เพราะสงครามที่รุกรานการใช้ชีวิต ทำให้เจียงหว่านหนิง ต้องสูญเสียบิดามารดา แต่ทว่าก่อนบิดามารดาจะตายได้บอกนางเรื่องหนึ่ง ทำให้เจียงหว่านหนิงต้องเดินทางมาที่แคว้นต้าโจว จนกระทั่งได้พบกับ ไป๋จื่อเซียน รองแม่ทัพหนุ่มรูปงาม ที่ทั้งอบอุ่นและใจดี แต่ทว่าในจวนกลับมีเรื่องเล่าลือว่าเขาป่วยเป็นโรคประหลาดที่ไม่มีหมอรักษาได้ ความรักของเขากับนางจึงเกิดขึ้นพร้อมกับเรื่องราวต่างๆมากมาย
ดูเพิ่มเติมมู่ซีหว่านเก็บกระดาษและพู่กันใส่กล่องไม้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า นับจากนางกับบิดาพลัดหลงกัน นางก็เลี้ยงชีพด้วยการตั้งโต๊ะข้างถนนรับตรวจโรคให้ผู้ไข้ แม้นางจะเป็นบุตรีหมอเทวดามีฝีมือการแพทย์ติดตัวไม่น้อย ทว่ามีฝีมือก็ส่วนมีฝีมือ นางไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อบะหมี่ย่อมไม่อาจเปิดโรงหมอ ทุกวันนี้จึงทำได้เพียงตรวจร่างกายให้ผู้ไข้แล้วเขียนใบยาให้อีกฝ่ายไปหาซื้อสมุนไพรรักษาตัวเอง
"แม่นาง" เสียงบุรุษผู้หนึ่งเรียกขานนางด้วยท่าทางร้อนรน มู่ซีหว่านไม่ทันเอ่ยถามอีกฝ่ายก็คุกเข่าเอ่ยทั้งน้ำตา
"ได้โปรดช่วยภรรยาข้าด้วย"
"พี่ชายรีบลุกขึ้นก่อน มีเรื่องใดก็ค่อยๆ เจรจา"
มือเล็กจับประคองชายตรงหน้าลุกขึ้น อีกฝ่ายยืนด้วยความไม่มั่นคงเอ่ยเสียงสั่น
"ภรรยาข้าล้มป่วยมาสามเดือนแล้ว ข้าหาหมอมาดูอาการนางนับสิบคนก็ไม่อาจวิเคราะห์โรคได้ วันก่อนได้ยินชาวบ้านเอ่ยถึงหมอหญิงผู้มีเมตตา จึงได้เดินทางทั้งวันทั้งคืนมาสามราตรี มาขอร้องท่านให้ช่วยไปตรวจนางสักหน่อย"
มู่ซีหว่านเห็นความรักอันลึกซึ้งของบุรุษตรงหน้าก็นึกชื่นชมยิ่งนัก เผลอพยักหน้าตอบรับโดยไม่รู้ตัว
มู่ซีหว่านนั่งรถม้าออกนอกเมืองขึ้นไปทางเหนือของแคว้นฉานอัน ใช้เวลาสามราตรีก็มาถึงบ้านของเกาเหว่ย
"ภรรยาข้าอยู่ที่เรือนตะวันตก เชิญท่านหมอ"
มู่ซีหว่านเดินตามแผ่นหลังกว้างไปด้วยท่าทางรีบร้อน ก่อนที่จะหยุดเท้าที่หน้าประตูไม้
"เชิญท่านหมอ"
สิ้นคำเชิญเท้าเล็กก็ก้าวเข้าไปด้านในเรือน หากแต่ทันทีที่ร่างกายพ้นบานประตู แผ่นหลังบางก็ถูกผลักจนเซถลาล้มลง พร้อมกับประตูที่ปิดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าภายในห้องมีหญิงสาวใบหน้างดงามอยู่สามนาง
"เอ่อ...ข้ามู่ซีหว่านได้รับการไหว้วานให้มารักษาฮูหยินเกา ไม่ทราบว่าคือแม่นางคนไหนหรือ"
หลังจากเอ่ยปากถามออกไป มู่ซีหว่านก็สังเกตเห็นใบหน้าที่ตื่นตกใจระคนระอาใจของเหล่าสตรีตรงหน้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น
