ส่งนางไปอาราม
เจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซิน
หยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซิน หยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”
“ตรวจดูดวงชะตา?”
“เจ้าค่ะ”
“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”
“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ
“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข้า ข้าไม่อนุญาตเด็ดขาด”
“แต่ข้าอนุญาต!”
ระหว่างที่ภรรยาทั้งสองกำลังโต้เถียงกันมู่เฉินได้เดินเข้ามา เขาตวาดซินหยางแล้วผายมือให้ซินแสเข้าไปใกล้ ๆ เตียงของบุตรสาว ซินหยางที่ไม่อาจเอ่ยคำโต้เถียงได้จึงจำใจต้องถอยให้อย่างไม่เต็มใจ ระหว่างที่ซินแสกำลังทำการตรวจดูโหงวเฮ้งและดวงชะตาให้เสวียนหนี่อยู่นั้น ซินหยางเริ่มใจคอไม่สู้ดี นางได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีเรื่องร้ายใด ๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งซินแสตรวจดวงชะตาเสร็จเขาได้แสดงสีหน้าอึกอักส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ คล้ายกับว่าเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว
“ว่าอย่างไรซินแสเจิ้ง ดวงชะตาของเสวียนหนี่ต่อจากนี้จะดีหรือไม่ดีรีบพูดมาเถิด”
“เฮ้อ! ท่านฉู่ ข้าได้ตรวจดูโหงวเฮ้งกับดวงชะตานางอย่างละเอียดแล้วไม่ค่อยดีนัก ดวงชะตาของนางเป็นดาวกาลกิณีแก่ตระกูล ที่นางไม่สามารถพูดได้นั้นเป็นผลมาจากเคราะห์กรรมของตัวนางเอง ข้า... ไม่ทราบว่าหากพูดอะไรมากไปกว่านี้ท่านฉู่จะเอาผิดข้าหรือไม่”
“พูดต่อเถิดซินแสเจิ้ง”
“ด้วยชะตาของนางที่เป็นดาวกาลกิณีอาจทำให้ตระกูลฉู่ของท่านได้รับเคราะห์หนักถึงขั้นสูญสิ้นวงศ์ตระกูล ทุกคนในบ้านอาจจะมีอันเป็นไปและสิ้นชีพอย่างอเนจอนาถ”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ! ล... แล้วข้าควรทำอย่างไรกับนางต่อไปดี” มู่เฉินมีสีหน้าเป็นกังวล
“วิธีแก้ก็มีอยู่ เพื่อป้องกันภัยวิบัติไม่ให้เกิดแก่ตระกูลฉู่ท่านต้องส่งนางออกไปอยู่อารามเพื่อชำระล้างความอัปมงคล”
“เหลวไหลสิ้นดี!” ซินหยางรีบพูดขัด นางไม่มีวันเห็นด้วยกับวิธีการนี้เด็ดขาด ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตนางก็จะขอขัดขวางไม่ยอมปล่อยบุตรสาวให้ไปตกระกำลำบากที่อารามบนเขาต้าซาน เด็กหญิงวัยเพียงแปดขวบจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรที่นั่นถึงแม้ว่าจะไม่ไกลกับจวนตระกูลฉู่มากแต่อาหารการกินและที่พักอาศัยยังไม่สะดวกพอ บุตรสาวของนางที่เคยใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่จวนตระกูลฉู่โดยมีมารดาคอยเป็นปราการป้องกันภัยจะไปอยู่ในที่แบบนั้นได้อย่างไรกัน
และที่สำคัญนางมีอายุเพียงแค่แปดขวบเท่านั้นเอง!
