๘
สายตาดูกลืนกินแล้วค่อยว่ากัน
ตอนแรกข้าก็เขินอยู่บ้างที่แต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็มทั้งหน้าผมและชุด ตอนออกมาจากร้านขายผู้คนมองมาที่ข้าพร้อมชี้ไม้ชี้มือกระซิบกระซาบกันอย่างไม่เกรงใจ นั่นทำให้ข้ารู้สึกว่าตนแต่งเยอะไป
แต่พอเข้ามาในห้องโถงที่เอาไว้ใช้รับรองแขกของพรรคมารเฟิ่งหง ข้าก็นึกขอบคุณหงซีเกอเกอในทันที
เพราะหรูหรามาก!
“คุณหนูลี่การเดินทางคงสะดวกสบายดี”
“สะดวกสบายดีเจ้าค่ะ”
ข้าตอบประมุขพรรคมารเฟิ่งหงคนปัจจุบันเสียงหวาน ท่าทางเต็มไปด้วยความนอบน้อม
เสื้อผ้าหน้าผมของท่านประมุขแม้ไม่ได้อลังการมาก แต่ก็เยอะพอที่จะนั่งอยู่บนเก้าอี้สีทองสลักนกเฟิ่งหวง[1]ได้โดยไม่ดูขัดตา ดูไม่ได้เป็นส่วนแปลกปลอมภายในห้องที่มีเครื่องประดับตกแต่งทุกอย่างที่ดูหรูหราทุกชิ้นเช่นนี้
ถ้าอยู่สมัยปัจจุบันก็คงเป็นเจ้าพ่อเวอร์ซาเช่!
“ท่านประมุขอะไรกัน เรียกเฟิ่งชูชู่ดีกว่า”
ถ้าเป็นคนอื่นบอกให้ข้าเรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ ข้าคง ตั้งคำถามไปแล้ว แต่พอคนตรงหน้ากล่าว ข้าจึงยอมรับและสามารถเรียกเขาว่าชูชู่ได้เต็มปากเต็มคำ
“เจ้าค่ะ เฟิ่งชูชู่”
จะสี่สิบแล้วหน้ายังเด็กอยู่เลย สมัยนี้ไม่มีโบท็อกกระชับรอยบนใบหน้านะ หรือว่าเขามียาอายุวัฒนะ
“ดี”
เฟิ่งชูชู่กล่าวว่าดีพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ข้าด้วย ข้าไม่รู้ตัวเลยว่าได้ส่งยิ้มแบบใดตอบกลับไป
ความเหมือนกันของประมุขพรรคมารทั้งสี่คือภรรยาได้เสียชีวิตไปแล้ว เฟิ่งชูชู่ตอนนี้นับว่าเป็นชายโสด ต้องเข้าใจว่าชายโสดมักจะบริหารเสน่ห์เก่งกว่าตอนมีพันธะ
อย่าเผลอเคลิ้มไปเชียว!
“ลี่จูเม่ยเม่ย เกอเกอพาเจ้าไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ของพรรคเราดีหรือไม่”
ข้าละสายตาจากรอยยิ้มอบอุ่นไปมองใบหน้าหล่อเหลาของหงซีเกอเกอ
“พิพิธภัณฑ์หรือเจ้าคะ เกี่ยวกับอันใดหรือเจ้าคะ”
เฟิ่งหงซีไม่ตอบ เขาหันไปมองหน้าบิดาแล้วส่งยิ้มนึกสนุกให้กันอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นเฟิ่งหงซีก็พาข้าเดินมายังพิพิธภัณฑ์ที่ว่า ซึ่งอารมณ์ต่อมาของข้าก็คือ…
โอ้มายก๊อด!
ข้าไม่รู้ว่าจะอุทานอะไรออกมาได้อีกนอกจากคำนี้แล้ว ข้ามองประตูทางเข้าอันใหญ่โตสีทองอร่าม เปิดแต่ละครั้งต้องใช้คนถึงสี่คน เมื่อก้าวเท้าเข้ามาด้านในก็ต้องตะลึงอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างลี่จูเม่ยเม่ย พิพิธภัณฑ์ของพรรคเราดูเลอค่ามากใช่หรือไม่ รูปปั้นที่อยู่ในนี้ทั้งหมดคืออดีตประมุขพรรคมารเฟิ่งหงตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา ส่วนของชิ้นอื่นล้วนเป็นของมีค่าที่เราสะสมมาหลายร้อยปีแล้ว”
‘โอ่อ่ามานานแล้ว’ เขาจะสื่อแบบนั้น สถานะทางการเงินไม่เคยขัดสนเลยว่างั้น
“เป็นทองหมดเลยนะเจ้าคะ ประเมินราคามิได้แล้วกระมัง ถ้าสมัยนี้มีนิตยสารฟอบส์ เฟิ่งชูชู่คงติดหนึ่งในนั้นด้วยแล้ว”
เขายิ้มอบอุ่นให้ข้า
“หากลี่จูเม่ยเม่ยเลือกหงซีเกอเกอ แน่นอนว่าจะมีรูปปั้นหล่อด้วยทองคำของเจ้าถูกตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์นี้ด้วย”
เลือกเขาอย่างนั้นเหรอ แล้วข้าจะได้รูปปั้นทองคำความบริสุทธิ์ 99.99 % ด้วยใช่หรือไม่
ข้าใช้ดวงตาของตนสำรวจความจริงใจของคนตรงหน้าในตอนที่หันไปจ้องตาเขา
ถ้าเทียบกับหลางยีที่เป็นบุรุษหน้าดุแต่ยิ้มออกมาแล้วดูขี้เล่น เฟิ่งหงซีก็เหมือนคนหน้านิ่งที่ยิ้มออกมาแล้วดูอบอุ่น
อบอุ่นแค่ไหนนะหรือ
ถึงขั้นที่ว่าดวงตาของข้าสามารถจับละอองสีทองที่กระจายอยู่รอบตัวเขาได้ ไม่มีละอองสีดำอยู่เลยสักนิด
จริงใจไม่จริงโจ้!
(จบลี่จู)
เฟิ่งหงซี…
“ถ้าลี่จูเม่ยเม่ยเลือกหงซีเกอเกอ แน่นอนว่าจะมีรูปปั้นหล่อด้วยทองคำของเจ้าถูกตั้งอยู่ในนี้ด้วย”
หลังจากที่ข้ากล่าวประโยคนี้นางก็นิ่งอึ้งไปในทันที ดวงตากลมโต ขนตาหนาเป็นแพมองข้าตาไม่กะพริบ
แต่ข้าสังเกตได้ว่าในดวงตาคล้ายมีหยดน้ำคลอหน่วยอยู่ตลอดนั้น มีพลังบางอย่างที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ข้าไม่แปลกใจและไม่สงสัยว่ามันคือพลังใด เพราะอย่างไรก็เป็นถึงบุตรีของประมุขพรรคมารอันดับหนึ่งของยุทธภพ อย่างไรก็ไม่ธรรมดา
“…หงซีเกอเกอ”
นางเรียกเพียงชื่อของข้าเท่านั้นแล้วก็เงียบไป ดวงตาของนางจ้องข้านิ่งเช่นเดิมคล้ายกับตั้งใจสำรวจสิ่งใดอยู่ หรือนางกำลังหาความจริงใจจากคำพูดของข้า
“ยังเหลือกุยฮั่นใช่หรือไม่ที่ลี่จูเม่ยเม่ยต้องไปดูตัว”
“เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ข้าชอบหงซีเกอเกอนะเจ้าคะ ข้าชอบบุรุษสายเปย์”
“…”
ข้าเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกแปลกใจให้กับคำพูดใดดีระหว่าง
‘นางบอกชอบข้า’ กับคำว่า ‘สายเปย์’ ที่ข้าไม่เข้าใจความหมาย
แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่อาจเก็บความรู้สึกสงสัยของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป
“สายเปย์เช่นนั้นหรือ”
นางพยักหน้ารับเบา ๆ เงยหน้ามองข้า
“หงซีเกอเกอคือบุรุษสายเปย์ที่เปย์ของใช้ให้ข้าเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านไม่ตกใจหน่อยหรือที่ข้ากล่าวว่าชอบท่าน”
ข้าหลุดยิ้มให้กับท่าทางซื่อตรงแบบไม่เสแสร้งของนาง ด้วยฐานะของข้าย่อมเจอสตรีมาหลากหลายรูปแบบ
เคยเจอไม่น้อยที่พูดตรง ๆ เช่นนางแต่กลับพยายามในแบบปลอม ๆ
อย่างตอนที่นางยิ้มตอบท่านพ่อของข้าตอนอยู่ในห้องโถง หากข้าไม่ชวนนางออกมา นางก็คงเผลอยิ้มออกมาแบบคนโง่งมให้ตาเฒ่านั่นไปอีกนาน
“สายตาลี่จูเม่ยเม่ยในตอนนี้ยังไม่กลืนกินเกอเกอเลย เมื่อไรที่เจ้ามองเกอเกอด้วยสายตาแบบนั้น เกอเกอถึงจะคิดจริงจังกับคำพูดของเจ้า”
“…”
นางเงียบไปอีกครั้ง สำหรับนางนี่คงเป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกันอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับข้า…
สายตาจับจ้องที่นางมานานแล้ว!
(จบเฟิ่งหงซี)
[1] เฟิ่งหวง คือ นกฟินิกซ์
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั