ดวงตาของนางกลมโตฉ่ำน้ำ ใบหน้าแม้จะดูซีดเซียว แต่ทว่าชวนให้ผู้คนหลงใหลเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น บุรุษนิสัยเสียตรงหน้าก็เปลี่ยนความสนใจมาที่เจียงหว่านหนิงทันที
เจียงหว่านหนิงลอบมองบุรุษผู้นั้นคราหนึ่ง ใบหน้าเขาก็หล่อเหลาดี แต่มีนิสัยเฮงซวยเกินไป
"แม่นาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด ข้ามีนามว่า หลัวเหวินซิ่ง เป็นบุตรชายของท่านอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน มารดาข้าก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่แคว้นโจว พี่สาวของฮ่องเต้ เจ้าทำอาภรณ์ข้าเลอะเทอะ ทำให้ข้าขายหน้าเจ้าจะชดใช้เช่นไร"
เจียงหว่านหนิงกะพริบตามองหลัวเหวินซิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"นายท่านโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ อุแหวะ"
"ช่างเถิด โอะ อย่าอ้วกอีกนะ!!!"
หลัวเหวินซิ่งกระโดดตัวโยนหนีออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าเจียงหว่านหนิงตั้งท่าจะอาเจียนออกมาอีกรอบ เขาหันไปมองไป๋ซู่ฮวาอีกคราก่อนจะเอ่ย
"ไว้ข้าจะมารอพบเจ้าอีก นับว่าวันนี้เจ้าโชคดียิ่งนัก"
หลัวเหวินซิ่งส่งสายตาแทะโลมให้แก่ไป๋ซู่ฮวาอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันมามองเจียงหว่านหนิง เขาเป็นพวกหลงใหลในสตรีอยู่แล้ว หากวันนี้แบกพวกนางสองคนกลับจวนได้เขาก็จะทำอย่างไม่รีรอ
เจียงหว่านหนิงลอบปรายตามองหลัวเหวินซิ่งคราหนึ่งอย่างดูแคลน หากไม่ติดว่านางถูกพิษจะหักนิ้วเขาสักครา
จะว่าหล่อมากราวกับเทพเซียนก็ไม่ใช่ แต่กลับหลงตนเองที่หนึ่ง หากนางไม่ถูกพิษละก็ หลัวเหวินซิ่งคงได้ลงไปนอนกองกับพื้นเป็นแน่ ต่อให้เขาเป็นบุตรตระกูลใดนางก็ไม่สนใจแล้ว บ้านเมืองมีระเบียบกฎหมาย นางไม่เชื่อว่าจะเอาผิดกับคนเช่นนี้ไม่ได้ แต่ยามนี้คงทำได้เพียงเท่านี้ เบี่ยงเบนความสนใจให้บุรุษผู้นี้ไปเสีย ที่นี่ค่อนข้างเปลี่ยวเกินไป ควรให้แม่นางน้อยผู้นี้รีบกลับจวนนางไปเสีย
ไป๋ซู่ฮวาจ้องมองเจียงหว่านหนิงคราหนึ่ง นางพอจะมองออกว่าสตรีน้อยนางนี้เข้ามาเบี่ยงเบนความสนใจของหลัวเหวินซิ่งไปจากนาง นางจึงส่งยิ้มให้เจียงหว่านหนิงคราหนึ่ง
ทว่าหลัวเหวินซิ่งยังไม่ยอมจากไป เขากลับพิจารณามองเจียงหว่านหนิงด้วยความหลงใหล ก่อนจะเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์
"เอ ดูเหมือนเจ้ามิใช่สตรีแคว้นโจว เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ไปพักที่จวนข้า หืม?"
เจียงหว่านหนิงไม่ชอบสนทนากับบุรุษต่ำช้าเช่นนี้ นางจึงไม่ได้ตอบสิ่งใด เพียงแค่ยิ้มให้เขาอย่างฝืนทน หลัวเหวินซิ่งเห็นว่าวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อีกอย่างหากท่านแม่รู้ว่าเขาออกมาหาเรื่องคนเช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ นอกจากจะไม่เข้าข้างเขาแล้ว กลับยังจะทุบตีเขาอีกด้วย เอาไว้ก่อน เขาจะต้องได้พบกับสตรีในดวงใจทั้งสองนางอีกเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลัวเหวินซิ่งจึงขึ้นรถม้าจากไป ไป๋ซู่ฮวาที่เห็นว่าตนปลอดภัยแล้ว จึงพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะเดินไปหาเจียงหว่านหนิง
"ขอบใจแม่นางมากนะ"
"ไม่เป็นไร ข้าน่ะเห็นสตรีด้วยกันถูกรังแกไม่ได้ ว่าแต่แม่นางมาทำสิ่งใดในตรอกเปลี่ยวๆ เช่นนี้เล่า"
"ข้าถูกเจ้าบ้านั่นหลอกล่อมาน่ะสิ น่าโมโหที่สุดเลย โชคดีที่ได้พบเจ้านะ"
เจียงหว่านหนิงยิ้มให้ไป๋ซู่ฮวาเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงไอออกมา ไป๋ซู่ฮวาสังเกตเห็นว่าเจียงหว่านหนิงราวกับคนป่วย ใบหน้าสวยซีดเผือดก็อดเอ่ยถามไม่ได้
"เจ้าป่วยหรือ"
"อ้อ โรคประจำตัวน่ะ"
เจียงหว่านหนิงไม่ได้เอ่ยความจริงที่ว่านางถูกพิษออกไป เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่จะเอ่ยกับสตรีน้อยที่เพิ่งพบเจอกัน
ไป๋ซู่ฮวาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าชื่ออะไรหรือ?"
"เจียงหว่านหนิง"
"ข้าชื่อไป๋ซู่ฮวานะ เจียงหว่านหนิง เจ้าไม่ใช่คนแคว้นโจวใช่หรือไม่ ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย"
เจียงหวานหนิงพยักหน้าให้ไป๋ซู่ฮวาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ใช่แล้ว ไม่ขอปิดบัง ข้าเดินทางมาจากเมืองเสินเซ่า แคว้นฉางอัน เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อตามหาบิดามารดาที่แท้จริงน่ะ เพราะระหว่างทางเร่งรีบเดินทางจึงล้มป่วยเล็กน้อย"
เจียงหว่าหนิงเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
"เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ หลัวเหวินซิ่งน่ะบ้าอำนาจ อันธพาล แล้วยังบ้ากามอีกด้วย เอาอย่างนี้เถอะ หากเจ้าไม่มีที่ไป ก็ไปที่จวนแม่ทัพไป๋ จวนข้าเป็นจวนของท่านพ่อข้า อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก เจ้าถามผู้คนแถวนี้ก็ได้ บอกกับบ่าวที่เฝ้าหน้าจวนว่ามาพบข้า เจ้ามาได้เสมอนะ วันนี้หากไม่ได้เจ้ามาขวาง ข้าคงลำบากไม่น้อย โอะ ข้าไม่มีตำลึงติดกายมาเลย เช่นนั้นข้ามอบกำไลนี่..."
"ไม่ต้องๆ น้ำใจของเจ้าขอรับเอาไว้แล้ว เดิมทีข้าก็ไม่ได้ต้องการสิ่งของตอบแทน ไว้ข้าไร้หนทางจริงจะไปขอพบเจ้าที่จวนนะ"
"ได้เลย เอ่อ ว่าแต่เจียงหว่านหนิง เมื่อครู่ที่เจ้าอาเจียนใส่หลัวเหวินซิ่งข้าสะใจยิ่งนัก ข้าจะจำเอาไปใช้ ไว้ครั้งหน้าเกิดพบเจอเขาอีกข้าจะอาเจียนใส่เขาเหมือนกับที่เจ้าทำ ข้าต้องไปก่อนแล้วนะ ป่านนี้ที่จวนคงร้อนใจแล้ว หวังว่าเราจะได้พบกันอีก"
"ระวังตัวด้วยนะไป๋ซู่ฮวา"
"เจ้าก็เช่นกันนะ"
ไป๋ซู่ฮวายิ้มให้เจียงหว่านหนิงอีกครา ก่อนจะขึ้นรถม้าและจากไป
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านก็เก่งกาจอีกทั้งยังมีวรยุทธ์ เหตุใดจึงไม่ใช้วรยุทธ์ทุบตีคุณชายหลัวเล่าเจ้าคะ?"
สาวใช้น้อยผู้หนึ่งเอ่ยถามไป๋ซู่ฮวาด้วยความสงสัย ไป๋ซู่ฮวายิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"จำที่ท่านพ่อบอกไม่ได้หรือ ยามอยู่ในเมืองหลวงอย่าใช้วรยุทธ์ส่งเดช หากแม่นางผู้นั้นไม่มา ข้าก็คงจะทนไม่ไหวซัดหลัวเหวินซิ่งไปแล้ว ดีแล้วที่นางมาเสียก่อน เรื่องที่ข้ามีวรยุทธ์จะได้ไม่แพร่งพรายออกไป"
ไป๋ซู่ฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย นางเป็นบุตรสาวจวนแม่ทัพมีหรือจะสู้คนไม่เป็น แต่เพราะท่านพ่อคอยเตือนเอาไว้
การที่คนตระกูลแม่ทัพเก่งกาจมากเกินไป ย่อมไม่เป็นที่วางพระทัยของฮ่องเต้
เช่นนั้น อ่อนแอเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหาย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเร่งให้คนขับรถม้าเดินทางกลับจวนในทันที
เมื่อไป๋ซู่ฮวาจากไปแล้ว เจียงหว่านหนิงจึงหลับตาลง ก่อนจะยกมือจับหน้าอกตนเองด้วยความเจ็บปวด เมื่อครู่ที่อาเจียนใส่หลัวเหวินซิ่งนางเพียงแกล้งทำเท่านั้น แต่ครานี้นางรู้สึกอยากอาเจียนจริงๆ เสียแล้ว
เจียงหว่านหนิงทนไม่ไหวแล้ว นางกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง คล้ายว่าร่างกายจะดีขึ้นไม่น้อย นางยกมือเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะพยายามตั้งสติ และเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย
เจียงหว่านหนิงเดินมาเรื่อยๆ จนพบกับโรงจำนำแห่งหนึ่ง นางเดินเข้าไปแล้วจึงเปิดห่อผ้านำเครื่องประดับในนั้นออกมาวาตรงหน้าเถ้าแก่
เถ้าแก่โรงจำนำปรายตามองนางคราหนึ่งสลับกับมองเครื่องประดับของนาง ดูแล้วย่อมไม่ใช่ของมีค่าราคาแพงอันใดมากนัก รออยู่ครู่หนึ่ง นางก็ได้เงินมาเพียงน้อยนิด เจียงหว่านหนิงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นางคร้านจะต่อรองสิ่งใดกับเถ้าแก่ผู้นั้นให้มากความ จึงรับเงินมาและเดินออกจากโรงจำนำมาเสีย นางได้ที่พักแห่งหนึ่ง เป็นโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงโจวกังแห่งนี้ ราคาพอจับต้องได้ อย่างไรเสียนางต้องออกหางานทำหรือรับจ้างทำสิ่งใดไปก่อน เพื่อหาเงินไว้กินไว้ใช้ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งชีวิตจะต้องมาพบเจอความลำบากเช่นนี้
เจียงหว่านหนิงเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้ นางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราก็พบว่ายามนี้ท้องฟ้าด้านนอกมืดเสียแล้ว ยามนี้นางรู้สึกหิวจนปวดแสบท้องน้อยไปหมด เมื่อคิดถึงเงินที่เหลือติดตัวเพียงไม่เท่าไร นางก็ทำได้เพียงนำซาลาเปาไส้เนื้อที่เย็นชืดออกมากินรองท้องเพื่อประทังความหิวไปก่อน
เมื่อคิดว่าการอยู่แต่ในห้องช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เจียงหว่านหนิงจึงลงมาที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยม นางพบกับเถ้าแก่และภารยาของเขาที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจสอบสมุดบัญชีค้าขาย
เมื่อนึกถึงบิดามารดาบุญธรรมที่ตายจากไป ใจของเจียงหว่านหนิงก็พลันเศร้าสลด แม้บิดาจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ความเป็นอยู่ของนางก็ไม่เคยลำบาก ท่านพ่อสอนนางทุกอย่าง แม้แต่การขี่ม้ายิงธนู การต่อสู้เพื่อใช้ป้องกันตัวท่านพ่อก็สอนนางทั้งหมด ท่านแม่ก็มีจิตใจที่อ่อนโยน คอยสอนสั่งนางในเรื่องต่างๆ อย่างใจเย็น ในใจของนางพวกเขาทั้งสองคือคนที่นางรักและเคารพมากเหลือเกิน
แต่มันก็เป็นเพียงความหลังไปเสียแล้ว ไฟสงครามทำลายทุกอย่าง ทำลายสิ้นแม้กระทั่งครอบครัวที่เคยมีความสุขให้แยกจากกัน แผ่นดินร้อนเป็นไฟ ผู้คนอดอยากหิวโซ ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
เพราะไม่ทันระวังตัว ทำให้นางได้รับพิษ สมบัติชิ้นสุดท้ายที่ติดกายมาแต่วัยเยาว์ก็หายไป นางเองไม่แน่ใจว่าถูกพิษชนิดนั้นได้เช่นไร อาจจะเป็นตอนที่นางเดินทางมาถึงสถานที่ลี้ภัยเมืองตงหยาง เพราะความหิวนางจึงกินอาหารเข้าไป เพราะคิดว่าสถานลี้ภัยคงจะปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่ทว่านางกลับไร้เดียงสาเกินไป คนเหล่านั้นล้วนอาศัยช่วงสงครามกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตนเองอย่างไร้ศีลธรรม ถึงขั้นปล้นฆ่า วางยา นางเพิ่งสังเกตเห็นตอนที่ถูกจับตัวมา ว่าสมบัติที่ท่านแม่ให้นางมาหายไปมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงของที่มีราคาค่างวดไม่มากเท่าใดนักเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
เจียงหว่านหนิงเดินเข้ามาหาเถ้าแก่และภรรยาของเขา ก่อนจะเอ่ยถาม
"เถ้าแก่ ข้ารบกวนสอบถามท่าน ไม่ทราบว่าแถวนี้มีร้านใดรับสมัครคนงานบ้างหรือไม่?"
เถ้าแก่หันไปมองหน้าภรรยาของตนเองคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"โอ้ แม่นางคงลี้ภัยมาจากต่างแคว้นสินะ ได้ยินว่ายามนี้ต่างแคว้นมีสงคราม ผู้คนอพยพมาไม่น้อย ข้าเองเพิ่งรับคนงานใหม่มาสองคน น่าเสียดายยิ่งนัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แม่นางลองเดินดูตามทาง เผื่อจะมีร้านน้ำชาหรือภัตตาคารที่เปิดรับสมัครคนงาน"
"ขอบคุณเถ้าแก่มากเจ้าค่ะ"
"ไม่เป็นไร เชิญแม่นางตามสบาย"
เจียงหว่านหนิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม นางมองดูสองข้างทางที่ยามนี้มีผู้คนออกมาเปิดร้านขายอาหาร โรงน้ำชาและสิ่งของต่างๆ มากมาย นางไม่ได้สัมผัสบรรยากาศที่แสนรื่นรมย์เช่นนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
รับสมัครคนงาน
เจียงหว่านหนิงเดินมาได้สักพัก ก็พบกับร้านน้ำชาเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ในตรอกด้านหน้า นางยิ้มออกมาเล็กน้อย คิดเพียงอย่างเดียวว่าจะเข้าไปถามเสียหน่อย เผื่อว่าเขาจะมีงานใดให้นางทำบ้าง
"อื้อ!!"
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เจียงหว่านหนิงจะได้เดินเข้าไปที่ร้านน้ำชา นางก็ถูกใครบางคนใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผ้า ทำให้นางหมดสติไปในทันที
ที่นี่คือที่ใดกัน
เมื่อเจียงหว่านหนิงคิดจะขยับกายก็พบว่ายามนี้ตนเองถูกมัดมือเอาไว้ ทำให้มิอาจหลบหนีออกไปได้ นางสบถออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
โดนจับตัวมาอีกแล้วหรือนี่ เหตุใดนางจึงซวยซ้ำซวยซ้อนเช่นนี้ ถูกจับมาถึงสองคราในเวลาใกล้เคียงกัน
เจียงหว่านหนิงมองไปโดยรอบพบว่า ยามนี้นางกำลังอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องประดับด้วยโคมไฟสีสวย อีกทั้งยังมีม่านประดับดูงดงามโอ่อ่า นางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียง ในใจรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแปลกๆ
ยังไม่ทันที่เจียงหว่านหนิงจะได้ครุ่นคิดสิ่งใด ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน ตามมาด้วยสตรีวัยกลางคนที่แต่งหน้าจัด สวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันฉูดฉาด สตรีผู้นั้นเดินตรงเข้ามาหานาง ก่อนจะยื่นมือมาจับปลายคางของนางเชยขึ้น เจียงหว่านหนิงพยายามสะบัดหน้าหนี แต่ยามนี้นางไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน จึงมิอาจต้านทานใดๆ ได้
"ช่างงามยิ่งนัก งามกว่าสตรีที่ถูกนำมาขายคนก่อนๆ เสียอีก หากขายเจ้าเป็นนางโลมย่อมได้ราคาดี แต่ถ้าหากขายเจ้าให้ตระกูลสูงศักดิ์ ย่อมได้ราคางามยิ่งกว่า"
เจียงหว่านหนิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป
"ที่นี่คือที่ใด"
สตรีผู้นั้นยิ้มให้เจียงหว่านหนิงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ที่นี่ก็คือหอวารี หอนางโลมเลื่องชื่ออย่างไรเล่า เจ้าน่ะถูกคนนำมาขายในราคาห้าสิบตำลึง"
ถูกนำมาขายที่หอนางโลมเช่นนั้นหรือ?
เจียงหวานหนิงกัดฟันกรอด ผู้ใดกันนะที่สารเลวจับนางมาขายเช่นนี้
เมื่อครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นางก็หลับตาลงอย่างช้าๆ นางถูกลักพาตัวมาจากตรอกแห่งหนึ่งที่นางกำลังจะเดินไปหาสมัครงาน
"ข้าไม่ได้เต็มใจ ข้าถูกจับตัวมา ท่านทำเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าผิดกฎหมาย โทษฐานค้ามนุษย์"
สตรีผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ราวกับได้ฟังเรื่องขบขัน
"แม่นางน้อย ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะถูกจับมาหรือไม่ แต่ว่าคนที่นำเจ้ามาขายรับเงินจากข้าไปแล้ว เจ้าจะต้องขายตัวเพื่อหาเงินมาชดใช้ให้ข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่?"
"ข้าไม่เป็นนางโลมของท่าน ข้ายินดีทำงานอื่นชดเชยได้หรือไม่ สงสารข้าเถอะนะ ข้าน่ะออกมาตามหาบิดามารดา ไม่ได้เจอก็น่าอนาถแล้ว ยังถูกจับมาขายอีก"
สตรีนางนั้นถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองเจียงหว่านหนิง
"อย่าพูดให้มากความเลย เอาเถิด ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำขัดถูร่างกายให้สะอาด อีกสามวันเจ้าจะต้องรับแขก"
สตรีนางนั้นเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป เจียงหว่านหนิงร้อนใจเป็นอย่างมาก นางในยามนี้ไร้เรี่ยวแรงจะหลบหนี เมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง เจียงหว่านหนิงจ้องมองโดยรอบ ก่อนจะพบว่ามีหน้าต่างเปิดอยู่ นางจึงครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก