“เก่งมากเลยน้องชายพี่ แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว” ปุณณิศามองผลการสอบคัดเลือกเขาเรียนของน้องชายแล้วกล่าวชมด้วยความดีใจ
“แม่ก็ดีใจด้วยนะปั้น ลูกแม่เก่งมากๆ เลย”
“แต่ผมต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นนะครับแม่” ปุณณพัฒน์รีบบอกพี่สาวกับมารดา
“จริงเหรอลูก แบบนี้แม่ก็คุยโม้ได้ทั้งตลาดแล้วสิว่าลูกชายของแม่จะได้ไปเรียนเมืองนอก” ปนัดดายิ้มด้วยปลาบปลื้ม
แม้เธอจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แทบไม่มีเวลาดูแลลูกเลย แต่ลูกทั้งสองคนก็ไม่เคยทำให้ต้องเสียใจเลยสักครั้ง ปุณณิศาลูกสาวคนโตเรียนครุศาสตร์เพราะเธออยากจะเป็นครู ส่วนลูกชายคนเล็กก็เพิ่งสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้
“ผมคิดว่าจะสละสิทธิ์ครับแม่”
“อะไรนะปั้น” ปนัดดาตกใจ
“ผมจะสละสิทธิ์ครับแม่” ปุณณพัฒน์ย้ำอีกครั้ง
“ทำไม่ละปั้น พี่เห็นเราอ่านหนังสือเตรียมสอบตั้งนานนะ นั่นความฝันของเราเลยนะ มีอะไรหรือเปล่าบอกพี่กับแม่มานะ” ปุณณิศามองหน้าน้องชายอย่างสงสัย
“ผมได้ทุนไปเรียนก็จริงครับ แต่ก่อนไปผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงนั้นฟังดูไม่สดใสสมกับคนที่เพิ่งสอบชิงทุนได้เลยสักนิด
“ปั้น แม่ไม่เข้าใจหรอกนะว่าเตรียมตัวที่ว่ามันคืออะไร แล้วทำไมเราถึงต้องสละสิทธิ์ด้วย มีคนตั้งเยอะแยะที่เขาอยากจะได้ทุนเหมือนปั้นนะลูก”
“แม่ครับ พี่ปุณครับ รุ่นพี่ที่เคยไปเรียนเขาบอกว่าก่อนไปเราต้องเรียนภาษาเพิ่ม ไหนจะเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวที่ต้องเตรียมไปอีก ผมว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะเกินไป”
“เรื่องแค่นี้เอง พี่พอมีเงินเก็บเดี๋ยวพี่ช่วยเองนะไม่ต้องห่วงหรอก”
“ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนเดี๋ยวแม่จะทำขนมไปขายเพิ่ม ยังไงแม่ก็จะหาเงินให้ปั้นได้ไปเรียนแน่ๆ”
“ผมว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ให้คนที่เขาพร้อมไปดีกว่าครับแม่”
“ถ้าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันทำไมปั้นถึงได้ตั้งใจจะสอบชิงทุนตั้งแต่แรกล่ะ แล้วโอกาสดีๆ แบบนี้ถ้าปั้นไม่รีบคว้าไว้พี่ว่าปั้นจะมานั่งเสียใจทีหลังนะ เราเสียเงินแค่ส่วนหนึ่งแต่มันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ปั้นจะได้เรียนรู้นะ”
“ผมก็แค่ลองสอบไม่คิดว่าตัวเองจะได้”
“พี่รู้ว่าปั้นอยากไปเรียนที่นั่น ถึงได้ตั้งใจอ่านหนังสือ เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่กับแม่จะจัดการเอง”
“แต่มันเยอะนะครับพี่ปุณ แค่ค่าเรียนภาษาแบบเร่งด่วนคอร์สหนึ่งก็เกือบหมื่นแล้วครับแม่”
“แล้วมันต้องเรียนกี่คอร์สล่ะปั้น” ปุณณิศาถามน้องชายเพราะเธอเองก็ไม่รู้เรื่อง
“รุ่นพี่บอกว่าต้องเรียนอย่างน้อยสองคอร์สเพราะเวลาไปที่นั่นจะได้มีปัญหาเวลาเรียน ไหนจะต้องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มอีก ผมว่างานนี้แค่ค่าเรียนอย่างเดียวก็คงไม่ต่ำกว่าสามหมื่นแน่ๆ ไหนจะค่าเสื้อผ้าของใช้อีก ผมว่ามันมากเกินไป ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้นนะครับ” เด็กหนุ่มรู้ดีว่าสภาพการเงินของบ้านตนเองนั้นเป็นอย่างดี ที่เขาไปสอบชิงทุนก็คิดว่าจะได้ช่วยประหยัดค่าเรียนแต่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าก่อนไปเรียนต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย
“แม่ไหวจ้ะ ปั้นไปหาที่เรียนภาษาเพิ่มได้เลย”
“ช่วงนี้ปิดเทอมตั้งสี่เดือนพี่จะหางานพิเศษเพิ่ม ปั้นอย่ากังวลไปเลย ตัวเองมีหน้าที่เรียนก็เรียนให้เต็มที่อย่าให้สิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปหลายเสียเปล่า”
“แต่...”
“เชื่อแม่นะปั้น แม่กับพี่บอกว่าไหวก็คือไหว”
“ครับแม่ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปคุยกับรุ่นพี่ก่อนว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ขอบคุณนะครับแม่ ขอบคุณนะครับพี่ปุณ”
พอปุณณพัฒน์วิ่งเข้าบ้านไปแล้วปนัดดากับปุณณิศาก็มองหน้ากันแล้วถอนหายใจ
“แม่คะ หนูมีเงินเก็บอยู่ประมาณสองหมื่น ให้ปั้นเอาไปเรียนภาษาก่อนนะคะ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือเดี๋ยวหนูเบิกค่าแรงล่วงหน้าจากพี่อรและเจ๊ช่อ” ปุณณิศาหมายถึงเจ้าของร้านกาแฟและร้านหมูกระทะที่เธอทำงานอยู่
“นั่นมันเงินค่าเทอมของหนูนะปุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ อีกสี่เดือนกว่าจะเปิดเทอมเรายังพอมีเวลาหาค่ะ”
“ถ้ารวมกับเงินเก็บของแม่ก็คงจะพอ”
ปนัดดามีเงินเก็บสำรองอยู่ไม่มาก เพราะเธอต้องส่งลูกเรียนถึงสองคน ไหนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่แอบไปกู้มาอีก ซึ่งเรื่องนี้ปุณณิศาและปุณณพัฒน์ไม่รู้
ปนัดดาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่ก่อนเธอเป็นพนักงานอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนก็พอส่งเสียให้ลูกทั้งสองคนเรียนได้ แต่เมื่อปีก่อนบริษัทประสบปัญหาขาดทุนจึงบีบให้พนักงานออกและเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากถูกให้ออกปนัดดาก็มาทำขนมขาย
เวลาเช้าเธอจะขายขนมหวานในตลาด พอสายหน่อยก็กลับมาเตรียมของไปขายที่หน้าโรงเรียน เวลาว่างก็จะทำขนมเค้ก คุกกี้หรือพวกแซนด์วิชไปฝากขายตามร้านกาแฟ เธอทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มรายได้ แต่มันก็ยังไม่ทันกับรายจ่าย
แม้ว่าปุณณิศาลูกสาวคนโตจะไปทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟในวันหยุด ส่วนตอนเย็นก็ไปเป็นเด็กเชียร์เบียร์ที่ร้านหมูกระทะของเจ๊ช่อซึ่งอยู่ถัดจากบ้านของเธอไปเพียงซอยเดียวเท่านั้น
ที่ทุกคนพยายามหาเงินเพื่อให้ปุณณพัฒน์ได้ไปเรียนต่างประเทศก็เพราะรู้ว่าเขาเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน ที่ผ่านมาปุณณพัฒน์ไม่เคยเสียเงินค่าเรียนพิเศษที่ไหนเลย แต่เขาก็ยังมุมานะจนสามารถสอบชิงทุนได้ ปนัดดาเลยไม่อยากให้ลูกชายเสียโอกาส เพราะการจะไปเรียนต่างประเทศนั้นเป็นความฝันของลูกชายมาตั้งแต่เด็ก
ถ้าเงินที่มีมันไม่พอค่าใช้จ่าย ปนัดดาก็คงจะไปยืมเจ๊น้ำซึ่งเป็นเจ้าของตลาดเพิ่ม ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะโหดไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเงินพอให้ลูกชายไปเรียน เพราะค่าใช้จ่ายพวกนี้คงจะจ่ายแค่ก่อนไปเพียงครั้งเดียว พอได้ไปเรียนที่นู่นค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางโรงเรียนเจ้าของทุนก็จะจ่ายให้ แม้ต้องแลกด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มีและต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้ ปนัดดาก็คิดว่ามันคุ้มค่ากับอนาคตของลูกชาย
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว