จดหมายจากทางไกล (จบ)
“ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”
สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มาก เสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่ง จึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า
…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้ว ระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถา พืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจ ข้าซื้อกิ
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