แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้
“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”
“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”
ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจ
พี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไป
สองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...
ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นาน
ความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ์ ยิ่งเห็นฮูหยินตระกูลฉู่อธิษฐานนานกว่าทุกครั้งที่เคยมา แม่ชีหยูถงรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่สมควรแก่เวลาแล้ว...
ครั้นเมื่อนางอธิษฐานเสร็จ แม่ชีหยูถงที่ได้เฝ้ามองทุกกิริยาด้วยแววตาสงบเรียบเฉยแล้วกล่าวว่า
“ถึงเวลาแล้วหรือ” แม่ชีเอ่ยถามด้วยแววตาสงบนิ่ง
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงแผ่ว
“จะให้ส่งนางไปที่ใด”
“ที่ใดก็ได้...ขอเพียงให้นางปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาว” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม่ชีเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง “ฮูหยินคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“มันจำเป็นเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของนาง แต่หากเมื่อใดที่ฉู่มู่เฉินกับท่านอ๋องเริ่มลงมือ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้าเองก็มิอาจคาดเดาได้ และหากฮ่องเต้สืบทราบแน่ชัดว่ามู่เฉินยังมีบุตรสาวอีกคน หัวใจของข้าคงสลายสิ้นไปพร้อมกับลมหายใจ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ในใจรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนัก
“ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าจะไม่ไปกับนาง” แม่ชีพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่าย แต่ซินหยางกลับส่ายศีรษะ นางคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว
“ข้าแน่ใจแล้ว หากข้าติดตามไปด้วย เกรงว่าทั้งข้าและนางคงถูกพลิกแผ่นดินเพื่อตามล่า ขอแม่ชีทำตามความประสงค์ครั้งสุดท้ายของข้าด้วยเถิด ข้าขอขอบคุณแม่ชีที่ช่วยชุบเลี้ยงเสวียนหนี่มาเป็นอย่างดี เสียดายที่เสวียนหนี่กับข้ายังไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ”
แม่ชีหยูถงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “อย่าเป็นห่วงไปเลย ข้าขออวยพรให้ความปรารถนาของฮูหยินสัมฤทธิ์ผล ว่าแต่จะให้ส่งนางออกจากแคว้นเถียนเมื่อใด”
“วันรุ่งขึ้นเลยเจ้าค่ะ” นางตอบกลับ
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ซินหยางเดินกลับมาหาเสวียนหนี่และป๋อเหวิน นางหยุดมองสองพี่น้องสื่อสารกันแล้วนึกสงสารป๋อเหวินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลังผ่านคืนนี้ไปนางเองก็ไม่รู้ว่าทุกคนในจวนตระกูลฉู่จะมีชะตากรรมอย่างไร นางก็ได้แต่เก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้แล้วก้าวเดินต่อด้วยใจที่แน่วแน่
เมื่อคืนนี้อ๋องซีฮั่นมาหามู่เฉินที่จวน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางบังเอิญไปได้ยินเรื่องบางอย่าง ที่ไม่สมควรจะได้ยิน ใจความสำคัญของการหารือ เหมือนกับว่าท่านอ๋องได้ออกคำสั่งให้ฉู่มู่เฉิน จัดการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อทำการช่วงชิงบัลลังก์ เพราะจากเดิมที่คิดว่าอยากเป็นเพียงแค่มือชักใยที่อยู่เบื้องหลังก็พอใจแล้ว แต่ทว่าตอนนี้เขาเริ่มไม่อยากเป็นเพียงแค่คนคอยเชิดหุ่น จึงมีความคิดว่าหากทำการกบฏชนะ แล้วได้บัลลังก์มาครอบครอง ต่อให้มีผู้ใดคิดต่อต้านเพียงแค่จับตัวพวกมันออกมาเผาทั้งเป็นต่อหน้าปวงประชาอย่างโหดเหี้ยม พวกที่คิดต่อต้านจะได้รู้สึกหวาดกลัว และไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านอีก
ส่วนเหตุผลที่ต้องรีบโค่นล้มฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทิ้งทั้งที่อีกฝ่ายเพิ่งมีอายุได้ยี่สิบชันษา เป็นเพราะฮ่องเต้น้อยในวันนั้น บัดนี้กลับเติบโตขึ้นและเริ่มไม่ยอมทำตามคำสั่ง ซีฮันอ๋องจึงคิดว่าไม้อ่อนนั้นดัดง่าย ส่วนไม้แก่ไม่สมควรเอามาดัดให้เสียเวลา มิหนำซ้ำฮ่องเต้ยังแอบซ่องสุมกำลังของตนเองเอาไว้อย่างลับ ๆ พอท่านอ๋องทราบเรื่องนี้เข้าทำให้รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงคิดหาโอกาสเดินหมากก่อน ในขณะที่กองกำลังลับของฮ่องเต้ยังไม่แข็งแกร่งพอ
ที่จวนตระกูลฉู่
ย่างเข้าสู่วัยสิบแปดปี ซูหนี่เติบโตขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์สง่างาม แต่ทว่าวาจายอกย้อนของนางนั้น กลับทำให้สูญสิ้นความงดงามไปโดยปริยาย ถึงรูปลักษณ์ภายนอกนั้นจะงดงามประดุจนางเซียน แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนลดคุณค่าของตัวนางเอง บุตรีของมู่เฉินเติบโตมาแล้วหน้าตาไม่แตกต่างกันมานัก อีกทั้งอายุยังห่างกันเพียงหนึ่งปีจึงละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ผิดแผกกันไปคือด้านนิสัยใจคอ ซูหนี่เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง ทำให้เห็นว่านางถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร เติบโตมาเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา และมักจะชอบวางตัวสูงส่งกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ
“ไปอารามบนเขาต้าซานกับฮูหยินมาอีกแล้วสินะ” ทันทีที่ก้าวเข้าประตูจวนมา น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาฉู่ป๋อเหวินชะงักไปเล็กน้อย ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาว เขาจึงเดินเข้าไปคุยกับนาง หากแต่ฉู่ซูหนี่กลับคลี่พัดจีบในมือเชิดใบหน้ามองพี่ชายด้วยหางตาแล้วถามต่อเสียงแข็งกระด้าง
“ข้าถามว่าท่านพี่ขึ้นเขาต้าซานไปหาเสวียนหนี่ใช่หรือไม่”
“ใช่! ทำไมงั้นรึ” นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ! น้องสาวสุดที่รักของท่านพี่”
“เจ้าจะมาพูดจาถากถางข้าเพื่ออะไร ไม่ว่าเจ้าหรือนางก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้องสาวข้าทั้งคู่” ชายหนุ่มชักเริ่มหงุดหงิด ไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวของตนถึงได้จงเกลียดจงชังอีกฝ่ายนัก
“หลายปีมานี้ข้ารู้ว่าท่านพี่รู้สึกผิด แต่จะมาแสร้งเป็นคนดีเอาตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยหรือ” ซูหนี่เองก็รู้สึกไม่พอใจพี่ชายเช่นกัน
“ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ไม่รู้สึกผิดอะไร ตอนที่ยังเป็นเด็กข้าคิดว่าเจ้าแยกดีชั่วไม่ออกก็เลยไม่คิดกล่าวโทษเจ้าเลย แต่ยามนี้เจ้าได้เติบโตจนรู้ความกว่าเมื่อยามเยาว์วัย แต่ก็น่าแปลกนักที่ยังแยกดีชั่วไม่ออกอยู่อีก”
“ท่านพี่!”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้า” ป๋อเหวินคิดว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“หึ! หากคิดว่าข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เสวียนหนี่ต้องเป็นเช่นนั้นท่านพี่ก็จงโทษตัวเองให้มาก ถูกต้องที่ยามนั้นข้ายังเยาว์วัย แต่ท่านพี่เองก็แก่กว่าข้าถึงสองปีเหตุใดโง่เขลาหลงเชื่อคำพูดข้าเล่า ท่านควรมีสติคิดให้ได้มากกว่าข้ามิใช่หรือ”
“...”
ป๋อเหวินถึงกับพูดไม่ออก ยามนั้นเขาคือคนที่โตสุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามแต่กลับทำตัวเป็นที่พึ่งให้เสวียนหนี่ไม่ได้เลย เพราะความขี้ขลาดของเขาจึงทำให้ตัดสินใจพลาดไป หากย้อนเวลากลับไปในวันนั้นได้ ถ้าเขานำเรื่องไปบอกมู่เฉินเร็วกว่านั้นมู่เฉินก็อาจตามเจอตัวเสวียนหนี่ได้ทันท่วงทีก่อนที่นางจะถูกแมงมุมสือยี่เหยียนกัด
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ไปให้พ้นหน้าข้า”
“หึ ที่ไล่ข้าไปเพราะข้าคงพูดได้แทงใจดำท่านพี่มากละสิ”
ป๋อเหวินเดินจากไปแล้ว ซูหนี่มองตามหลังแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจที่ยั่วโมโหพี่ชายได้สำเร็จ ในบางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงไม่เกิดเป็นพี่น้องร่วมมารดากับเสวียนหนี่ให้รู้แล้วรู้รอดไป ในเมื่อท่านพี่กับเสวียนหนี่ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดี ครั้นพอย้อนคิดอีกทีท่านพี่อาจจะอาศัยครรภ์ของท่านแม่มาเกิด จึงนับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะหลังจากที่เขาเกิดมาท่านแม่ก็เลยได้รับความดีความชอบจากท่านพ่ออย่างเห็นได้ชัด และท่านแม่ก็ยังให้กำเนิดนางที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้อีกคนได้แต่งเข้าเป็นสะใภ้ของจวนอ๋อง ส่วนท่านฮูหยินใหญ่มีเพียงแค่เสวียนหนี่ บุตรสาวที่พูดไม่ได้แถมยังไร้ประโยชน์อีก
ในช่วงเย็นย่ำเสวียนหนี่เห็นแม่ชีลูกวัดกำลังขนข้าวของขึ้นเกวียน มีจำพวกอาหารแห้งและผ้า รวมไปถึงเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นเสวียนหนี่จึงหยุดมองด้วยความสงสัย ครั้นจะเดินเข้าไปถามให้แน่ชัดเสียงของแม่ชีหยูถงก็หยุดนางเอาไว้ก่อน
“คุณหนูฉู่”
เสวียนหนี่หันกลับมามองแม่ชีพลางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะทำท่าทางสื่อสารด้วยภาษามือ
‘ของพวกนี้จะขนขึ้นเกวียนไปช่วยผู้ประสบภัยหรือเจ้าคะ’
“ถูกต้อง ทางทิศตะวันออกเกิดน้ำป่าไหลหลาก ผู้คนขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า พรุ่งนี้ยามเฉินข้าจะให้คุณหนูฉู่นำของที่ชาวบ้านบริจาคมาไปช่วยผู้ประสบภัย”
‘จริงหรือเจ้าคะ ข้าดีใจมากเลยเจ้าค่ะ’
หญิงสาวแย้มยิ้มและพยักหน้ารับอย่างดีใจเพราะเป็นครั้งแรกที่นางจะได้รับอนุญาตให้ออกจากอารามได้ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นอุบายลวงเพื่อพานางหลบหนีภัยอันตรายไปมีชีวิตใหม่ในอีกสถานที่หนึ่ง แม่ชียิ้มตอบอย่างโล่งใจ ในเมื่อนางตกปากรับคำง่ายดายขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีก เสวียนหนี่แทบอดทนรอให้ถึงรุ่งเช้าไม่ไหว นางนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืนเนื่องจากตื่นเต้นดีใจมากเกินไปอยากรีบเอาของไปให้ผู้ประสบภัยอย่างที่แม่ชีหยูถงบอกไว้ ระหว่างใกล้รุ่งสาง เสวียน
หนี่ได้จินตนาการถึงทิวทัศน์ภายนอกไว้อย่างสวยงาม จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นนางจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์“คุณหนูฉู่! ตื่นหรือยังคุณหนูฉู่”
เสวียนหนี่ได้ยินเสียงเรียกของแม่ชีหยูถงจึงรีบมาเปิดประตูให้ เมื่อวานนี้นางได้ยินแม่ชีบอกว่าจะให้นางเอาของไปให้ผู้ประสบภัยยามเฉิน แต่ตอนนี้เพิ่งจะเข้ายามเหม่า ทำไมแม่ชีหยูถงถึงมาเคาะประตูปลุกในเวลานี้
“ไปเถิด ได้เวลาแล้ว”
‘ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ เมื่อวานนี้แม่ชีบอกว่าจะให้ข้าไปยามเฉิน’ นางทำมือเอ่ยถาม
“ไปตอนนี้เลย”
‘เช่นนั้นข้าขอไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน’
“ไม่ ไม่มีเวลาขนาดนั้น เร็วเข้า!” แม่ชีมีท่าทีร้อนรน
ผู้อาวุโสแห่งอารามต้าซานทำท่าทางรีบร้อนผิดปกติ เสวียนหนี่อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดแม่ชีถึงรีบร้อนนักแต่ก็ถูกจูงมือมาที่เกวียนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พอเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีแม่ชีก็รีบบอกให้นางขึ้นเกวียนไปโดยเร็ว จนกระทั่งเกวียนเคลื่อนออกจากอารามไปตามเส้นทางขรุขระที่เป็นเส้นทางสำหรับลงจากเขา ในตอนรุ่งสางพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นพสุธา ท้องฟ้ายามนี้เริ่มมีแสงสลัวพอจะมองเห็นเงาเลือนรางของทหารกลุ่มหนึ่ง โดยหนึ่งในทหารกลุ่มนั้นที่คาดว่าจะเป็นผู้นำชูดาบขึ้นเหนือศีรษะโห่ร้องปลุกใจพวกพ้องเสียงดัง จากนั้นทหารที่อยู่แถวหลังก็ตะโกนตามอย่างฮึกเหิม
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
ปราบกบฏซีฮันคืนบัลลังก์ให้ฮ่องเต้!
แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ
ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข
4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใ
นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ยอธิบายน้ำเสียงเรียบหลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ท
นางสิ้นใจแล้วหรือ?“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”“ยัง! ยังหรอก”“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการเด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ
ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อเหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิด