로그인๑๘
ระบำซ่อนพิษ
หลางยี…
ทุกคนในห้องโถงเป็นผู้มีวรยุทธ์ขั้นสูง ประสาทสัมผัสย่อมดีเป็นพิเศษ
และยิ่งตอนนี้ข้าเพ่งไปที่นางเป็นการเฉพาะ ย่อมได้ยินสิ่งที่พวกนางสนทนากัน
เหอะ! คงมิใช่เจ้าเองหรอกกระมังที่อยากได้ชายงาม ดวงตาถึงได้แวววาวปานนั้น
“ข้าแค่เพียงเย้าม่านหนิงกูเหนียงเล่นเท่านั้น ท่านคิดจริงจังไปไยเจ้าคะ”
นางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย สวนทางกับหางคิ้วที่เลิกขึ้นสูงดั่งคนที่กำลังยั่วยุโทสะผู้คน
ประโยคนี้ไม่เพียงแค่เป็นการบอกว่าข้าเสียมารยาทที่แอบฝังพวกนางคุยกันเท่านั้น แต่ยังหมายถึงว่าข้าคิดเล็กคิดน้อยอีก
“เอาละ ๆ การแสดงชุดต่อไปยังรออยู่”
กุยฮั่นคงไม่อยากให้เสียบรรยากาศจึงได้เป็นฝ่ายห้ามทัพแล้วส่งสัญญาณให้นางรำทำการแสดงชุดต่อไป
ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้นางขุ่นเคืองใจอยู่แล้วจึงได้ยกจอกสุราขึ้นจิบ ทว่าสายตาก็ยังคงจับจ้องที่นางอยู่ตลอด
จนกระทั่งเห็นนางเริ่มขมวดคิ้ว ทำท่าทางคล้ายสูดดมกลิ่นบางอย่าง ข้าจึงได้กลับมาให้ความสนใจกับรอบกายอีกครั้งหนึ่ง
“คล้ายมีคล้ายไม่มี”
ข้าพึมพำเบา ๆ แต่เฟิ่งหงซีที่อยู่ด้านข้างได้ยินชัดเจน ท่าทางของเขายังคงวางท่าสูงส่งตามเคย
ทว่าสายตากลับฉายความระแวดระวังขึ้น พลางส่งสัญญาณให้กุยฮั่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ดูท่าแล้ว กลิ่นที่คล้ายมีคล้ายไม่มีจะมาจากนางรำที่ทำการร่ายรำสะบัดตัวไปมา แฝงมากับผ้าที่พวกนางนุ่งห่ม
พรรคมารกุยหานไม่ใช่ว่าเพิ่งจัดงานเลี้ยงเช่นนี้เป็นครั้งแรก เป้าหมายในวันนี้ไม่พ้นเป็นองค์ชายรองหย่งเหิง
หากว่าองค์ชายรองเป็นอะไรไปในวันนี้ พรรคมารกุยหานก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบไม่มากก็น้อย
(จบหลางยี)
กุยฮั่น…
หลังจากได้รับการส่งสัญญาณจากหลางยีและเฟิ่งหงซี ข้าก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดทำการแสดง เสียงดนตรีหยุดบรรเลงกะทันหัน
ภายในห้องโถงเงียบสะงัด แม้แต่องค์ชายหย่งเหิงที่ดูรื่นเริงกับการแสดงก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“อาชิ่ง!”
ทุกคนพลันตื่นตัวในทันทีเมื่ออยู่ ๆ สาวใช้คนสนิทของลี่จูก็สลบไป ส่วนตัวข้าก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มเกิดอาการชาขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากสั่งคนในพรรคให้มาคุมตัวนางรำและคณะไว้ก่อน พลันมีหนึ่งในนางรำปาเข็มเล่มเล็กกระจายไปทั่วห้องโถง ก่อนที่จะปามีดอันคมกริบเข้าใส่องค์ชายหย่งเหิง
“ลี่กูเหนียง เป็นอันใดหรือไม่!”
ข้าหลบเข็มขณะเดียวกันก็ใช้พลังทำลายเข็มที่พุ่งเป้ามายังลี่จูจนเข็มอันบางไม่ต่างจากขนวัวสลายกลายเป็นผุยผง
แม้มั่นใจว่าตนสะกัดเข็มได้หมดจด แต่ก็ยังปรี่เข้าไปใกล้นางพร้อมหมุนตัวนางสำรวจอย่างถี่ถ้วน
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณท่าน”
แววตาใสกระจ่างฉายความตกใจไม่น้อย ดวงตากลมโตย้ายจากใบหน้าของข้าไปที่มือข้าซึ่งยังคงจับแขนนางเอาไว้เป็นการบอกให้ข้าปล่อยนางอยู่กลาย ๆ
“ล่วงเกินลี่กูเหนียงแล้ว ข้าแค่ร้อนใจเกินไป”
เมื่อข้าปล่อยมือ นางถึงได้เอ่ยประโยคนี้
“ข้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนั้น เพียงแต่จะไปดูอาชิ่งเจ้าค่ะ”
กล่าวอธิบายสั้น ๆ ก่อนที่ร่างบางจะเข้าไปหาสาวใช้คนสนิทที่สลบคาโต๊ะ
“ม่านหนิง ไปคุ้มกันองค์ชายสี่”
“เจ้าค่ะ”
ม่านหนิงรีบเคลื่อนกายเข้าไปหาองค์ชายสี่ แม้สถานการณ์จะไม่ได้รุนแรงนัก แต่ก็ยังต้องป้องกันไว้ก่อน
“คุกเข่า!”
เพียงครู่เดียวเท่านั้นนักฆ่าสาวก็ไม่รอดเงื้อมมือของลูกพรรคมากฝีมือของทั้งสามพรรคไปได้ ตอนเข้ามาอาจจะง่าย แต่ออกไปไม่ง่ายอย่างที่ใจคิดหรอก
“คุกเข่า!”
เมื่อนางไม่ยอมคุกเข่า คนของพรรคข้าจึงใช้เท้าเตะข้อพับนักฆ่าสาวให้คุกเข่าลงกลางห้องโถง ส่วนนางรำรวมถึงนักดนตรีคนอื่น ๆ ได้ถูกนำตัวแยกไปไว้อีกที่หนึ่งแล้ว
“ช่างกล้านัก ตัวคนเดียวแท้ ๆ ยังกล้าบุกเข้ามายังพรรคมารได้ ใครสั่งเจ้าให้ลอบสังหารเปิ่นหวาง!”
องค์ชายรองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ ร่างสูงย่างกายเข้ามาใกล้นางมากขึ้นแล้วย่อกายลงตรงหน้านาง
“ไม่ต้องพร่ำ อยากฆ่าก็ฆ่า!”
องค์ชายรองผุดรอยยิ้มเย้ยหยัน
“โอหัง! ได้…ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะตาย เช่นนั้นก็ไปตายที่จวนเปิ่นหวางก็แล้วกัน!!”
ในห้องโถงไม่มีใครค้าน หากองค์ชายรองจะนำมือสังหารกลับไปสอบสวนด้วยตนเอง
อย่างไรเสียเป้าหมายก็ชัดเจนว่าเป็นองค์ชายรอง เพียงแต่ทำให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วยก็เท่านั้น
“แล้วอาชิ่งของข้าเล่า จะทำอย่างไร”
นักฆ่าสาวเบือนหน้ามามองลี่จู จับจ้องนางนิ่งอยู่เพียงครู่ก่อนที่จะยิ้มด้วยความได้ใจ
“ยาพิษไร้สีไร้กลิ่นสูตรนี้ เมื่อผู้ที่ไร้วรยุทธ์ต้องพิษจะทำให้สลบไป แต่ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต ตรงกันห้าม หากผู้ที่มีวรยุทธ์ได้รับพิษ มันจะค่อย ๆ ทำให้ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหว หากไม่ได้รับการถอนพิษภายในสามวัน ทั้งชีวิตจะไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้อีกต่อไป ยาถอนพิษมีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้นที่ทราบ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าจะฆ่าเจ้าได้ลง คำพูดว่าอยากฆ่าก็ฆ่าคงเป็นแค่การผายลมที่นักฆ่าเช่นพวกเจ้านิยมกล่าวกัน”
ลี่จูเอ่ยขึ้นมา ดวงตากลมโตจ้องนักฆ่าสาวนิ่ง ราวกับจะมองนักฆ่าสาวให้ทะลุไปถึงในจิตใจ
“แรงใช้ได้”
หลางยีเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มกลั้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้น
โชคดีที่ในห้องโถงก่อนหน้านี้มีแค่พวกเราที่มีวรยุทธ์ขั้นสูงอยู่ หากลูกพรรคคนอื่น ๆ อยู่ด้วย อาการอาจจะสาหัสกว่านี้
แล้วเหตุใดลี่จูที่เป็นเพียงคุณหนูบอบบางผู้หนึ่งถึงยังอยู่ในสภาพปกติได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวนางหาได้มีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนั้น แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย
ระหว่างที่ข้ากำลังขบคิดอยู่ จู่ ๆ นักฆ่าสาวก็เอ่ยถึงยาถอนพิษขึ้นมา ดวงตาของนางดูเหม่อลอยชอบกล จับจ้องเพียงใบหน้าของลี่จูเท่านั้น
“ยาถอนพิษสามารถหาตัวยาได้ตามร้านทั่วไปเช่นนั้นหรือ ฮึ่ม! ที่แท้ก็ตั้งใจหลอกพวกเราเพื่อหาทางรอดให้ตนเอง”
องค์ชายหย่งเหิงยิ่งเดือดดาลขึ้นกว่าเดิม
นักฆ่าสาวเป็นผู้บอกสูตรยาถอนพิษด้วยตนเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีการเค้นความ
หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ลี่จูจ้องตานางเมื่อตอนก่อนหน้านี้
(จบกุยฮั่น)
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั







