ทิฟฟานี่วางโน๊ตบุ๊คของเธอลงบนโต๊ะก่อนจะบ่นอย่างฉุนเฉียว “แล้วจะให้ฉันนั่งตรงไหนล่ะ?”แจ็คสันตอบโดยไม่มองเธอ “ก็ไปหยิบเก้าอี้มาเองสิ คุณมาเป็น 'ผู้ช่วยผู้อำนวยการ' ด้วยสมองนั้นได้อย่างไรเนี่ย?”การโต้กลับของเขาทำให้ทิฟฟานี่รู้สึกถูกล้อเลียนมากพอจนเธอต้องหัวเราะเยาะและวางมือบนสะโพกของเธอ “คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้อยากจะเป็นผู้ช่วยสักหน่อย? ฉันมาที่นี่เพราะคิดว่าฉันจะได้เป็นหัวหน้าแผนก! แต่ยังไงก็เถอะ คุณก็รู้อยู่แล้วว่าฉันได้งานนี้เพราะเส้นสายของฉัน แล้วทำไมคุณยังต้องถามอีกล่ะไอน์สไตน์?”บางที อาจจะด้วยความกังวลเกี่ยวกับน้ำเสียงของทิฟฟานี่เล็กน้อย เอมี่จึงแทรกอย่างรวดเร็วโดยแสร้งทำเป็นไอ “เอ่อ คุณเลน? เธอควรไปเอาเก้าอี้แล้วย้ายมานั่งที่โต๊ะฉันก่อน”ทิฟฟานี่กระชากเก้าอี้ไปที่โต๊ะของเอมี่ก่อนจะนั่งลงและจ้องเขม็งไปที่แจ็คสัน “เก็บมือไว้กับตัวเองไม่ได้เลยหรือไง? อย่าแม้แต่คิดที่จะทำให้กระบองเพชรของฉันตายด้วยนิ้วที่เป็นพิษของคุณนะ!”แจ็คสันชักมือออกจากต้นที่เต็มไปด้วยหนามในทันทีและนั่งหลังตรงเพื่อให้ดูจริงจังมากขึ้น “โอ้ ผมจะไม่เสียเวลากังวลว่ามันจะตายหรอก มันเป็นสิ่งเล็กน้อยที่หดื้อรั้น เหม
แอเรียนซาบซึ้งมากแต่เธอยังคงไม่แสดงอาการใด ๆ “อืม ไม่เป็นไร คุณทำให้ฉันเหนื่อยได้มากกว่าที่สมอร์ที่ยังเป็นเด็กทารกจะสามารถทำได้อีก” เธอกล่าวเสียงสูง “กลับมาเร็ว ๆ นะ ถ้าทำได้”น่าเสียดายที่การเลือกคำของแอเรียนทำให้เกิดการตีความผิด สำหรับมาร์คความหมายของมันคือภรรยาของเขาไม่พอใจที่เขาละเลยเธอมาเป็นเวลาครึ่งเดือน ดังนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เขาจึงเอนตัวไปข้างหูของเธอและรดมันด้วยลมหายใจของเขา “อืม นั่นอาจเป็นสิ่งที่ฉันจะทำคืนนี้ เราจะให้สมอร์ไปนอนในห้องของเขาเพื่อที่หม่ามี๊และดาด๊าจะได้มีความเป็นส่วนตัวกันบ้าง เธอเตรียมตัวรอได้เลย”ใบหน้าของแอเรียนแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ "เดี๋ยวก่อน! ฉะ-ฉันไม่ได้จะสื่ออย่างนั้นซะหน่อย!”เขายิ้ม “โอ้ เธอจะสื่ออย่างนั้นแน่นอน อย่าทำมาเป็นซื่อเลยน่า”แอเรียนมองดูเขารีบเดินออกไปด้วยมุมริมฝีปากที่สั่นเล็กน้อยนี่อาจเป็นความรู้สึกของการมีครอบครัวที่ปกติและมีความสุขใช่ไหม? มีเพียงพวกเขาสามคนที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษโดยไม่เคยต้องกลัวว่าคนใดคนหนึ่งจะหายไปจากชีวิตของอีกคนอย่างกะทันหัน ปราศจากความกลัวที่จะถูกทอดทิ้งในทันใด มันคือทั้งหมดที่เธอเคยฝันถึงเมื่
เหตุผลเดียวที่อยู่เบื้องหลังความปรารถนาในการซ่อมแซมคฤหาสน์วินน์ของแอเรียนก็เพราะว่ามันเป็นบ้านที่พ่อของเธอเติบโตมา ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถยืนดูมันค่อย ๆ สลายกลายเป็นซากปรักหักพังเมื่อเวลาผ่านไปได้ ทว่าเธอก็ยังคงลังเลเช่นกันเพราะเธอกังวลว่าการที่เธอจะใช้เงินมากขนาดนั้นกับบ้านหลังนี้จะทำให้เธอดูเหมือนจะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ เงินของครอบครัวเทรมอนต์ไม่ได้งอกจากต้นไม้นี่นาแต่เธอก็ไม่ได้ต้องการที่จะขายมันเช่นกัน จากที่เฮนรี่อธิบายไว้ คฤหาสน์เก่าแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงสองสามร้อยล้าน แอเรียนไม่ได้ต้องการเงินจำนวนมากขนาดนั้นในชีวิตของเธอ แต่หากเธอจะต้องใช้เงินก้อนโตเท่านั้นในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาบ้านหลังนี้มันก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ตื้นคิดไปหน่อย ผู้ประกอบธุรกิจทุกคนจะรู้ทันทีว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่มีผลตอบแทนภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกยังคงอยู่ในใจของแอเรียนตลอดระหว่างทางกลับบ้าน ในท้ายที่สุด เธอก็ตัดสินใจที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับมาร์คเมื่อเขากลับมาจากที่ทำงานเพื่อดูว่าเขามีความคิดที่ดีกว่านี้หรือไม่ห่างจากพวกเขาหลายกิโลเมตร แจ็คสัน เวสต์กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยสายตาที่ผนึกอยู่กับกอง
ทิฟฟานี่ถึงกับอึ้ง “เดี๋ยวก่อนนะ แล้วคุณรู้ได้ยังไง?”เอมี่หันไปมองกระจกและจัดผมของตัวเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย "คุณเวสต์ตอบสนองเมื่อเธอกำลังจะตกจากเก้าอี้ด้วยปฏิกิริยาที่เหนือมนุษย์ ปฏิกิริยาตอบสนองที่คนเราจะสงวนไว้ให้เฉพาะคนที่มีความสำคัญในใจของเราเท่านั้น ไม่มีใครสามารถพร้อมที่จะช่วยเหลือหญิงสาวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วขนาดนั้นได้หรอก! นั่นรวมถึงขอเท็จจริงที่ว่าตอนนั้นเขาหันหลังให้เธออยู่! นอกจากนี้เธอยังเป็นคนเดียวในบริษัทที่กล้าตอบเขาด้วยวิธีแบบนั้นด้วย”ความเศร้าโศกที่ขมขื่นผุดขึ้นที่หน้าอกของทิฟฟานี่ “สิ่งที่เราเคยมีล้วนแต่เป็นอดีตไปแล้ว และขอบอกตามตรงว่าฉันไม่เคยต้องการที่จะมาที่นี่ผ่าน 'เส้นสาย' พระเจ้า มันน่าอายมาก แต่ช่างมันเถอะ ฉันคิดว่าฉันซ่อนอยู่ในนี้มานานพอแล้วแหละ ฉันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป มันค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน”เอมี่ตบไหล่ทิฟฟานี่ราวกับพี่สาวที่ให้กำลังใจน้องสาว “ล้วนแต่เป็นอดีตไปแล้วงั้นเหรอ? งั้นก็ปล่อยมัน ไม่ใช่เธอ ไว้ในอดีต ตอนนี้เธอเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการในสาขาย่อยของบริษัทที่เซาธ์ พาร์กและเขาเป็นหัวหน้าและเจ้านายของเธอ เธอเข้าใจฉันไหม?"ไม่ ทิฟฟาน
เอมี่และทิฟฟานี่มองหน้ากันและส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่กังวลมากจนไม่กล้าเดินเข้าไปในห้องทันทีหลังจากที่พนักงานของแผนกการเงินถูกตะโกนใส่จนจบแล้ว ทุกคนก็ออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ทั้งสองเข้าไปในห้องทำงานตัวเองด้วยความหวาดกลัว พวกเธอแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรก่อนที่จะเข้าไปและเพ่งเล็งความสนใจไปที่งานของพวกเธอโดยตั้งใจเมินแจ็คสันเพราะความกลัวอย่างชัดเจนทว่าโชคร้ายที่บางครั้งก็ไม่ต้องใช้อะไรเพื่อจุดชนวนของมันเลย ดังนั้น แม้ว่าเอมี่จะยังไม่ทันได้ทำอะไรผิด แจ็คสันก็เอาความโกรธที่เหลือทั้งหมดมาลงที่เธอ“ผมรู้สึกว่าคุณทำงานกับเรามาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอคุณเวลาซเคซ? หื้มมม? คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนที่เราจะขยายบริษัทของเรา สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทมาก่อน ปกครองโดยแม่ของผมก่อนที่เขาจะมอบหน้าที่ให้ผม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ที่นี่เป็นเหมือนสำนักงานใหญ่ที่สองของเรา! ดังนั้นบอกผมทีว่าทำไม 'สำนักงานใหญ่สาขาสอง' ของผมจึงมีปัญหาการเงินอย่างหนักในปีที่แล้ว? ฮะ? และตอนนี้ แค่ดูจากผลงานที่ถูกบันทึกไว้ในช่วงครึ่งปีที่แล้วผมก็เห็นได้แล้วว่าพวกคุณมีปัญหาที่หนักกว่าผลงานอันเลวร้ายของ
แจ็คสันกลับไปนั่งที่หลังโต๊ะและพึมพำ “อืม”เอมี่หายใจถี่จากความตกใจและเดินกลับไปที่ที่นั่งของเธออย่างรีบร้น ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ แจ็คสันก็ถามขึ้นว่า “แล้วคุณสองคนจะไปหาของว่างที่ไหนทานกัน? ผมนึกว่าในอาคารนี้มีอาหารขายไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่ได้ทานอาหารเย็นกันล่ะ?”ดูเหมือนว่าเขาจะพูดกับเอมี่ แต่เห็นได้ชัดว่าทิฟฟานี่คือประเด็นหลักของคำถามนั้นเอมี่ครุ่นคิดหาคำตอบของเธอเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ก็ช่วงนี้คุณเลนทำงานหนักมาก ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลาที่จะกินอะไร ส่วนของว่างที่ฉันพูดถึงก็คือถนนใกล้ ๆ ที่นี่ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลข้างทางที่เพิ่งเปิดทำการใหม่ ฉันได้ยินคำชมจากเพื่อนร่วมงานที่เคยไปที่นั่นมาแล้วและฉันก็อยากจะไปลองดูเหมือนกัน คุณสนใจที่จะไปด้วยกันไหมค คุณเวสต์?”ทิฟฟานี่สาบานได้เลยว่าสมองของเอมี่ต้องหยุดทำงานแล้วแน่ ๆ ถึงได้คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดี พวกเธอเฝ้ารอเวลาที่จะได้ออกจากสำนักงานและให้รางวัลตัวเองด้วยการรับประทานอาหารดี ๆ เพื่อผ่อนคลายมาทั้งวันแล้ว แต่แล้วเอมี่ก็กลับเชิญต้นตอของความเครียดของพวกเธอไปด้วยอีก แล้วทีนี้ใครจะสามารถผ่อนคลายได้ล่ะ? แล้วทำไมเอมี่ถึงสงบได้ขนาดนี้? เธอ
มาร์คผู้ยิ่งใหญ่กำลังชดใช้บาปของเขาอย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นครั้งแรกที่แอเรียนได้เห็นเขาแสดงความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวงต่อความผิดพลาดทั้งหมดในอดีตของเขา เธอรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้กอดเขาเธอจ้องไปที่แอริสโตเติลซึ่งยังคงมีพลังหล่นหลามและแนะนำว่า “บางที... เราอาจจะลองส่งแอริสโตเติลให้แมรี่ดูแลก่อนดีไหม? เขายังไม่ง่วง ดังนั้นเขาคงไม่โวยวายหรอก”มาร์คต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของแอเรียน โดยปกติแล้วเขาจะต้องเป็นคนที่คอยบังคับให้เธอยอมเอาก้างขวางคอตัวน้อยนั้นออกไป ทว่าวันนี้มันเป็นโอกาสที่หายากเมื่อเธอเป็นผู้ริเริ่มก่อน แน่นอนว่าเขาจะต้องมีความสุขมาก "เอาสิ เอาเขาไป ฉันจะไปรอในห้องนอน”แอเรียนหน้าแดงขณะที่เธออุ้มแอริสโตเติลออกไป เธอพบแมรี่และพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด เธอยังพยายามที่จะควบคุมการหายใจของเธออย่างยิ่งอีกด้วย “แมรี่ คุณช่วยดูแลสมอร์ก่อนได้ไหม? เดี๋ยวฉันค่อยพาเขาไปนอนด้วยทีหลัง”แมรี่รับแอริสโตเติลเข้าไปในอ้อมแขนของเธอด้วยความยินดี "ได้เลย ไม่ต้องห่วง มารับเขาทีหลังก็ได้ ตอนนี้เขายังไม่ง่วง งั้นฉันจะพาเขาไปเดินเล่นที่สวนสักหน่อยแล้วกันนะ เขาจะป่วยง่ายเกินไปถ้
"เกิดอะไรขึ้น?" แอเรียนถามมาร์คกำโทรศัพท์แน่นขึ้น “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเอริก ฉันรู้มาโดยตลอดเลยว่าปัญหาท้องไส้ของเขาจะจบลงด้วยหายนะ… ฉันต้องไปก่อนนะ”จิตใจของแอเรียนสั่นไหว เธอนึกถึงครั้งแรกที่เธอพบเอริกทันที เขามีนิสัยร่าเริง ยิ้มแย้มอยู่เสมอและเป็นกันเองมาก ๆ และเขาก็ยังดูแพรวพราวเมื่ออยู่กับมาร์คและแจ็คสันอีกด้วย แม้ว่าเขาจะตัดขาดความผูกพันกับครอบครัวและสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่เขาก็ยังเปล่งประกายราวกับดวงดาวและทำงานอย่างหนักเพื่อส่องแสงด้วยตัวเขาเอง...ดูจากสีหน้าของมาร์คแล้ว เอริกอาจจะ...“ฉันจะไปกับคุณ! เอริกไม่ใช่แค่เพื่อนของคุณนะ เขาเป็นเพื่อนของฉันด้วย” เธอยืนยันอย่างแน่วแน่คราวนี้มาร์คไม่ได้คัดค้าน เขาเพียงแต่ถามว่า "แล้วถ้าสมอร์ร้องล่ะ? ใครจะไปรู้ว่าเราจะได้กลับบ้านกี่โมง เราอาจจะต้องไปจนเช้า”แอเรียนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ “สำคัญด้วยเหรอว่าเราจะต้องออกไปนานแค่ไหน? เอริกตัดครอบครัวเขาไปนานแล้ว เราเป็นเพื่อนคนเดียวของเขา ถ้าสมอร์อยากจะร้องก็ปล่อยให้เขาร้องไปทั้งคืนเลย ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะกลับมาก่อนถ้าเขาร้องมากเกินไป ไปกันเถอะ เลิกลีลาได