๗
หงซีเกอเกอ
การเดินตลาดเมื่อวานกินพลังงานชีวิตข้าเป็นอย่างมาก หลางผิงไปจากหมู่บ้านป๋ายหลงแล้วก็กะว่าจะพักผ่อน นอนอยู่ในห้องสักสองวันให้เต็มอิ่ม
ไม่คิดว่าเช้าตรู่ของวันต่อมา หน้าพรรคมารป๋ายหลงจะมีขบวนรถม้าหรูหรามาเยือนถึงประตูพร้อมบอกยามหน้าประตูใหญ่ว่าประมุขพรรคมารเฟิ่งหงส่งคนมารับข้าไปเที่ยวเล่นที่พรรค
ผู้ที่ขี่ม้านำขบวนมาก็คือเฟิ่งหงซี!
พรรคมารป๋ายหลงต้อนรับพรรคมารเฟิ่งหงเป็นอย่างดี คนที่เดินทางมาในขบวนด้วยถูกเชิญไปพักผ่อนมีข้าวมีน้ำให้รับประทาน ที่พักหลับนอนพรั่งพร้อม
ส่วนเฟิ่งหงซีผู้เป็นคนสำคัญที่สุดในขบวนนี้ถูกเชิญขึ้นมาบนเรือนใหญ่ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเดียวกันกับเจ้าบ้าน
“เป็นอย่างไรหงซี อาหารของที่นี่ถูกปากหรือไม่”
คนถูกถามวางตะเกียบลง มือใหญ่เอื้อมไปหยิบจอกชามาดื่มด้วยท่วงท่าสง่างามดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็หยิบผ้ามาเช็ดมุมปาก ทำเอาข้าและลี่หลานที่สนใจเพียงเรื่องการกินเท่านั้นเงยหน้ามองเขาเพราะไม่ได้ยินอีกฝ่ายตอบเสียที
ลุ้นไปกับคำตอบของเขาเลย!
“...แม้จะไม่ค่อยคุ้นลิ้น แต่นับว่าไม่เลวเลยขอรับท่านประมุข”
ข้าไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดเขา ทว่าตั้งแต่ที่ข้าเห็นเขาจับตะเกียบลงมือทานข้าว มีเพียงเต้าหู้น้ำแดงเท่านั้นที่เขาแตะเกินสามครั้ง ที่เหลือเพียงอย่างละคำ!
เป็นองค์ชายพระราชวังต้องห้ามเกิน!
ตอนนี้ยังเหลือน้ำแกงไก่เท่านั้นที่เขายังไม่ได้ทาน คงไม่ใช่ว่าซดน้ำแกงหนึ่งคำก็อิ่มเลยกระมัง
“อ้อ เช่นนั้นก็ทานเยอะ ๆ”
เฟิ่งหงซีพยักหน้ารับคำท่านพ่อ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบช้อนใหญ่ตักน้ำแกงใส่ถ้วย เมื่อซดน้ำแกงแล้วก็คีบอาหารอย่างอื่นทานต่อ
ข้าเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าให้ตัวเองเบา ๆ เขาไม่ได้ทานน้ำแกงปิดท้าย
เจ้าทายผิดแล้วลี่จูเอ๊ย!
“ข้าอิ่มแล้วขอรับท่านประมุข…ทุกคน”
ข้ายังไม่ทันได้กลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่ก่อนหน้านี้ลงคอเลยด้วยซ้ำ เขาก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาแล้ว
ลี่หลานถึงกับหันหน้าขวับเร็ว ๆ สองครั้งจ้องเขา ก่อนที่จะส่งสายตาถามข้า เป็นสายตาที่ข้าอ่านได้ว่า
‘เขาอิ่มแล้วหรือเจี่ยเจีย’
เพราะว่าข้าวที่อยู่ในถ้วยของเฟิ่งหงซีพร่องลงไปแค่นิดเดียวเท่านั้น ตรงข้ามกับเด็กกำลังโตอย่างลี่หลานที่กำลังทานถ้วยที่สอง
นั่นทำให้ข้าสงสัยประโยคนี้ของเขา ‘แม้จะไม่ค่อยคุ้นลิ้นอยู่บ้าง แต่นับว่าไม่เลวเลยขอรับท่านประมุข’
ความจริงของประโยคนี้มีกี่ส่วนหรือ
“อ้อ เช่นนั้นให้คนยกของหวานมาเลยก็แล้วกัน”
ท่านพ่อหันไปมองพ่อบ้านเหมา เพียงไม่นานของหวานพร้อมทานก็ตั้งโต๊ะ
ตามธรรมเนียมเฉพาะบ้านเราแล้ว หากว่าแขกอิ่ม เจ้าบ้านก็ต้องอิ่มตามด้วย หมายความว่าแม้เจ้าบ้านจะยังไม่อิ่ม ก็ต้องไปทานเมนูของหวานต่อแล้ว
ผลของการมีธรรมเนียมแบบนี้ก็คือลี่หลานรีบโกยข้าวเข้าปากเป็นการใหญ่
ส่วนข้าแม้จะไม่รีบเท่าน้องชาย แต่จังหวะการเคี้ยวที่ปกติต้องเคี้ยวสิบห้าครั้งแล้วกลืน เหลือเพียงแค่ห้าครั้งก็กลืนลงคอในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทานอาหารเร็วที่สุด!
หนึ่งเค่อต่อมา…
“จุก!”
ลี่หลานหันมาทำหน้าเหยเกใส่ข้าในตอนที่ข้ากำลังจะไปเตรียมตัวเดินทางไปหมู่บ้านเฟิ่งหง
กำปั้นใหญ่ทุบลงเบา ๆ ที่หน้าอกของตัวเอง สีหน้าย่ำแย่เหลือจะกล่าว
“อย่าว่าแต่เสี่ยวตี้เลย” ข้ายกมือกดลงที่กระเพาะของตัวเอง “เจี่ยเจียก็ปวดท้องหน่อย ๆ แล้วเช่นกัน ครั้งต่อไปเราไม่ตะกละกันแบบนี้แล้วนะ ถ้าหิวค่อยไปหาอย่างอื่นทานเอาทีหลัง”
“ขอรับเจี่ยเจีย”
ข้าใช้เวลาเตรียมตัวไม่นาน รถม้าคันหรูหราตระการตาขบวนนี้ก็เคลื่อนตัวออกจากพรรคมารป๋ายหลงมุ่งสู่พรรคมารเฟิ่งหงในยามซื่อ[1]
ตั้งแต่ข้าเจอหน้าเฟิ่งหงซีเรายังไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว มีสบตากันอยู่บ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
มีบางครั้งที่ข้ารู้สึกว่าเขาลอบมองข้าอยู่ แต่พอมองกลับไปก็เห็นว่าเขาไม่ได้มองข้าเลย
หรือข้าจะคิดเข้าข้างตนเองมากเกินไป…แต่ก็ช่างเถอะ!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
รถม้ายังคงวิ่งอยู่ช้า ๆ ในจังหวะเดิม แต่อยู่ ๆ ข้างผนังรถม้าก็มีเสียงเคาะไม้ดังขึ้น
ข้าจึงได้แง้มผ้าม่านออกมองเล็กน้อยจึงเห็นว่าคนที่เคาะคือบุรุษผู้มีใบหน้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาหล่อเหลา ดูมีความเป็นผู้ดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เจ้าคะท่านเฟิ่งหงซี”
“คุณหนูลี่สามารถเรียกข้าว่าหงซีได้ หรือจะเรียกว่าหงซีเกอเกอ ข้าก็ไม่ติด”
ให้เรียกพี่ชายได้ มาทางพี่น้องแล้ว!
“เช่นนั้นหงซีเกอเกอก็เรียกข้าว่าลี่จูเม่ยเม่ยเถิดเจ้าค่ะ เพื่อความเสมอภาค”
“ลี่จูเม่ยเม่ย เพียงหนึ่งเค่อเราก็จะถึงแล้ว แต่ก่อนที่จะถึงนั้นเรามาปรับการแต่งกายของเม่ยเม่ยดีหรือไม่”
ข้าปิดม่านลงแล้วรีบก้มสำรวจเสื้อผ้าของตนเองในทันที ทั้งยังเอื้อมมือไปหยิบกระจกทองเหลืองที่มีติดรถม้ามาด้วย พอสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วข้าก็เลิกม่านขึ้นออกกว้างกว่าเดิม
ยังดีที่เขาควบม้าอยู่ข้าง ๆ ข้าจึงได้ถามข้อสงสัยของตนเองได้โดยไม่ต้องตะเบ็งเสียง
“การแต่งกายของข้ามีปัญหาหรือเจ้าคะ”
ข้าก็ลูกท่านประมุขพรรคนะ ด้อยจุดใดกัน เสื้อผ้าหรือว่าเครื่องประดับ
เขายิ้มให้ข้า ยังไม่ตอบข้าในทันที จนกระทั่งรถม้าแล่นเข้าสู่ตลาดแล้วหยุดอยู่ที่ร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง มีความสูงสี่ชั้น มองภายนอกดูดี
ดูเรียกเงินในกระเป๋าดี!
“ลี่จูเม่ยเม่ย”
ข้ามัวแต่สำรวจร้านดังกล่าวผ่านหน้าต่างรถม้าจนลืมไปว่าต้องลงได้แล้ว เฟิ่งหงซีรอรับข้าอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ ข้าจึงยื่นมือให้เขาจับอย่างไม่รังเกียจ
พอสองเท้าเหยียบลงบนพื้น ใบหน้าก็แหงนเงยขึ้นมองร้านเสื้อผ้า ดวงตาฉายชัดว่าชื่นชอบ
“เกอเกอจะพาข้ามาถลุงทรัพย์หรือเจ้าคะ”
เราก็ชอบซื้อของเสียด้วยสิ!
“ไม่เดือดร้อนเงินในกระเป๋าลี่จูเม่ยเม่ย หงซีเกอเกอจะซื้อให้เอง…ลุย!”
ป๋ามาก!
ข้าตะโกนคำนี้ออกมาในใจทันทีที่เขาดึงชายเสื้อของข้าเข้าร้านเสื้อผ้า
มองจากด้านนอกคิดว่ามีชุดที่ดูดีมากมายแล้วใช่หรือไม่ แต่พอเดินเข้ามาด้านในจะรู้สึกว่าเหมือนหลุดเข้ามาในโลกของแฟชั่นโบราณ
ด้านในไม่ได้มีเฉพาะชุดที่ดูหรูหรามีการปักเลื่อมป็นประกายวิบวับเท่านั้น บางตัวก็ออกแบบมาให้ใส่เข้ากับขนสัตว์ ทั้งหมวกและชุดคลุมขนสัตว์ ไหนจะยังเครื่องประดับมากมายที่มีให้เลือกซื้อ
เรียกได้ว่าครบจบในที่เดียว!
“หงซีเกอเกอคิดว่าตัวนี้เหมาะกับลี่จูเม่ยเม่ย…ปิ่นอันนี้ก็เหมาะกับเม่ยเม่ย…ต่างหูอันนี้ก็เหมาะ…กำไลนี่ก็เหมาะ…รัดเกล้าอันนี้ด้วย…”
แล้วยังมีรองเท้า ผ้าเช็ดหน้า สร้อยคอ ตอนแรกข้าก็ตื่นเต้น มีความสุขกับของสวยงามไม่น้อย แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นตุ๊กตาให้เขาจับแต่งตัวเสียงั้น
ไหนจะแววตาระยิบระยับของเขายามจับชิ้นนั้นชิ้นนี้มาลองทดสอบหาความเข้ากันบนตัวข้าอีก ข้ามั่นใจว่าตัวเองใส่ชิ้นไหนก็รอดนะ แต่ว่า…
“เอ่อ...หงซีเกอเกอ มันดูเยอะเกินหรือไม่เจ้าคะ”
หากเป็นโจรปล้นข้าคนเดียวก็คุ้มแล้ว!
“เกอเกอจ่ายเอง”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
ไม่เป็นไร ยังไงก็ใส่ให้คนมองอยู่แล้ว ข้าจะประโคมมันทั้งหมดนี่แหละ
[1] ยามซื่อ 09.00-10.59 น.
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั