LOGINกิตติยืนพิงรถกระบะสีเทาอยู่หน้าบ้านใหญ่ แสงแดดยามบ่ายส่องสะท้อนกระจกจนเป็นประกาย เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเห็นร่างเล็กของหญิงสาวเดินกึ่งวิ่งออกมาจากทางเดินด้านใน
“ขึ้นรถสิ” เสียงเข้มเอ่ยเรียบๆ แต่แฝงความอบอุ่น “ไปไหนเหรอคะ” ขวัญข้าวถามพลางใช้มือลูบเส้นผมที่ปลิวจากแรงลม “ฉันจะพาเธอไปดูสวนทุเรียน” “ค่ะ” หญิงสาวขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างว่าง่าย เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย มือเล็กวางบนตักอย่างเกร็งๆ ขณะที่เครื่องยนต์เริ่มทำงาน เสียงเครื่องกระหึ่มดังขึ้นพร้อมกับความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในรถ ดวงตากลมโตมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นแนวต้นไม้ใหญ่เรียงรายตลอดสองข้างทาง เมื่อรถเคลื่อนผ่านรั้วบ้านหลังใหญ่ไปไม่ถึงสิบนาที ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวกว้างขวาง เต็มไปด้วยต้นทุเรียนสูงใหญ่ที่ใบเขียวเข้มสะท้อนแสงแดด แผ่นป้ายไม้หน้าทางเข้าเขียนว่า “สวนทุเรียนดวงจันทร์” ใบหน้าน่ารักเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าฉงน เธอหันไปหาคนข้างตัว แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามถึงที่มาของชื่อ เขาก็หันมาหาเธอเหมือนรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง “มีอะไรเหรอ” “ทำไมถึงชื่อสวนดวงจันทร์เหรอคะ” ชายหนุ่มเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้มบาง “อ๋อ… ชื่อแม่ฉันเอง สวนนี้พ่อกับแม่ฉันยกให้ฉันทำต่อน่ะ” “แล้วพวกท่านอยู่ที่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวถามต่ออย่างเกรงใจ “เสียแล้ว… อุบัติเหตุทางรถยนต์” บรรยากาศในรถเงียบลงชั่วขณะ ขวัญข้าวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกผิดที่ถามเรื่องชวนให้เจ็บปวด “ขอโทษที่ถามค่ะ” “ไม่เป็นไร มันผ่านมานานแล้ว” คำตอบสั้นๆของเขาพร้อมรอยยิ้มบางและแววตาอ่อนโยนกลับทำให้หัวใจเธอเต้นแปลกๆ ดวงตาคมเข้มของเขาไม่ได้เย็นชาอย่างที่เธอคิด แต่กลับอบอุ่นในแบบที่ทำให้คนมองต้องรีบหลบสายตาเพราะกลัวจะเผลอจมลึกลงไปในนั้น ไม่นานรถก็หยุดสนิทหน้าบ้านพักสองชั้นกลางสวน เสียงเครื่องดับลงพร้อมกับเสียงนกที่ร้องระงมเหนือยอดไม้ “ถึงแล้ว” กิตติพูดพลางเปิดประตูลงจากรถ ขวัญข้าวตามลงมาทันที ลมร้อนพัดผ่านใบหน้าจนเส้นผมปลิว คนงานสองคนเดินออกมาต้อนรับและรายงานงานตามหน้าที่ “พวกผมไปซื้อต้นกล้ามาตามที่สั่งแล้วครับ” “ดีมาก ไหนขอดูหน่อยสิ” ขวัญข้าวจำหน้าคนงานสองคนนี้ได้เพราะเพิ่งไปทักทายเมื่อเช้า เธอเดินตามหลังกิตติเข้าไปในสวน ระหว่างนั้นก็มองสำรวจรอบบริเวณไปด้วย ต้นทุเรียนถูกปลูกเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ มีท่อน้ำวางเป็นแนวตามต้นทุเรียน ขวัญข้าวพยายามเก็บข้อมูลจากการฟังทั้งสามคนพูด “พวกผมปลูกต้นใหม่ไว้ตรงนี้ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า มองต้นกล้าใหม่สิบกว่าต้นที่เพิ่งปลูกลงดิน สีหน้าของเขานิ่งแต่แววตาเปี่ยมความตั้งใจและใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง “อย่าลืมทำสแลนบังแดดด้วยนะ” “ได้ครับ” “แล้วทุเรียนที่เพิ่งออกดอกก็อย่าลืมปรับสูตรปุ๋ยด้วย” “ครับผม” “ตอนขับรถเข้ามาฉันเห็นหญ้าเริ่มขึ้นที่โซนเอแล้ว รีบถางออกด้วย” “ครับ” หญิงสาวฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจพยายามจดจำทุกอย่าง เธอไม่เข้าใจมากนักเกี่ยวกับการทำสวน แต่รู้สึกได้ว่าชายตรงหน้านี้รักในสิ่งที่เขาทำมากเพียงใด ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง กิตติยังเดินตรวจสวนไม่ถึงครึ่ง เขาหยุดเมื่อเหลือบเห็นร่างเล็กของหญิงสาวที่ยืนหน้าซีด หน้าแดงก่ำจากแดดจัด เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดบนขมับจนเส้นผมเปียกแนบแก้ม “ลืมไปเลยว่าเธอมาด้วย…” เขาพึมพำเบาๆก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เราไปนั่งพักกันดีกว่า” ขวัญข้าวยิ้มอ่อน “ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังไหวอยู่” “ฉันว่าเธอเดินไม่ไหวแล้ว กลับกันดีกว่า” “ไหวค่ะ แค่นั่งพักสักหน่อยก็หายแล้ว” เขามองเธอครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าเป็นลมขึ้นมาอย่ามาโทษฉันนะ” “หนูแข็งแรงกว่าที่คุณยุเห็นนะคะ” “หึ… ตามใจ” เสียงหัวเราะในลำคอของเขาแผ่วเบาแต่กลับทำให้ใจของหญิงสาวสั่นไหววูบหนึ่ง ทั้งสองเดินไปยังเพิงไม้ริมสระน้ำขนาดใหญ่ สายลมพัดผ่านเบาๆทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วๆชวนให้รู้สึกสงบ ที่นั่งพักไม้มีโต๊ะเล็กและกระติกน้ำตั้งไว้ ชายหนุ่มตักน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้หญิงสาว “ดื่มสิ จะได้หายเหนื่อย” “ขอบคุณค่ะ” เธอรับแก้วน้ำมาดื่มรวดเดียวจนหมด เหงื่อที่เกาะตามกรอบหน้าไหลลงมาตามลำคอ แก้มนวลแดงจัดจากแดด เธอเผลอยกมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนสบตากับสายตาคมเข้มที่มองมาอย่างเงียบๆ “เหนื่อยไหม” เขาถามเสียงทุ้ม “นิดหน่อยค่ะ” “ฉันว่าเธอเดินเก่งกว่าที่คิด” เขาพูดพลางยกมุมปากขึ้นน้อยๆ หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณค่ะ” ลมยามเย็นพัดโชย เส้นผมของเธอปลิวมาตรงปลายคางเขาโดยไม่ตั้งใจ กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆลอยแตะปลายจมูก ทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นช้าลงอย่างประหลาด เขาเผลอมองใบหน้าเล็กนั่นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมใสจับแสงแดดจนระยิบระยับ ปลายจมูกโด่งรั้นเล็กน้อย และรอยยิ้มบางที่ส่งมาอย่างเกรงใจทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ในใจของทั้งคู่ต่างไม่รู้ตัวเลยว่า วันที่แสนธรรมดาในสวนทุเรียนแห่งนั้น กำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปขวัญข้าวเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่อาบน้ำลอยฟุ้งไปทั่วห้องพักคนงานขนาดเล็ก ดวงตาสวยต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มยืนรออยู่ข้างเตียง“ทิ้งฉันไว้คนเดียวได้ยังไง” กิตติพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจเล็กน้อย ทำเอาเธอสะดุ้ง“คุณกิต! เข้ามาในห้องหนูทำไมคะ หนูขอเวลาแต่งตัวก่อนค่ะ" เธอรีบยกแขนปิดหน้าอกและกอดตัวเองไว้แน่น กั้นสายตาเจ้าเล่ห์ของเขา"ก็แต่งสิ" เขายักคิ้วตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านขวัญข้าวไม่สามารถแต่งตัวต่อหน้าชายหนุ่มที่ยืนกอดอกมองเธอได้ ถึงจะเคยมีอะไรกันไปแล้วก็ตามความอับอายยังคงกัดกินจิตใจ เธอจึงหยิบชุดนอนลายการ์ตูนจากในลิ้นชักแล้วเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำ พอเดินออกมาก็เห็นเขานอนรออยู่บนเตียง"มานี่เร็ว จะทายาให้""หนูทาเองได้ค่ะ""อย่าดื้อน่า"“ก็ได้ค่ะ"ขวัญข้าวรู้ดีว่าก้นเธอยังเจ็บอยู่ ช่วงนี้เขาคงทำอะไรเธอไม่ได้อยู่แล้ว จึงยอมไปหยิบหลอดยามาส่งให้เขา"นอนคว่ำ"ร่างบางปีนขึ้นเตียงนอนคว่ำไปบนเตียง แอบใจเต้นเล็กน้อยในตอนที่เสื้อนอนถูกเลิกขึ้นเผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียน“เจ็บไหม” กิตติถามเสียงอ่อนลง ขณะเอามือแตะผิวบริเวณที่ขึ้นสี
“ฮ้าววว” กิตติหาว ออกมาเสียงดังเป็นรอบที่สิบของวัน เปลือกตาของเขาหนักอึ้งจนแทบลืมไม่ขึ้นเมื่อคืนเขาอุตส่าห์กลับมานอนห้องตัวเองตอนตีสาม หลังจากที่แอบย่องเข้าไปทายาให้คนเจ็บก้นในห้องพักจนเธอหลับคาอกเขาไป แต่ไม่รู้ทำไมข่มตานอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับสักที กลิ่นหอมจางๆของแป้งเด็กและแชมพูที่ติดตัวเธอยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด เพิ่งมาง่วงเอาช่วงบ่ายที่ควรจะต้องนั่งเคลียร์บัญชีสวนนี่เองกิตติตัดสินใจลุกจากโต๊ะทำงาน เดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหากาแฟเข้มๆมาดื่มเพิ่ม พอเดินผ่านห้องโถงกว้างก็เจอขวัญข้าวที่ยืนเขย่งปลายเท้าเช็ดกระจกห้องนั่งเล่นอยู่ แผ่นหลังเล็กๆนั้นขยับขยันขันแข็งทั้งที่เขาเตือนแล้วว่าให้พัก เท้าจึงเปลี่ยนทิศทางมุ่งไปหาเธอแทนโดยอัตโนมัติเขาเดินย่องเข้าไปเงียบๆสวมกอดร่างเล็กจากด้านหลังจนเธอสะดุ้งสุดตัว กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมของเธอทำให้เขาเผลอสูดดมอย่างลืมตัว"บอกว่าให้พักงานไปก่อนไง" น้ำเสียงทุ้มนุ่มทอดต่ำลงข้างใบหูเล็กอย่างอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยที่ลูกน้องไม่เชื่อฟังคำสั่ง“อุ้ย! คุณกิต ปล่อยค่ะ"ขวัญข้าวรีบดึงแขนของเขาที่โผล่มากอดเธอจากด้านหลังออก ก่อนจะหันซ้ายหันขวาดูว่าม
กิตติอึ้งไปชั่วครู่ เขาประหลาดใจกับคำพูดของเธอ แต่แป๊บเดียวก็ยกยิ้มเอ็นดู เขาไม่คิดเลยว่าจะเผลอไปมีอะไรกับเด็กไร้เดียงสาขนาดนี้ได้ ที่ผ่านมาถ้าถูกใจผู้หญิงคนไหนเขาก็พาขึ้นเตียงก่อน พอเบื่อก็แยกย้ายแล้วให้เงินไป ไม่เคยผูกมัด ไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ “ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกันก็จริง แต่อีกหน่อยไม่แน่” "หมายความว่ายังไงคะ" "ฉันชอบเธอ" "คะ?" หญิงสาวอ้าปากค้าง คิดว่าตัวเองหูฝาดไป “งั้นมาคบกันดูไหม" "ไม่ค่ะ" เธอตอบทันควัน “อ้าว ทำไมล่ะ หรือเธอมีแฟนอยู่แล้ว" “ไม่มีค่ะ แต่หนูไม่เชื่อว่าคุณกิตจะชอบหนูได้ยังไงค่ะ เราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเอง คุณกิตแค่... แค่อยากจะนอนกับหนู” เธอพยายามหาเหตุผลมาหักล้างความรู้สึกที่เริ่มสั่นคลอนของตัวเอง"ชอบได้สิ ฉันชอบเธอตั้งแต่ที่เห็นครั้งแรกแล้ว" คำสารภาพตรงๆและสายตาจริงจังของเขา ทำให้ขวัญข้าวรู้สึกเขินไม่น้อย แต่ก็กลัวว่านี่จะเป็นแค่คำลวง จะเป็นเพียงของเล่นชั่วคราวของเขา “หนูขอเวลาคิดก่อนค่ะ" "งั้นระหว่างที่คิด เราเอากันได้ใช่ไหม" “มะ ไม่ได้ค่ะ!" “ขอแตกในอีกสักรอบนะ" ชายหนุ่มพูดได้ไม่อายปาก ก่อนจะโน้มใบหน้าลงหาหญิงสาว ขวัญข้าวผลักร่างส
บรรยากาศในครัวยามเช้าคึกคักไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารและการพูดคุยแผ่วเบาของบรรดาแม่บ้านขวัญข้าวก้าวเข้ามาในห้องครัวอย่างกระฉับกระเฉง พยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้เพื่อสลัดความรู้สึกกระวนกระวายที่ติดอยู่ในใจมาหลายวัน“มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะพี่แวว” ขวัญข้าวอาสาช่วยงานในครัวแต่เช้า แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในครัวที่กว้างขวาง กลิ่นหอมของน้ำซุปที่เริ่มเดือดลอยฟุ้งไปทั่ว “พี่กำลังจะทำสุกี้ทะเล พอดีเลยขวัญหั่นผักเป็นไหม" “เป็นค่ะ สบายมาก เดี๋ยวขวัญทำให้นะคะ" ขวัญข้าวหยิบผักที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวไปล้าง ก่อนจะนำมาหั่นบนเขียง การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของเธอแสดงให้เห็นถึงความคุ้นเคยกับงานในครัว“คุณกิตเขาทานเผ็ดไม่ได้ เมนูส่วนใหญ่เราก็ต้องทำรสชาติอ่อนๆนะ" พี่แววพูดขึ้นขณะเตรียมเครื่องทะเล ชื่อของคนที่ถูกพูดถึงทำให้ขวัญข้าวชะงักไปเล็กน้อย แม้จะพยายามไม่คิดถึงเขาแต่ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ก็มักจะโยงกลับมาหากิตติเสมอ เพียงแค่ได้ยินชื่อหัวใจก็รู้สึกเต้นผิดจังหวะ“ถ้าวันไหนเห็นเขาเข้าสวนแต่เช้า เราต้องเอาข้าวกลางวันไปส่งในสวนด้วย" "ค่ะ" ขวัญข้าวรับคำสั้นๆพยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา"อ้อ แล้วพวกอาหารก
“อุ๊บ”แรงกระชากนั้นรุนแรงและฉับพลันจนขวัญข้าวแทบจะหวีดร้องออกมาไม่ได้ เสียงร้องที่เกือบจะหลุดออกจากปากแต่ก็โดนมืออุดปากจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็วและหนักแน่นเสียก่อน หัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกลองศึกด้วยความตกใจปนหวาดหวั่น เธออยู่ในช่องแคบระหว่างซอกตึก ที่มีเพียงความสลัวเข้ามาแทนที่แสงอาทิตย์แสงอ่อนๆช่วงเย็นส่องลอดมาไม่ถึงตรงนี้ บรรยากาศเงียบสงัดทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น ทว่ากลิ่นครีมอาบน้ำอันคุ้นเคยก็ตีเข้าจมูกของเธออย่างจัง ชวนให้นึกถึงฉากร่วมรักที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าในห้องน้ำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภาพความเร่าร้อนเหล่านั้นย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัว จนใบหน้าเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าร้องนะ” เสียงกระซิบพร่าที่ข้างหูนั้นฟังดูเยือกเย็นแต่กลับจุดประกายความร้อนในตัวเธออย่างประหลาด พอเขาปล่อยมือออกจากปากขวัญข้าวจึงหันกลับไปมองอย่างช้าๆ เจ้านายหนุ่มยืนยิ้มส่งมาให้ ที่มุมปากนั้นมีร่องรอยของความร้ายกาจอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ชัดเจน “คุณกิตเล่นอะไรคะ” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย พยายามรักษาระยะห่างจากเขา แต่ซอกตึกแคบๆนี้ทำให้เธอไม่มีทางหนี "เล่น
ขวัญข้าวตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยง แสงแดดจ้าที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เธอต้องหยีตา ความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่างโดยเฉพาะกลางกายสาวทำให้เธอนิ่วหน้า พอเห็นห้องที่ดูไม่คุ้นตา กลิ่นโคโลญจน์จางๆที่ติดอยู่บนหมอน และความกว้างขวางที่แตกต่างจากห้องพักแม่บ้าน ร่างเล็กจึงดีดผึงขึ้นจากที่นอนทันที ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายเธออยู่เลื่อนหล่นลงไปกองที่เอว เผยให้เห็นรอยจ้ำแดงประปรายบนผิวขาว“ตื่นแล้วเหรอ”เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นข้างตัว เธอหันกลับไปมองข้างเตียงก็เห็นกิตตินอนเปลือยท่อนบนอยู่ แผงอกกำยำขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขานอนตะแคงใช้แขนเท้าศีรษะมองเธออยู่ก่อนแล้ว สมองของขวัญข้าวประมวลผลอย่างหนัก เธอจำได้ว่าเมื่อเช้าถูกเรียกให้ขึ้นมาหาเจ้านาย แล้วหลังจากนั้นก็โดนเขาจับกินในห้องน้ำ ภาพความรุนแรงและสัมผัสวาบหวามหวนกลับมาชัดเจน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้น"คุณกิต!" เธออุทานเสียงหลง รู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ“ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย" เขาพูดเสียงเรียบ ยืดตัวบิดขี้เกียจอย่างไม่ทุกข์ร้อนประกายวิบวับในดวงตาคมของเขาหลุบมองต่ำกว่าใบหน้าของขวัญข้าวเล็กน้อย หญิงสาวก้มลงมองตามก็เห็นว่าตัวเองโ