"เหตุใดพวกเจ้าจึงทำหน้าเช่นนี้ หรือว่าข้าจะมาผิดเรือนกัน"
"เจ้าถูกหลอกแล้ว"
เสียงไร้อารมณ์ของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านในสุด สตรีที่มีท่าทางนิ่งสงบผู้หนึ่งเอ่ยบอก ก่อนจะเอ่ยถามนาง
"ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหน เดินทางมาจากทิศใด ใช้เวลากี่วัน ด้วยวิธีไหนจึงมาถึงที่นี่"
มู่ซีหว่านแม้ยังสับสนแต่เอ่ยตอบคำถามอีกฝ่าย
"เจ้าเป็นหมอหรือ"
สตรีใบหน้าซีดเซียวหายใจรวยรินอยู่มุมห้องเอ่ยถาม มู่ซีหว่านพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที
"เจ้าถูกสามบุปผา"
มุมปากของหญิงสาวตรงหน้ายกขึ้น ในแววตามีความชื่นชมอยู่ในที
"สามารถระบุพิษที่ข้าได้รับได้ นับว่าเป็นหมอมีฝีมือไม่น้อย"
"เจ้าอยู่นิ่งๆ ข้าจะฝังเข็มระงับพิษให้ก่อน"
เพราะไม่มีตัวยามู่ซีหว่านจึงไม่อาจรักษาสตรีตรงหน้าได้ ทำได้เพียงฝังเข็มสะกดพิษเอาไว้เท่านั้น
"บุญคุณช่วยเหลือ ภายหน้าข้าย่อมตอบแทน"
"ข้าเป็นหมอ รักษาผู้ไข้คือหน้าที่ จะนับเป็นบุญคุณได้อย่างไร"
“อย่างไรก็ไม่อาจละเลย ภายหน้าข้าจะตอบแทนเจ้าสักร้อยตำลึง”
มู่ซีหว่านกำลังจะตอบปฏิเสธ ทว่าเสียงกังวานใสที่ดูเหมือนจะระงับความตื่นเต้นไม่ไหวดังขึ้นมาเสียก่อน
"ดีจริง ซีหว่าน เจ้าก็รับเงินจากหว่านหนิงเถอะ แล้วก็นำมาลงทุนเปิดโรงหมอกับข้า"
มู่ซีหว่านขมวดคิ้วขึ้น มองสายตาเปล่งประกายของสตรีตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุการณ์เช่นนี้ยังจะคิดถึงเรื่องเปิดโรงหมอได้ หาทางหนีออกไปให้ได้ก่อนดีหรือไม่
เจียงหว่านหนิงตวัดสายตามองสหายร่วมชะตากรรม ก่อนจะถอนหายใจยาว
“หลี่เฟิ่งเซียน ในหัวของเจ้ามีแต่ลูกคิดหรือไร?”
มู่ซีหว่านได้ยินคำโต้แย้งของคนทั้งสองก็ได้แต่ยิ้มอย่างขบขัน ย้อนดูแล้วคล้ายนี่จะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหนึ่งปีของนางเลยทีเดียว
“พี่เพ่ยลู่เสียน ท่านพอจะคาดเดาตำแหน่งของพวกเราได้หรือยัง”
เจียงหว่านหนิงเลิกสนใจหลี่เฟิ่งเซียน นางหันมามองหน้าเพ่ยลู่เสียนอย่างเคร่งเครียด
"เท่าที่พวกเจ้าบอกมาข้าสงสัยอยู่สองที่ คือเมืองอันฉินกับเมืองไห่หนิง"
หลี่เฟิ่งเซียนบอกเสียงเรียบดวงตาคมยังคงจดจ้องที่พื้นดินตรงหน้า เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง
..............................................................
“เข้าไป!”
เสียงโหดเหี้ยมดังขึ้นมาจากทางหน้าประตูอีกครั้ง สตรีทั้งสี่ต่างก็หันมามองหน้ากัน
"ดูท่าจะมีหญิงสาวถูกจับมาอีกแล้ว"
มู่ซีหว่านพูดขึ้นมาด้วยความเศร้า และที่เหลือต่างก็พยักหน้าตอบรับคำพูดของนาง เสียงทอดถอนใจดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง
สามวันที่นางถูกจับตัวมาขังรวมกับเพ่ยลู่เซียนเจียงหว่านหนิง และหลี่เฟิ่งเซียน แม้จะดูเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่สำหรับมู่ซีหว่านกลับรู้สึกผูกพันกับทุกคนราวกับอยู่ด้วยกันมาร่วมสามปี
"ข้าว่าต้องใช่ หากข้าพูดถูกพวกเจ้าทั้งสามต้องจ่ายมาคนละสิบอีแปะตกลงหรือไม่"
เพ่ยลู่เซียนหันไปส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ทว่าก็ไม่ได้ห้ามอะไร เช่นเดียวกับมู่ซีหว่าน ที่อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เอาเถอะในยามที่กำลังทุกข์เช่นนี้ ให้หลี่เฟิ่งเซียนได้สร้างความสนุกให้พวกนางสักนิดก็ยังดี
"โอ๊ย!!..."
ประตูเรือนถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งที่ถูกผลักเข้ามาในเรือนตะวันตก มู่ซีหว่านเห็นร่างบอบบางคล้ายกำลังจะล้มลงกับพื้น ก็รีบลุกขึ้นอ้าแขนรับนางเอาไว้แนบอก
“เป็นอะไรหรือไม่?”
มู่ซีหว่านอ้าแขนออกโอบกอดสตรีคนใหม่เข้ามาในอ้อมออก เด็กสาวเงยหน้าขึ้นดวงตาฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่าดูก็รู้ว่าพยายามอดกลั้นเอาไว้เป็นอย่างมาก
ทว่าเพียงแค่นางยกมือลงวางบนเส้นผมเงางามนั้น เด็กสาวผู้นั้นก็เหมือนจะทนไม่ไหว หยาดน้ำตาราวกับไข่มุกไหลออกมาเป็นสาย
“ซีหว่านรีบแก้มัดให้นางก่อน”
เพ่ยลู่เสียนที่ยามนี้พวกนางต่างยกตำแหน่งพี่ใหญ่เพ่ยให้กับนางออกคำสั่งขึ้นมา มู่ซีหว่านพยักหน้าและค่อยๆ แก้มัดให้เด็กสาวในอ้อมกอดอย่างเบามือ และนอกจากนี้ยังหยิบตลับยาออกมาทาที่ข้อมือเล็กให้อีกด้วย
“เจ้าชื่ออะไร ทำไมจึงถูกจับตัวมา แล้วจดจำสิ่งใดได้บ้าง?”
เจียงหว่านหนิงเอ่ยถามเสียงเข้ม สายตาคมจ้องมองเด็กสาวที่ตัวสั่นตรงหน้า เหมือนกำลังสำรวจร่องรอยการถูกทำร้าย ทว่าเมื่อเห็นว่าบนร่างกายนอกจากข้อมือแล้วไม่มีรอยบาดเจ็บอะไรอีก ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ช่างเป็นเด็กสาวที่ดูเปราะบางเสียเหลือเกิน ยิ่งดวงตากลมที่ปริ่มน้ำคู่นี้ ต่อให้เป็นบุรุษใจเหล็กก็ยากจะต้านทานจริงๆ
“หว่านหนิง เจ้ากำลังทำให้นางกลัว!”
เป็นอีกครั้งที่พี่ใหญ่เพ่ยเอ่ยตำหนิขึ้นมา ทว่าเจียงหว่านหนิงทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก หากแต่เมื่อโดนสายตาดุส่งมาก็ยิ้มแห้งหันหน้าหลบสายตาตำหนิของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยเสียงอ่อนลง
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก
ความคิดเห็น