ซินหยางได้แต่ตำหนิสามีในใจเกี่ยวกับความไม่หนักแน่นของเขา บนโลกใบนี้ยังมีบิดาเช่นนี้อยู่อีกหรือ มู่เฉินหลงลาภยศห่วงแต่ส่วนได้ไม่ปรารถนาส่วนเสีย แม้กระทั่งลูกแท้ ๆ ที่เป็นสายเลือดตนเองหากไร้ซึ่งผลประโยชน์แล้ว เขาก็กล้าที่จะกระทำต่อนางเหมือนเป็นผักเป็นปลา
ถ้าหากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็ขอยอมตายดีกว่าแต่งให้คนผู้นี้ ต่อให้ต้องถูกบิดาและมารดาตัดขาดให้ตายอย่างไรนางก็จะไม่แต่ง ทว่ายามนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้วเพราะเวลาไม่อาจหวนคืนกลับมาได้ มิหนำซ้ำนางยังมีลูกน้อยที่ต้องปกป้อง ซินหยางเคยคิดอยากมอบหนังสือหย่าให้เขาแล้วพาบุตรสาวกลับบ้านเดิม แต่คิดดูดี ๆ ที่นั่นก็คงไม่ยินดีต้อนรับนางอีก สตรีที่แต่งงานออกเรือนแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป บ้านเดิมของนางจึงไม่อยากรับนางกับลูกเข้าไปเป็นภาระ
“ข้าไม่ยอมให้ลูกไปเด็ดขาด”
“แต่ข้าเห็นด้วยกับซินแสเจิ้ง อารามจะเป็นที่ชะล้างความอัปมงคลเผื่อว่าบางทีนางอาจจะกลับมาพูดได้เหมือนเดิม หากเป็นแบบนั้นก็นับเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ ที่เจ้าขัดขวางแท้ที่จริงแล้วเจ้าไม่อยากช่วยลูกให้กลับมาพูดได้น่ะสิฮูหยินใหญ่ เจ้านี่มันเป็นแม่ประสาอะไร”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ ข้าปรารถนาอยากเห็นนางเป็นปกติ ข้าเป็นห่วงนางจริง ๆ คนเป็นแม่ที่ไหนจะไม่ห่วงลูกตัวเอง”
“ถ้าเจ้าห่วงลูกก็จงปล่อยนางไปอยู่ที่อาราม เมื่อนางหายแล้วข้าถึงจะอนุญาตให้นางกลับเข้าจวนตระกูลฉู่”
“ล... แล้วเมื่อไหร่กัน หากนางไม่มีทางหายเป็นปกติเล่า คงไม่ต้องอยู่ในอารามไปตลอดชีวิตหรอกหรือเจ้าคะ”
“สุดแล้วแต่วาสนา อย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้ตระกูลฉู่ต้องถึงคราววิบัติเพราะนางเป็นอันเด็ดขาด ซินหยางข้าขอยื่นคำขาด! หากเจ้ายังกล้าพูดหรือขัดคำสั่งแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะสั่งโบยพวกเจ้าทั้งแม่ทั้งลูก”
การที่เขาเอาลูกมาข่มขู่สำหรับนางแล้วมักได้ผลดีเสมอ นางทรุดนั่งคุกเข่ากับพื้นมองคนเหล่านั้นจากไปโดยที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรบุตรสาวได้เลย
สองวันต่อมาหลังจากนั้น มู่เฉินรู้สึกเบิกบานใจยิ่งกว่าเดิม เขานำข่าวดีมาบอกเจียวเหมยว่าซีฮันอ๋องยินยอมเปลี่ยนตัวว่าที่สะใภ้แล้ว ทุกคนในจวนต่างมีความสุขชื่นมื่น มีเพียงฮูหยินกับลูกเท่านั้นที่ต้องทุกข์ตรม
เสวียนหนี่ถูกส่งตัวไปอารามบนเขาต้าซาน ในวันนั้นมีเพียงซินหยางที่ไปส่งบุตรสาวด้วยตัวเอง ตลอดเวลาที่เด็กหญิงอยู่ในอารามผู้เป็นบิดาไม่เคยมาเยี่ยมนางเลยสักครั้ง จะมีก็แต่ท่านแม่และท่านพี่ป๋อเหวินที่ติดตามมาบ้างเป็นครั้งคราว
จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติ ซินหยางเหมือนจะทำใจได้บ้างแล้ว หลังหลุดพ้นจากความกังวลใจหลายอย่าง ในทางกลับกันนางรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด บุตรสาวของตนไม่จำเป็นต้องหมั้นหมายกับบุตรชายของซีฮันอ๋อง ถ้าหากเป็นไปตามประสงค์ของผู้เป็นสามี เสวียนหนี่เองก็คงจะกลายเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในกระดาน เพื่อให้เขาก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จ
ไม่นานหลังจากนั้นดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมเลือนเรื่องราวของท่านประมุขน้อยหุบเขาอูยา ไม่เว้นแม้แต่เสวียนหนี่ที่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงนางอีกเลย ราวกับว่านางเปรียบเสมือนบุคคลที่ตายไปจากใจของผู้คนแล้ว แม้แต่มู่เฉินยังเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองยังมีบุตรสาวอีกคนที่ถูกเขาส่งตัวไปอยู่อารามบนเขาต้าซาน
แปดปีต่อมา
“เจ้ากินเยอะ ๆ นะ เสวียนหนี่”
ป๋อเหวินซึ่งติดตามฮูหยินใหญ่มาเยี่ยมเยือนน้องสาวที่อารามบนเขาต้าซาน เขาได้นำขนมที่นางชอบทานขึ้นมาฝากบนเขาด้วย ย้อนไปถึงวันนั้นเขายังคงรู้สึกผิดต่อนางยิ่งนัก
จากวันนั้นจนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแปดปีแล้ว เสวียนหนี่น้อยได้เติบโตเป็นหญิงสาวอายุย่างสิบเจ็ดปีแล้ว ใบหน้างดงามหมดจด รูปร่างงามสง่าผิวพรรณผ่องใสประหนึ่งไข่มุก ริมฝีปากแดงระเรื่อโดยธรรมชาติ เรือนผมดำขลับตรงยาวดั่งแพรไหม แม้นางจะพูดไม่ได้แต่นางก็ได้แม่ชีที่อารามคอยสั่งสอนให้นางรู้จักตัวหนังสือ บางครั้งเสวียนหนี่จะใช้วิธีการสื่อสารโดยใช้ภาษามือให้ผู้อื่นเข้าใจ แต่หากเป็นคนที่นางไว้ใจและสนิทมากเป็นพิเศษนางก็จะเขียนตัวอักษรใส่ฝ่ามือให้อ่าน
นางแย้มยิ้มให้พี่ชายแล้วอ้าปากงับขนมผักกาดไปเต็มคำ ป๋อเหวินเห็นน้องสาวร่าเริงดีเขาเองก็ยิ้มตาม ทว่าเมื่อนางดึงมือเขามาวาดตัวอักษรลงกลางฝ่ามือป๋อเหวินก็มีสีหน้าหดหู่ขึ้นมาทันที
‘อร่อยมากเลยเจ้าค่ะท่านพี่’
‘ข้าคิดถึงท่านพี่กับท่านแม่ที่สุดเลย’
เสวียนหนี่เขียนตัวอักษรบรรยายถึงรสชาติของขนมผักกาดลงฝ่ามือเขาและอ้อนเป็นประโยคคิดถึง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาวันนี้นางอาจจะได้ใช้การพูดสื่อสารกับเขาแทนการเขียน เสวียนหนี่ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจหยกขาวไม่ได้คิดกล่าวโทษอันใดเขาเลยแม้แต่น้อย นอกจากไม่กล่าวโทษแล้วนางยังปลอบประโลมยามที่เขาโทษว่าเป็นความผิดตนเองด้วยซ้ำไป หากยามนั้นเขามีสติและคิดผลเสียที่จะตามมา ไม่เอาแต่ขี้ขลาดตาขาวเขาก็คงไม่หลงเชื่อคำซูหนี่ง่าย ๆ
“หากอร่อยก็กินให้เยอะ ๆ หน่อย พี่เอาขนมขึ้นเขามามากมายเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ มีขนมกุ้ยฮวา เซาปิ่ง ขนมเปี๊ยะ และนี่ขนมทังหยวน” เขาบอกนางพลางดันกล่องขนมที่ทำจากไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมเข้าไปใกล้ ๆ แต่ซินหยางกลับดันกล่องไปไว้ที่เดิมแล้วทำหน้าดุป๋อเหวินทีเล่นทีจริง
“ให้นางค่อย ๆ กินเถิดป๋อเหวิน ดูสิ! นางกินจนเต็มกระพุ้งแก้มแล้วเดี๋ยวก็สำลักกันพอดี”
“ข้าเห็นนางกินเก่งแบบนี้ก็ดีใจมากไปหน่อยขอรับ”
“จงอย่าลืมไปว่าร่างกายนางไม่ค่อยแข็งแรง หากนางกินมากไปก็อาจไม่สบายเอาได้ เห็นใจแม่ชีที่ต้องเหนื่อยเฝ้าดูอาการนาง”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ซินหยางมักจะมาเยี่ยมเยือนเสวียนหนี่แล้วนอนค้างที่อารามเป็นบางครั้ง แต่หน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในจวน ทำให้นางไม่สามารถเจียดเวลามาได้ทุกวัน นางได้รับอนุญาตให้มานอนค้างที่อารามได้เพียงแค่สามวันต่อเดือนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นมู่เฉินยังคงแสดงอาการท่าทางเหมือนไม่พอใจ สาเหตุเพราะเจียวเหมยที่ชอบเอาเรื่องมาบ่นให้เขาฟังอยู่ตลอดว่าตนเองต้องทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในจวนแทนฮูหยินใหญ่ จนทำให้นางนั้นรู้สึกเหนื่อยเกินไปจึงไม่มีเวลาได้อบรมสั่งสอนซูหนี่เกี่ยวกับการวางตัวให้เหมาะสมเพื่อเตรียมตัวเป็นสะใภ้ที่ดี
หากซินหยางขอไปนอนค้างที่อารามบ่อย ๆ นางก็ต้องรับภาระแทนทั้งหมด เพราะทุกอย่างที่ฮูหยินทำล้วนมีแต่เรื่องน่าเบื่อหน่ายทั้งสิ้น
แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ
ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข
4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใ
นับจากนี้ข้าคือเจ้าของชีวิตนาง“ใช่ ใช่แล้วนางคือลูกข้า เสวียนหนี่! เสวียนหนี่!”มู่เฉินกระโดดลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาบุตรสาวที่นอนนิ่งยังไม่ได้สติ เขาเขย่าตัวนางเบา ๆ เพื่อปลุกนางตื่นจากการหลับใหลแต่ยังไม่มีวี่แววว่านางจะลืมตาขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกท่านทำอะไรนาง!”“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรนางทั้งนั้น เพียงแต่ที่นางยังไม่ได้สติเพราะถูกพิษแมงมุม” โม่โฉวอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากเกรงว่าหากเข้าใจผิดจะเกิดมาซึ่งหายนะได้“อย่าบอกนะว่าเป็นแมงมุมพิษสือยี่เหยียน!” หงมู่เฉินอุทานออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือลูกสาวขึ้นมามองดูปลายเล็บว่าเป็นสีดำหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เห็นมีรอยดำแต่อย่างใด เห็นเพียงรอยแดงที่ปลายนิ้วชี้ข้างหนึ่ง“นางถูกพิษแมงมุมสือยี่เหยียนอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่อาจารย์ของข้าได้รักษาจนอาการของนางทุเลาลงแล้ว” หลีเหว่ยอธิบายน้ำเสียงเรียบหลังจากมู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง เช่นนั้นเมื่อกลับถึงจวนเขาจะได้ตามหมอมาดูอาการของนางต่อ“ค่อยยังชั่วที่เจอคนดีอย่างพวกท่าน มิเช่นนั้นลูกสาวข้าอาจสิ้นใจตายในป่า หรือไม่อย่างนั้นข้าก็อาจเจอตัวนางช้าไปจนสิ้นหนทางรักษา ขอบคุณ... เอ่อ... ไม่ท
นางสิ้นใจแล้วหรือ?“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”“ยัง! ยังหรอก”“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการเด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ
ทาบทามนางไปเป็นสะใภ้เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อเหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิด