วันเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ฉันยังคงใช้ชีวิตในคฤหาสน์ของภูผาภายใต้ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ ฉันยังคงทำงานที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนั้น เพราะรู้สึกว่าการได้ออกไปเผชิญโลกภายนอก ทำให้ฉันได้หายใจและไม่รู้สึกจมดิ่งกับความรู้สึกอ้างว้างในคฤหาสน์มากเกินไปในตอนเย็น ฉันจะรีบกลับมายังคฤหาสน์เพื่อดูแลน้องไทม์และใช้เวลาร่วมกับคุณพ่อ ซึ่งภูผาก็ยังคงอนุญาตให้คุณพ่อมาเยี่ยมหลานชายได้เสมอฉันสังเกตเห็นว่าภูผาเริ่มใช้เวลากับน้องไทม์มากขึ้น เขาอาจจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ฉันเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเขาเวลาที่น้องไทม์เข้ามาอ้อน หรือเวลาที่เขาพาลูกชายไปเล่นในสวน บางครั้งฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะของภูผาดังออกมาจากห้องของน้องไทม์ ซึ่งเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด ภูผาเดินเข้ามาในห้อง เขาไม่ได้มาทำงาน แต่กลับเดินตรงไปยังชั้นหนังสือที่เก็บอัลบั้มรูปเก่าๆ ของเขาไว้ เขาหยิบอัลบั้มรูปนั้นขึ้นมาเปิดดูอย่างเงียบ ๆฉันมองเขาอยู่ห่าง ๆ สังเกตเห็นสีหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาพลิกดูรูปภาพเหล่านั้น มีทั้งความเศร้า ความเจ็บปวด และความคิดถึงปรากฏอยู่ในดวงตาคมกริบคู
ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจฉันหลังจากเหตุการณ์ในสวนสาธารณะ ทำให้ฉันมองภูผาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เงาของความแค้นในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายในลึก ๆ โดยเฉพาะเวลาที่เขาอยู่กับน้องไทม์แต่ถึงแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความสัมพันธ์ของเรา กำแพงที่มองไม่เห็นก็ยังคงดำรงอยู่ระหว่างฉันกับเขา ภูผายังคงใช้ชีวิตส่วนตัวของเขา ส่วนฉันก็ยังคงอยู่ในบทบาทภรรยาในนามที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เขากำหนดในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากที่ภูผากลับจากทำงานดึกดื่น ฉันเห็นเขานั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด แสงไฟสลัวจากโคมไฟบนโต๊ะส่องกระทบใบหน้าของเขา ทำให้ฉันเห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดฉันเดินเข้าไปใกล้เขาช้า ๆ “คุณยังไม่นอนอีกเหรอคะ”ภูผาเงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาของเขาดูอ่อนเพลีย “งานยังไม่เสร็จ”ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ฉันรู้ดีว่าเขาทุ่มเทให้กับงานมากแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากที่ครอบครัวของเขาต้องเผชิญกับเรื่องราวร้ายแรงในอดีต“คุณควรพักผ่อนบ้างนะคะ” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยภูผาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ “ฉันสบายดี”เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ และก้มหน้าลงทำงา
หลังจากงานเลี้ยงการกุศลในคืนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับภูผาดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย กำแพงน้ำแข็งที่เคยสูงตระหง่านเริ่มมีรอยร้าว ถึงแม้เขาจะยังคงทำตัวเย็นชาและห่างเหินในบางครั้ง แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ลึก ๆ ในตัวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาอยู่กับน้องไทม์ฉันยังคงทำหน้าที่ในแต่ละวันของตัวเอง ทั้งการดูแลน้องไทม์ การไปทำงานที่ร้านกาแฟ และการดูแลคุณพ่อที่อาการดีขึ้นมากแล้ว ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกชายและความสบายใจของคุณพ่อ ฉันก็รู้สึกว่าการเสียสละของฉันนั้นคุ้มค่าในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังพาน้องไทม์ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้คฤหาสน์ น้องไทม์วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน หัวเราะเสียงดังด้วยความสดใส จู่ ๆ เขาก็สะดุดล้มลงกับพื้น หัวเข่าถลอกเล็กน้อย น้องไทม์เริ่มร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวดฉันรีบวิ่งเข้าไปหาลูกชาย กอดเขาไว้แน่น พยายามปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไรครับคนเก่ง”ขณะที่ฉันกำลังปลอบน้องไทม์อยู่นั้น ฉันก็เห็นภูผาเดินเข้ามา เขาคงจะเพิ่งกลับมาจากทำงานและเห็นเหตุการณ์พอดี ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึม แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัดภูผารีบเด
งานเลี้ยงการกุศลยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฉันยืนอยู่ข้างภูผา พยายามทำหน้าที่ภรรยาที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะยังคงรู้สึกเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางระหว่างเรา แต่ฉันก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวเขาขณะที่ภูผากำลังพูดคุยกับนักธุรกิจรายหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและจริงจัง แต่ฉันก็เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ซีอีโอเลือดเย็นอย่างที่ฉันเคยคิด แต่เขากลับดูเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบและทุ่มเทให้กับงานของเขาอย่างแท้จริงทันใดนั้น เสียงดนตรีบรรเลงเพลงช้า ๆ ขึ้น ภูผาหันมามองฉัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววที่ไม่คุ้นเคย แววตาที่ดูอ่อนลงและมีความอ่อนโยนแฝงอยู่เล็กน้อย“เธออยากเต้นรำไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนฉันประหลาดใจเล็กน้อยกับคำเชิญชวนของเขา ไม่คิดว่าภูผาจะเชิญฉันเต้นรำในงานแบบนี้ แต่ฉันก็พยักหน้าตอบรับไปอย่างช้า ๆภูผาจับมือฉันเบา ๆ ก่อนจะพาฉันเดินออกไปยังฟลอร์เต้นรำ แขนของเขาโอบรอบเอวฉันอย่างนุ่มนวล ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเขาที่แผ่ซ่านเข้ามา แม้จะเป็นเพียงการสัมผัสที่ไม่ได้ตั้งใจ แต
หลายสัปดาห์ผ่านไป ชีวิตในคฤหาสน์ของภูผาเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ฉันปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันของที่นี่ได้ดีขึ้น แม้ในใจจะยังรู้สึกอึดอัดกับกำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างฉันกับภูผา แต่ฉันก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดภูผายังคงทำตัวห่างเหินและเย็นชาเหมือนเดิม เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องทำงาน หรือไม่ก็ออกไปดูแลธุรกิจของเขา ส่วนฉันก็ยังคงทำงานที่ร้านกาแฟ และใช้เวลาที่เหลืออยู่กับน้องไทม์และคุณพ่อที่มาเยี่ยมน้องไทม์ดูจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในคฤหาสน์ได้ดี เขาดูมีความสุขกับการมีของเล่นมากมาย และได้วิ่งเล่นในสวนกว้าง ๆ คุณพ่อเองก็ดูสบายใจขึ้นมากหลังจากที่ได้มาอยู่ใกล้ ๆ หลานชาย ฉันรู้สึกขอบคุณภูผาในเรื่องนี้ อย่างน้อยเขาก็ยังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้ในวันหนึ่ง ฉันได้รับโทรศัพท์จากเลขาของภูผา “คุณลินินคะ วันศุกร์นี้คุณภูผาจะพาคุณไปร่วมงานเลี้ยงการกุศลค่ะ เป็นงานสำคัญที่ท่านต้องการให้คุณไปในฐานะภรรยา” เลขาบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพฉันถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ ‘ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่ภรรยาในงานสังคมสินะ’ ฉันคิดในใจ “ค่ะ ดิฉันจะเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ” ฉันตอบกลับไปเมื่อถึงวันศุกร์ ฉันเ
วันเวลาในคฤหาสน์ของภูผาดำเนินไปอย่างเชื่องช้าสำหรับฉัน ฉันพยายามปรับตัวให้เข้ากับบทบาทใหม่ ทั้งในฐานะภรรยาของภูผา และแม่ของน้องไทม์ที่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของเขา ทุกเช้าฉันจะลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกับภูผา บรรยากาศยังคงเงียบงันเหมือนเดิม ไม่มีคำพูดใด ๆ เกินเลยจากความจำเป็นภูผาเป็นคนรักษาสัญญา เขาอนุญาตให้ฉันได้เจอกับน้องไทม์ทุกวัน และยังให้คนขับรถไปรับคุณพ่อของฉันมาเยี่ยมที่คฤหาสน์ด้วย ฉันรู้สึกขอบคุณเขาในเรื่องนี้ อย่างน้อยความสัมพันธ์ของฉันกับครอบครัวก็ยังคงเชื่อมโยงกันอยู่ฉันยังคงเลือกทำงานที่ร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ การได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง แม้จะเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่เมื่อได้กลับมาเห็นรอยยิ้มของน้องไทม์ ความเหนื่อยเหล่านั้นก็มลายหายไปแต่ถึงแม้ว่าภายนอกชีวิตของฉันจะดูเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่ลึก ๆ แล้วในใจฉันยังคงมีเงาของความเศร้าปกคลุมอยู่เสมอ ฉันไม่สามารถลืมเรื่องราวในอดีตได้เลย โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างฉันกับธนกร และความจริงที่ว่าน้องไทม์เป็นลูกของภูผาค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ฉันเหลือบไปเห็นอัล