๖
ไม่อยากให้นางไป
ข้าลังเลว่าจะวางมือลงบนมือหลางยีดีหรือไม่ จนกระทั่งหางตาเหลือบไปเห็นว่าท่านพ่อกำลังเดินมาทางนี้ ข้าจึงรีบวางมือเรียวลงในทันที
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หลางยีคิ้วกระตุก คงเพราะสงสัยที่ข้ามีท่าทีเร่งรีบ จนกระทั่งเห็นข้ายื่นมือรอรับหลางผิงที่กำลังลงจากรถม้าต่อหน้าท่านพ่อ เขาจึงแสดงสีหน้าเข้าใจ
“คารวะท่านประมุข”
หลังจากรับการคารวะจากหลางยี ท่านพ่อก็เป็นฝ่ายถามเขาแทนทุกคน
“หลางยีก็มาด้วย มารับหลางผิงกูเหนียงหรือ”
“มิใช่เสียทีเดียวขอรับ”
ว่าแล้วก็ตวัดสายตามามองข้าครู่หนึ่ง ให้รู้ว่าเหตุผลในการมาตลาดครั้งนี้เพราะใคร
การกระทำนี้เรียกรอยยิ้มมุมปากจากท่านพ่อและรอยยิ้มชอบใจจากหลางผิงได้ดียิ่ง
“ที่แท้หลางยีตี้ตี่ก็อยากมาพบหน้าคุณหนูลี่”
“ตี้ตี่” หลางยีทวนคำเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “เสี่ยวกูกู่เรียกข้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ข้ายกผ้าเช็ดหน้าปิดมุมปากไว้ พยายามจะไม่หัวเราะออกมา
หลางผิงเรียกหลางยีว่าน้องชาย แต่โดนคนตัวโตเรียกกลับว่าอาเสียงั้น
“หลางยีตบหน้าเจี่ยเจียเสียยังดีกว่า…เอาเถอะ เสี่ยวกูกู่ก็เสี่ยวกูกู่”
คนโดยรอบให้การสนใจพวกเราเป็นอยากมาก นั่นจึงทำให้ท่านพ่อเอ่ยขึ้น
“คนมองกันเต็มแล้ว ในเมื่อวันนี้หลางยีก็มาด้วย เช่นนั้นก็ดี จะได้ถือโอกาสพาเยี่ยมชมหมู่บ้านของเรา”
เมื่อท่านพ่อเอ่ยเช่นนี้ ข้าจึงได้รีบเดินเข้าไปตีคู่ท่านพ่อ ไม่ใช่เพื่อกันหลางผิงจะมาเดินเคียงข้างท่านพ่อเท่านั้น แต่อีกเหตุผลคือ
ข้าไม่อยากเดินคู่หลางยี!
“จูเอ๋อร์ไม่ไปเดินข้างหลางยีเล่า จะได้อธิบายให้เขารู้เกี่ยวกับหมู่บ้านของเราด้วย มาเดินข้างอาเตียเช่นนี้แล้วยังปล่อยให้แขกเดินตามหลังอีก ใช้ได้หรือ”
ข้าเอี้ยวตัวไปมองคนที่เดินตามหลังจึงเห็นว่าหลางผิงหันไปสนใจของกินของใช้ต่าง ๆ ข้างทาง
ส่วนหลางยีนั้นจ้องข้าพร้อมเลิกคิ้วถามประมาณว่า ‘มองหน้าหา…’
นั่นแหละ! จะมองหน้าหาผู้ให้กำเนิดคนใดของข้าหรือไม่ก็ช่าง ข้าขอเดาเป็นอย่างนี้ตามรูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็แล้วกัน
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะอาเตีย ท่านหลางยีคงไม่ได้อยากฟังคำอธิบายของข้า”
“อย่าดื้อ”
ข้าลอบถอนหายใจ โดนท่านพ่อมองด้วยสายตาเช่นนี้ทีไร ขัดไม่ได้ทุกที
แขกสองคนระหว่างหลางผิงกับหลางยี ข้าย่อมตัดสินใจเลือกได้ไม่ยาก เดินเข้าไปหาหลางผิงพานางเดินไปร้านเครื่องประดับ
“หลางผิงกูเหนียง ข้าว่าปิ่นนี้เหมาะกับท่าน”
ท่านพ่อบอกแค่ว่าให้สนใจแขก ไม่ได้บอกว่าข้าต้องสนใจแขกคนใด
แบบนี้ดุข้าไม่ได้นะเจ้าคะ!
(จบลี่จู)
หลางยี…
ตลอดการเดินตลาดในวันนี้ ลี่จูแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการเดินคู่กับข้า ทั้งยังถือโอกาสกันท่าบิดาของนางกับท่านอาเล็กของข้าด้วย
นั่นทำให้ข้ารู้สึกสนุกไม่น้อย การทำให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจได้คือสิ่งที่ข้าชอบที่สุด
ณ ร้านตำราแห่งหนึ่ง
ในขณะที่ทุกคนกำลังเลือกตำราที่ตนเองสนใจอยู่นั้น ข้าก็ถือโอกาสนี้เดินเข้าไปใกล้ลี่จู
“เป็นอย่างไรบ้าง ของฝากที่ข้าส่งมาให้ถูกใจลี่กูเหนียงหรือไม่”
นางพับตำราในมือลงดังฉับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองข้านิ่ง ๆ ระยะที่อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ กอปรกับที่นางสบตาข้าโดยตรง ข้าจึงพิศดูเครื่องหน้านางได้ละเอียดมากขึ้น
ดวงตานางกลมโตมาก ขนตาหนาเป็นแพงอนยาว
ยามที่กะพริบขึ้นลงแต่ละทีคล้ายผีเสื้อกระพือปีก ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือไม่เกินจริง
พูดถึงเรื่องรูปร่าง นางสูงเพียงแค่อกของข้าเท่านั้น ไม่ได้ความสูงจากพ่อมาเหมือนน้องชายเลย
“อารมณ์เดียวกันเหมือนตอนที่ท่านเห็นหน้าข้าเจ้าค่ะ ข้าดูออกว่าท่านไม่ได้ต้องการแต่งงานกับข้า แล้วเหตุใดต้องใช้วิธีเดียวกับผู้ใหญ่มาใช้กับข้าด้วย”
“เช่นนั้นลี่กูเหนียงก็ต้องปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้เองแล้ว เป็นบุรุษด้วยกันดูออก ข้ารู้ว่าท่านประมุขดูแลท่านอาของข้าเป็นอย่างดีเพราะมองไกลไปถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน”
นางเงียบไป เดาว่าคงตระหนักได้ถึงเหตุผลนี้แล้ว ข้าจึงรีบใส่ไฟเพิ่ม
“ข้าเองก็ไม่คิดจะแต่งงานในตอนนี้ แน่นอนว่าข้าเคยปฏิเสธกับท่านพ่อไปตามตรงแล้ว”
นางปฏิเสธแล้วเช่นนั้นหรือ ช่างกล้าหาญยิ่ง!
“ปฏิเสธแล้วก็ดี เพราะสตรีที่ตามหวงได้แม้กระทั่งบิดาของตนเอง บุรุษที่ใดเขาคิดจะแต่งเป็นฮูหยินกัน”
“ข้ารักอาเตียมาก ผิดหรือที่จะหวง ผิดด้วยหรือที่จะช่วยคัดสรรให้”
อาการตอนนี้ของนางปั้นปึ่งอย่างเห็นได้ชัด มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ราวกับพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เดือดดาลไว้ ทำให้ข้าคิดอยากแกล้งนางต่อ
“ผิดสิ สามีจวนใดอยากได้ฮูหยินที่มีนิสัยแบบนี้กัน ถ้าในอนาคตข้าต้องแต่งลี่กูเหนียงอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะก็ เฮ้อ~ชีวิตข้าคงไร้ความสุขแน่”
แววตานางแข็งกร้าวขึ้นก่อนที่จะพูดเสียงแข็งใส่ข้า
“เช่นนั้นก็สบายใจได้เลยเจ้าค่ะ ถ้าในอนาคตข้าตกล่องปล่องชิ้นกับท่านขึ้นมา ข้าคงไม่ตามสืบตามหวงท่านหรอก”
สายตาเอาจริงด้วย!
“ไม่ตามหวงข้าเช่นนั้นหรือ เหตุใดกัน หรือเพราะว่าข้าดูเป็นคนดีแลไว้ใจได้”
นางยกยิ้มมุมปากแล้วตอบด้วยความมั่นใจเกินสิบส่วน “เปล่าเจ้าค่ะ เพราะข้าคงไม่รักท่านมากพอจะทำเช่นนั้นได้ต่างหาก”
ฟังแล้วเจ็บ!
“ลี่กูเหนียงแน่วแน่เพียงนี้เลย”
“เลยเจ้าค่ะ”
นางเน้นเสียงคำว่า ‘เลย’ ใส่ข้า จากนั้นก็ตวัดสายตาไปยังตำราพลิกหาสิ่งที่ตนเองอยากอ่านต่อไปจึงพลาดได้เห็นว่าตอนนี้แววตาของข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว
ข้ารู้ว่านางต้องมีนัดดูตัวกับว่าที่ประมุขพรรคมารอีกสองคน และข้าก็รู้ตัวว่าความตั้งใจที่ไม่คิดจะแต่งงานในตอนนี้ยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
แต่เหตุใดข้าจึงไม่อยากให้นางไปดูตัวกับสองคนนั้น
(จบหลางยี)
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั