หนึ่งเดือนต่อมาที่ร้านไหมทอง
“ถ้าท่านยังทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ข้าจะขอย้ายไปอยู่ตำหนักอื่น” อวี่กงบ่นกับรัชทายาทผู้เอาแต่ใจ เพราะเดือนนี้พระองค์แอบหนีออกจากวังหลวงเป็นครั้งที่สามแล้ว
“จะไปอยู่ตำหนักไหน ข้าจะได้แจ้งให้น้าของเจ้ารู้” รัชทายาทถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน เอ่ยถึงหัวหน้าขันทีที่เป็นน้าชายแท้ ๆ ของสหายรัก
“องค์ชาย!” อวี่กงชักสีหน้าไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่อนาทร
“เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้ว”
อวี่กงไม่พูดต่อเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายบอกใบ้ว่ามีคนอื่นใกล้เข้ามา เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์
“กินสิอวี่กง” องค์รัชทายาทบอกคนสนิทขณะหยิบตะเกียบขึ้นมารอท่า
“ขอรับ” ขันทีหนุ่มหยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารสี่จานบนโต๊ะชิมก่อนอย่างละคำ และผัดผักบุ้งจานสุดท้ายก็ทำให้เขาต้องนิ่วหน้า
“ทำไมเหรอ” รัชทายาทสงสัยอาการของอีกฝ่าย
“ท่านต้องชิมเอง” กล่าวจบอวี่กงก็คีบผัดผักบุ้งใส่ในถ้วยของอีกฝ่าย
“ข้าอายุยี่สิบแปดแล้วอวี่กง เลิกยุ่งกับข้าแล้วจัดการท้องตัวเองให้อิ่มเถอะ” บุรุษที่ถูกดูแลเอาใจใส่เยี่ยงเด็กพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อม” ตอบกลับไปเสียงเบา หน้าตามีแง่งอน
“หน้าที่ของเจ้าแค่ชิมอาหารให้ข้าเท่านั้น” พูดจบก็คีบผัดผักบุ้งของโปรดใส่ปาก แล้วคิ้วเข้มพาดเฉียงของเขาก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน “เสี่ยวเอ้อร์! ไปตามคนผัดผักบุ้งมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงวางอำนาจกับหน้าตาที่ขมวดมุ่นเหมือนไม่พอใจของเขา ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังเก็บโต๊ะอื่นอยู่รีบลนลานลงไปรายงานต่อหลงจู๊
ห้องครัว
“เสี่ยวหมาน!”
เสียงที่ตะโกนเรียกมาแต่ไกลทำให้พ่อครัวจอมอู้ที่กำลังนั่งสบายอารมณ์รีบเด้งตัวลุกขึ้น
“ขอรับหลงจู๊” ผลักหญิงสาวที่ถือตะหลิวทำหน้าที่แทนตัวเองจนเซไปกระแทกโต๊ะเตรียมอาหารทางด้านหลัง
หลงจู๊เดินหน้าตึงเข้ามาในครัว “ใครเป็นคนทำผัดผักบุ้ง”
“ทำไมหรือขอรับ”
“ข้าถามก็แค่ตอบมา”
เสี่ยวหมานกลืนน้ำลายลงคอ ไม่กล้าบอกความจริงว่าตัวเองโยนงานให้ซูวี่ทำแทน
“ข้าทำเองขอรับ” เขาจำใจต้องโกหกเพราะไม่อยากถูกหมายหัวจากหลงจู๊ผู้เคร่งครัด
“เจ้าเป็นถึงพ่อครัวแต่กลับทำอาหารง่าย ๆ แบบนี้เหรอ”
“ถ้ารายการอาหารมันเยอะมาก ข้าก็ต้องแบ่งเบาภาระของอาเกอกับอาเล้งขอรับ แต่บางครั้งข้าก็อยากให้พวกเขาได้ทำอาหารอื่นดูบ้าง” เขาแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ แต่ฟังดูมีเหตุผล
“แบบนี้นี่เอง แต่วันนี้เป็นฝีมือของเจ้าเอง”
“ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ผัดมาให้ข้าอีกจาน”
“ตอนนี้เลยเหรอขอรับ”
“ใช่ ข้าจะรอเอาไปเลย” ขณะรออาหารเขาก็มองหญิงสาวที่ใบหน้าค่อนข้างมัน ผมค่อนข้างฟู “ซูวี่”
“เจ้าค่ะหลงจู๊”
“เจ้าแต่งตัวทะมัดทะแมงนัก ข้านึกว่าบุรุษรูปงามที่ไหนเสียอีก”
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง “แต่งแบบนี้ทำให้คล่องตัวกว่าชุดแบบกระโปรง ต่อไปนี้ข้าจะแต่งแบบนี้ทุกวันเจ้าค่ะ”
“แล้วลี่ชุนล่ะ วันนี้ข้ายังไม่เห็นหน้านางเลย”
“นางไม่ค่อยสบาย ข้าก็เลยให้นางนอนพักอยู่ที่บ้าน”
“อ้อ”
“เสร็จแล้วขอรับหลงจู๊”
เขาหันไปรับเอาจานผัดผักบุ้งจากเสี่ยวหมานแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
เสี่ยวหมานรอจนหลงจู๊เดินพ้นครัว จึงเดินไปหาหญิงสาวที่กำลังเตรียมของอยู่ทางด้านหลัง
“ซูวี่!”
“อะไร”
เขาดึงแขนเสื้อให้นางเข้ามาใกล้ ๆ “ถ้าเจ้าเอาเรื่องที่ข้าใช้ให้เจ้าทำอาหารไปบอกหลงจู๊ ข้าเตะเจ้าออกไปจากห้องครัวของข้าแน่” เขาขู่อีกฝ่ายแล้วสะบัดมือออกอย่างไม่แยแส
“ประสาท” สุวิมลด่าอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นภาษาไทย
“เจ้าว่าอะไรข้า”
“เปล่า” หญิงสาวยักไหล่
“เจ้าว่าข้า ข้ามั่นใจ” เสี่ยวหมานไม่ยอมเชื่อ
“ก็บอกว่าเปล่า ๆ ๆ”
“โกหก!”
“ถ้าอย่างนั้นได้ยินข้าว่าอะไรเจ้าล่ะ” เธอย้อนถาม แปลกใจกับตัวเองที่สามารถพูดคุยภาษาจีนได้แตกฉานไม่ต่างกับภาษาไทย
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”
“เออ” พอลี่ชุนไม่มาหน่อยล่ะเอาใหญ่เลยนะไอ้หมาบ้าเอ๊ย นางด่าในใจเพราะไม่อยากมีปัญหากับเขา
ที่ชั้นบนของร้าน
“เป็นอย่างไรขอรับท่านชาย ไม่ถูกปากเหมือนจานแรกหรือขอรับ” หลงจู๊ถามเมื่อเห็นเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้ววางตะเกียบลงหลังจากที่ชิมผัดผักบุ้งจานใหม่ไปแค่คำเดียว
“ถ้าเทียบกับจานแรกแล้วไม่อร่อยเอาเสียเลย เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นฝีมือของคนเดิม” ท่านชายจำแลงถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ เพราะจานนี้รสชาติมันเหมือนทุกครั้งที่เคยกิน ต่างกับจานแรกของวันนี้ที่รสชาติกลมกล่อมกว่า ผักบุ้งที่ผัดแล้วยังคงความกรอบเหมือนผักสด แม้แต่ห้องครัวในวังหลวงยังทำได้ไม่อร่อยเท่า
“แน่สิขอรับ”
“โกหก ลิ้นของข้ามีค่าดั่งทองคำ ถ้าคนเดียวกันทำรสชาติจะไม่โดดกันขนาดนี้หรอก”
เจอคำพูดประโยคที่ว่าลิ้นมีค่าดั่งทองคำเข้าไปหลงจู๊ก็ไม่กล้ายืนยันคำพูดของตัวเองอีกเลย ได้แต่อึกอักพูดไม่ออก
อวี่กงคลี่ยิ้มละมุนเมื่อเห็นอาการลังเลของหลงจู๊ เขาไม่ใช่นักกินตัวยง แต่เพราะติดสอยห้อยตามเจ้านายพระองค์นี้ไปทุกแห่งหน และเคยมากินที่ร้านนี้ถึงห้าครั้งในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกครั้งจะมีผัดผักบุ้งยืนพื้นเพราะเป็นจานโปรดของพระองค์ จึงทำให้เขาคุ้นเคยกับรสชาติไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ และวันนี้ผัดผักบุ้งจานแรกที่ถูกนำมาบริการรสชาติมันแตกต่างจนเขายังรู้สึกได้ตั้งแต่เส้นแรกที่ชิม
“ท่านชายของข้าชอบกินอาหารรสเลิศ ไม่ว่าจะเป็นอาหารของชนชาติไหนก็ล้วนเคยกินมาแล้วทั้งนั้น ถ้าอาหารชนิดไหนกินแล้วถูกปากก็อยากกินซ้ำ และจะจำรสชาติได้อย่างแม่นยำ ท่านอย่าโกหกท่านชายของข้าเลยหลงจู๊”
“ข้าไม่ได้โกหก ข้าไปถามหัวหน้าพ่อครัวมาด้วยตนเอง และเขาก็ยืนยันหนักแน่นว่าวันนี้เขาเป็นคนทำ และจานนี้ที่ข้ายกมาข้าก็เห็นกับตาว่าเขาทำ”
“จานนี้กับจานนี้คนทำไม่ใช่คนเดียวกันแน่ เจ้าจงรีบไปหาคำตอบมาให้ข้าว่าเป็นฝีมือของใคร และให้เขาทำมาใหม่อีกหนึ่งจานเพื่อยืนยัน”
“ท่านชายขอรับ”
“หลงจู๊ ได้โปรดทำตามที่ท่านชายของข้าต้องการเถอะ เชื่อในสิ่งที่ข้าพูดแล้วจะเป็นผลดีต่อท่านเองนะ” ขันทีหนุ่มอ่านจากแววตาของอีกฝ่ายออกว่าเขาคิดจะพูดอะไร จึงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ณ ด้านหนึ่งของคฤหาสน์ชิวเทียนในยามวิกาล“ข้าไม่เข้าใจองค์รัชทายาทเลย ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น”“มันเป็นความต้องการของพระองค์ เราก็แค่ทำตาม”“แต่มันไม่ถูกต้องนะจี้เฟิง”“แล้วมันผิดตรงไหนล่ะอวี่กง” องครักษ์มาดเข้มถามเพื่อนที่โตมาด้วยกัน“เจ้าเข้าข้างองค์รัชทายาทเกินไปแล้วนะจี้เฟิง” ขันทีหนุ่มแสดงความหงุดหงิด“หรือจะให้ข้าเข้าข้างเจ้าล่ะ ข้าไม่โง่หรอกนะ” จี้เฟิงโต้เสียงเรียบ มุมปากแสยะยิ้มพร้อมกับสายตายียวนแบบที่คนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสได้เห็น“ใช่สิ ข้ามันไม่สำคัญพอเท่าองค์รัชทายาทหรอก”“หึ” องครักษ์มาดเข้มอมยิ้มละมุน “ความสำคัญต้องไล่ตามลำดับสิ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างเจ้ากับแม่นางผู้นั้น.. ข้าก็คงเลือกนางก่อนเจ้าอยู่ดี”อาการอมยิ้มพิมพ์ใจขององครักษ์หนุ่มทำให้ขันทีหน้ามนไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่“เจ้าเป็นเพื่อนข้านะจี้เฟิง เห็นนางสำคัญกว่าข้าได้อย่างไร”“เพราะเป็นเพื่อนไงถึงได้รู้ว่าเพื่อนข้าพอมีวิ
สามวันต่อมาร้านอาหารไหมทอง“คารวะท่านชาย” หลงจู๊กล่าวต้อนรับลูกค้าคนสำคัญอย่างนอบน้อม “วันนี้มาคนเดียวเหรอขอรับ”“อือ วันนี้ดูวุ่นวายนะ” ต้าเสินชวนหลงจู๊สนทนาขณะกวาดสายตามองลูกค้าที่ค่อนข้างแน่นร้าน“ขอรับ ช่วงนี้จะมีเรือขนส่งสินค้าจากต่างแดนมาเทียบท่าค่อนข้างเยอะ ร้านของเราก็เลยคึกคักเป็นพิเศษ”“กิจการดีแบบนี้น่าชื่นใจแทนเจ้าของนะ”“ขอรับ” หลงจู๊รับคำพร้อมรอยยิ้มที่มีเพียงเขาที่เข้าใจ “วันนี้ท่านชายต้องการนั่งที่ไหนดีขอรับ ชั้นล่างหรือชั้นบน”“ที่นั่งเดิมยังว่างหรือไม่”“ต้องขออภัยขอรับ วันนี้ลูกค้าของเราเยอะมาก ที่นั่งก็เหลือน้อยเต็มที”“ถ้าอย่างนั้นข้านั่งข้างล่างก็ได้”“เชิญท่านชายทางนี้ขอรับ” หลงจู๊ผายมือเชื้อเชิญและเดินนำเขาไปด้วยตนเองจนกระทั่งถึงโต๊ะนั่งในมุมที่ค่อนข้างสงบ “อีกสักครู่ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์มารับรายการอาหารนะขอรับ”“เจ้ารับไปเลยก็ได้ ข้าต้
เสียงแหบพร่าของคนป่วยขัดการสนทนา เขามองหญิงสาวที่รีบเข้าไปดูแลคนป่วยมาอยู่ได้แค่สามเดือนยังพูดภาษาท้องถิ่นเก่ง เขียนอักษรได้งดงามมีเอกลักษณ์ ทำอาหารก็อร่อย แล้วยังปรนนิบัติพัดวีคนป่วยได้อย่างดีเยี่ยมอีก สตรีจากดินแดนแห่งนี้ช่างน่าพิสมัยนัก“ท่านชาย ได้โปรดออกไปก่อนนะเจ้าคะ นางตัวร้อนมาก ข้าต้องเช็ดตัวให้นาง”เขาได้สติจากเสียงของนาง รีบพยักหน้ารับอย่างเก้อเขินเพราะมัวแต่มองนางเพลินจนทำตัวเสียมารยาท“อาลั่ว”“พ่ะย่ะค่ะ” อาลั่วขานรับเสียงเบาอย่างหวาด ๆ“บอกเพื่อนของเจ้าปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท เข้าใจไหม”“องค์รัชทายาท” อาลั่วชักสีหน้าเป็นกังวล“อยากถูกตัดคอเหรอ”“ไม่ขอรับท่านชาย”ยิ้มอย่างพอใจเมื่อคำขู่ใช้ได้ผล “ดีมาก จำไว้ว่าข้าคือต้าเสิน” แล้วมองไปตามถนน “ทำไมอาสวงถึงช้านักนะ”ร้านอาหารไหมทอง“หลงจู๊”“ว่าอย่างไร”“วันนี้ซูวี่ไม่มาทำงานขอรับ”“เมื่อคืนลี่ชุนเพ้อเพราะพิษไข้ต้องดูแลกันทั้งคืน วันนี้จึงขอลาหยุดเพื่อดูแลนาง” หลงจู๊บอกกับหัวหน้าคนครัวที่ดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะมาหาเรื่องหญิงสาวมากกว่ามารายงาน และเขาก็รู้ว่าจุดอ่อนของผู้นี้คือลี่ชุน “ข้าเลยอนุญาตให้นางหยุดงานดูแลลี่ชุนสามวัน ช
คนที่ถูกเรียกว่าอาสวงคล้อยตามความเห็นของเพื่อน เขามองหน้าหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ รู้สึกเห็นใจนางมากเพราะเขาก็เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้“ข้าอยากไปพบหมอด้วยตัวเองจะได้บอกอาการป่วยของนางได้ถูกต้อง ข้าไม่รบกวนพวกท่านก็ได้”“ข้าบอกแล้วไงว่ามันอันตราย” เขาไม่อยากจะบอกกับนางว่าตอนนี้กำลังสืบจับไส้ศึกของวังหลวงกันอยู่ และถ้าปล่อยให้นางทำแบบนั้น นางอาจจะถูกเข้าใจผิดก็ได้ “เอาอย่างนี้นะ เจ้าเขียนอาการป่วยของนางลงในกระดาษแผ่นนี้ให้หมด ข้าสัญญาว่าจะหายาที่ตรงกับอาการป่วยไปมาให้เจ้าให้เร็วที่สุด” อาสวงแนะนำพร้อมกับจิ้มคบไฟที่ถือมากับพื้นเพื่อเอาถ่านของมันมาให้นางเขียน“แต่”“เชื่อข้านะแม่นาง ข้าพูดเพื่อความปลอดภัยของเจ้าและเห็นใจเจ้าจริง ๆ เพราะเราหัวอกเดียวกัน ข้าก็เคยมีน้องสาวที่ป่วยหนักกลางดึกแบบนี้ ข้าเข้าใจในความรู้สึกเจ้าดี”“ก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวจำยอมทำตามที่เขาแนะนำเมื่อเห็นสายตาที่จริงใจของเขา นางไม่มีความมั่นใจในการเขียนตัวหนังสือสักนิด แต่ก็เคยทดสอบมาแล้วว่าสามารถเขียนได้อย่างน่าอัศจรรย์พอ ๆ กับการพูด จึงเขียนอาการอย่างละเอียดลงบนชายเสื้อที่เขาฉีกมาให้.. “นี่เจ้าค่ะ”อาสวงรับเศษผ
หนึ่งเค่อต่อมาสุวิมลหรือซูวี่ในยุคนี้กลับมาถึงบ้านพักที่ทางร้านจัดหาเอาไว้ให้คนงานได้พักอาศัย “วันนี้เจ้ากลับดึกนะซูวี่”“อือ ข้าไปหาซื้อยาให้ลี่ชุนแต่ร้านยาปิด ก็เลยซื้อโจ๊กมาให้นางแทน” เธอตอบเพื่อนร่วมงานที่พักอยู่ห้องติดกัน“ตัวนางร้อนมาก ข้าเพิ่งไปช่วยเช็ดตัวให้นางมา”“ขอบใจนะ” ซูวี่กล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจแล้วเดินเข้าห้องพัก “ข้ากลับมาแล้วลี่ชุน”“กลับมาแล้ว.. ปากเจ้าไปโดนอะไรมาซูวี่!” ลี่ชุนพยายามประคองตัวเองจากที่นอน“ไม่ต้องลุก นอนพักไป” ซูวี่รีบวางของแล้วประคองให้หญิงสาวนอนลง“หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา”“ข้าแค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อย” นางตอบแล้วแตะมือกับหน้าผากของลี่ชุนด้วยความเป็นห่วง “ตัวเจ้าร้อนมากเลย มีอาการอื่นด้วยไหม” หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวคลี่ยิ้มเนือย ๆ นางรู้สึกเวียนหัว เริ่มปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งร้อนบางครั้งหนาวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องวิตกกังวล“ข้าไม่เป็นไร”“แน่ใจนะ”ลี่ชุนจับมือของสตรีที่นางเคยให้ความช่วยเหลือเอาไว้เพียงเล็กน้อย แต่นางกลับตอบแทนบุญคุณมาให้จนรู้สึกว่ามันมากเกินไป “ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก ข้ารู้จักร่างกายของข้าดีกว่าเจ้านะพี่สาว”“
สุวิมลยืนกุมมือทำตัวสงบเสงี่ยมต่อแขกคนสำคัญของร้านตามที่หลงจู๊กระซิบบอก นางพอจะเดาได้ว่าทำไมถึงถูกเรียกตัวออกมาจากครัว ก็คงไม่ต่างจากยุคของเธอ คืออาหารรสชาติห่วยแตก แขกไม่พอใจในคุณภาพ จึงต้องเรียกเชฟมาตำหนิหรือมาถามด้วยความข้องใจองค์รัชทายาทมองสตรีรูปร่างบอบบาง.. ไม่ถูก ๆ จะเรียกว่าบอบบางเสียทีเดียวก็ไม่ถูก นางไม่ได้บอบบางแต่โปร่งระหงดูสมส่วนไปทุกส่วนสัดน่าจะถูกต้องกว่า มองการแต่งตัวรัดกุมแบบบุรุษแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมา เพราะมันไม่ได้ช่วยพรางสัดส่วนหรือความงดงามของเครื่องหน้าเลยสักนิดและตอนนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงชื่อซูวี่ เพราะมองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ใช่ชาวลู่อานโดยแท้ นางอาจจะเป็นลูกผสมเหมือนญาติ ๆ อ๋องของเขา หรืออาจจะเป็นชนชาติอื่นโดยไม่มีสายเลือดลู่อานอยู่ในตัวเลยก็ได้ใบหน้าเรียวรูปไข่ ปากบางเป็นกระจับสีแดงระเรื่อ คิ้วเรียวโก่งโค้งดำขลับ รับกับแพขนตาหนาที่ประดับรอบดวงตากลมโตที่เหมือนกับดวงตาของแมว“บุรุษท่านนี้เองเหรอที่ทำอาหารมาให้ข้า” เขารู้ว่านางเป็นสตรีแต่นึกอยากจะแกล้งเพื่อดูปฏิกิริยาของนางก็เท่านั้นคนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะรีบหลบสายตาที่มองจ้องพร้อมอากา