๕
เขามาทำอะไรที่นี่
หลางผิงอาของหลางยีกล่าวว่านางมาเยี่ยมญาติที่เมืองของข้าสามวัน
ที่พักหลับนอนตอนกลางคืนของนางก็คือบ้านญาติ แต่ว่าช่วงกลางวันนางกลับมาเยือนพรรคมารป๋ายหลงทุกวัน จนกระทั่งถึงวันนี้
“ท่านประมุขจะพาข้าไปเดินชมตลาด คุณหนูลี่จะไปด้วยกันหรือไม่”
พูดให้ครบถ้วนได้หรือไม่ ท่านพ่อจะพาเจ้าไปเพราะเจ้าขอให้ท่านพ่อพาไป แล้วคำชวนนี่อะไร เหมือนข้าเป็นคนนอกที่เจ้าชวนตามมารยาท
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ อย่าหวังว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปกับท่านพ่อเพียงลำพัง
“ไปเจ้าค่ะ”
ข้าตอบรับหลางผิงก่อนที่จะหันมามองสาวใช้คนสนิท ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครต้องพาใครไปกันแน่
“อาชิ่งเตรียมตัวเร็ว เราจะพาหลางผิงกูเหนียงไปเดินเที่ยวตลาดกัน”
หลางผิงเรียกข้าว่าคุณหนู แต่ข้าเรียกนางว่าแม่นาง เช่นเดียวกับที่หลางยีเรียกข้า
ไม่ว่าจะเรื่องคำเรียกหรือเรื่องที่ข้าตั้งใจจะไปขัดขวางนางกับท่านพ่อ นางไม่ได้แสดงอารมณ์ใดนอกจากยิ้มรับ ไม่แสดงความหงุดหงิดให้เห็นแม้แต่น้อย
…เก็บอารมณ์ได้เก่งสมอายุ!
“เช่นนั้นไปรอท่านประมุขที่รถม้าดีหรือไม่ เดินทางด้วยรถม้าของข้าก็ได้ ด้านในพรั่งพร้อมไปด้วยขนมน้ำชา”
หลางผิงเอ่ยด้วยท่าทางเป็นมิตรราวกับกำลังทำคะแนนกับข้า
“รถม้าหลางผิงกูเหนียงหรือเจ้าคะ”
“ใช่ อยากไปรถม้าข้าหรือไม่”
“ขึ้นรถม้าของพรรคเราก็ได้นะเจ้าคะ หมู่บ้านป๋ายหลงมีของกินมากมาย ไม่เหมือนหมู่บ้านเฮยหลาง”
พรรคมารทั้งสี่ตั้งอยู่ในแคว้นจุน เมืองหนานหยาที่ใครต่างก็รู้ว่าเป็นถิ่นของชาวยุทธภพ โดยเมืองหนานหยานี้มีอยู่สี่หมู่บ้านใหญ่ ชื่อหมู่บ้านและชื่อพรรคมารเป็นชื่อเดียวกัน ข้าอยู่หมู่บ้านป๋ายหลง ส่วนหลางยีและหลางผิงก็อยู่หมู่บ้านเฮยหลาง
ชาวบ้านในแต่ละหมู่บ้านนับถือฮ่องเต้เป็นอันดับหนึ่งในใจ ส่วนอันดับสองคือประมุขพรรคมารที่ให้การคุ้มครองชาวบ้านจากอันธพาลต่างถิ่น สัตว์อสูรหรือแม้แต่ภูตผีปีศาจ
“ไปกันเถอะ”
ข้าชวนอาชิ่งไปยังรถม้า หลางผิงเดินตามมาติด ๆ รอที่รถม้าไม่นานท่านพ่อก็เดินเข้ามาหาเราสองคน ด้านหลังท่านพ่อมีคนช่วยจูงม้าสีขาวมาด้วย
“มาแล้ว รอนานหรือไม่”
ท่านพ่อส่งยิ้มให้ข้าทั้งยังเผื่อแผ่ไปยังหลางผิงด้วย ข้ารู้สึกดีหน่อยที่ท่านพ่อยิ้มให้ข้าอย่างอบอุ่น ต่างจากตอนยิ้มให้หลางผิงที่เพียงยิ้มตามมารยาทเท่านั้น
“ไม่นานเจ้าค่ะอาเตีย”
“จริงอย่างที่คุณหนูลี่กล่าวเจ้าค่ะ ขอบคุณที่สละเวลาพาข้าไปเที่ยวชมตลาดนะเจ้าคะ”
พูดอย่างกับว่าข้าไม่ได้ไปด้วย!
“หลางผิงกูเหนียงอย่าได้เกรงใจ ท่านเป็นแขก อย่างไรก็ต้องให้การต้อนรับอย่างดี”
ท่านพ่อสบตาผู้สนทนาด้วยเสมอ หลางผิงก็ไม่เว้น นางคงคิดว่าท่านพ่อปฏิบัติกับนางเป็นพิเศษกระมัง เพราะข้าสัมผัสละอองสีทองจากนางได้
เพราะไม่อยากให้ดวงตาสัมผัสละอองสีทองจากนางจึงได้เดินเอาตัวไปคั่นกลางคนทั้งคู่ไว้
“ไปกันเถอะเจ้าค่ะอาเตีย…หลางผิงกูเหนียง”
ตอนแรกข้าจะไม่ชวนนาง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านพ่อ จะแสดงอาการต่อต้านอย่างชัดเจนไม่ได้ ดังนั้นจึงได้เอ่ยชวนนางด้วยอีกคน
บนรถม้า…
“ของซื้อของขายเยอะจริงด้วย”
หลางผิงเลิกม่านขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูบรรยากาศภายในหมู่บ้านป๋ายหลง
“เจ้าค่ะ”
ข้าตอบรับสั้น ๆ เพราะในหัวกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เป็นเรื่องที่รู้สึกกังวลมาก
รถม้าที่ข้าและหลางผิงโดยสารมาคือรถม้าของพรรคมารป๋ายหลง ตราสัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนรถม้าเป็นที่คุ้นตาชาวเมืองเป็นอย่างดี
โดยปกติเพียงแค่ข้าก้าวลงมาจากรถม้า ศูนย์รวมสายตาของผู้คนที่อยู่ละแวกนี้คือข้า เวลาที่ท่านพ่อมาด้วย ท่านพ่อจะเป็นคนประคองข้าลงจากรถม้า
แต่ครั้งนี้หลางผิงมาด้วย เช่นนั้นวันนี้คนที่ลงตามหลังข้ามาก็คือหลางผิง จะเลี่ยงไม่ช่วยนางลงมาก็ดูน่าเกียจเกินไป ฉะนั้นเพื่อเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัวกันของพวกเขา ข้าต้องรีบลงให้เร็วแล้วเป็นผู้ยื่นมือช่วยหลางผิงเอง
เมื่อมีแผนการตั้งรับไว้แล้วข้าถึงค่อยคลายใจ เผลอพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ จนหลางผิงที่หันมาเห็นพอดีเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ดูท่าคุณหนูลี่จะมีเรื่องให้คิดในใจ”
ข้าหลุดจากโลกความคิดตนเองพร้อมทั้งส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการปฏิเสธ
“ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอันใดเจ้าค่ะ แค่กำลังคิดว่าจะซื้ออันใดดี”
“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนี้ ข้านึกว่าคิดถึงข้าอยู่”
สัญชาตญาณดีไม่เบา!
“ตอนที่ถึงตลาดแล้วขอข้าลงจากรถม้าก่อนนะเจ้าคะ” ข้าเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่เพราะไม่อยากพูดโกหก
คิดเรื่องของนางอยู่จริง ๆ จะบอกว่าไม่ได้คิดก็กระไร
“ข้าตามใจคุณหนู”
หลางผิงพยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไรมาก เป็นข้าเสียอีกที่คิดไปไกลอย่างเช่นว่า…
ถ้าทุกคนเห็นหลางผิงมาพร้อมข้าจะสงสัยในความสัมพันธ์ของเราหรือไม่ จะตั้งคำถามไหมว่านางเป็นว่าที่แม่คนใหม่ข้าหรือเปล่า แล้วก็…
โอ๊ย! เยอะแยะไปหมด
“หยุด~”
เสียงหยุดม้าของคนบังคับรถม้าเรียกสติข้า เมื่อรถม้าหยุดนิ่งแล้วข้าก็แหวกม่านประตูเตรียมลงก่อน
ข้าใจหายวาบเมื่อเห็นมือที่ยื่นมารับเป็นมือของบุรุษที่ไม่คุ้นเคย จนกระทั่งช้อนตาขึ้นมองเขา ความตกใจเมื่อครู่ก็กลายเป็นความสงสัย
“ท่านหลางยี”
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั