หมอเกรียงไกรกลับไปแล้วชานนท์ก็เปิดประตูห้องทำงานเข้าไปหาผู้เป็นปู่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาสำหรับอ่านหนังสือริมหน้าต่าง สายตาของท่านเหม่อมองไปยังด้านนอกซึ่งเป็นลำคลองขนาดใหญ่ดูท่าทางแล้วคงกำลังเป็นกังวลอะไรบางอย่าง
“ปู่ครับ”
“อ้าว ตานนท์ วันนี้กลับบ้านเร็วนี่”
“ก็ปู่ให้ลุงทศโทรไปตามผมกลับมาไม่ใช่เหรอครับ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนายทศเนี่ย เลยทำให้หลานต้องเสียเวลาแทนที่จะได้ทำงานทำการ” มนตรีทำเป็นบ่นแต่เขาเองนั่นแหละที่บอกนายทศให้โทรไปตาม
“เมื่อกี้ผมเจออาหมอเกรียงไกรแล้วครับ”
“แล้วหมอเขาว่าไงบ้างล่ะ”
“อาหมอบอกว่าปู่เป็นโรคหัวใจอะไรสักอย่างนี่แหละครับ ผมฟังไม่ถนัด แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมพาปู่ไปรักษาที่อเมริกาเองรอให้ฝั่งนู้นเช้าก่อนผมว่าจะให้ยัยดาติดต่อหมอเก่งๆ ให้ ส่วนเรื่องวีซ่าผมจะให้เลขารีบจัดการให้ครับไม่เกินสามวันครับ”
“ใครบอกว่าปู่จะไปรักษาที่นั่น”
“ปู่ครับ ผมรักปู่มาก ผมก็อยากให้ปู่ไปรักษากับหมอเก่งๆ นะครับ หายแล้วเราก็เที่ยวกันต่อ เดี๋ยวผมจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จดีไหมครับ”
“หมอไม่ได้บอกเหรอว่าห้ามขัดใจปู่”
“อาหมอบอกแล้วครับ แต่เรื่องนี้ผมคงต้องขัดใจปู่”
“ไม่ไปยังไงปู่ก็ไม่ไป ปู่จะรักษาที่นี่ตายก็จะตายมันที่เมืองไทยนี่แหละ”
“ใครจะปล่อยให้คุณปู่ตายกันละครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ห้ามขัดใจปู่”
“ผมยอมจะยอมทำตามปู่ทุกอย่างเลยครับ ขอแค่ปู่ยอมไปรักษาที่นั่น”
“หลานจะยอมทำตามที่ปู่บอกทุกอย่างใช่ไหม”
“ใช่ครับ ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไปรักษาที่อเมริกา”
“เอ๊ะ ตานนท์นี่ยังไง อยากเห็นปู่ตายไวหรือไงถึงได้เอาแต่ขัดใจปู่อยู่แบบนี้”
“ปู่ครับ ปู่รู้ไหมว่าผมอายุเท่าไหร่แล้ว”
“รู้สิ ปีนี้หลานปู่ก็จะอายุ 30 ปีแล้ว ทำไมปู่จะจำไม่ได้ปู่เลี้ยงเรามากกว่าพ่อแม่ของเราเสียอีก”
“ครับ เพราะปู่เลี้ยงผมมา ผมเลยสนิทกับปู่มากกว่าใครในบ้าน เพราะฉะนั้นผมว่าปู่เลิกแสดงเถอะครับ”
“เลิกแสดงอะไรตานนท์”
“ผมรู้ว่าปู่สบายดี”
“หมอก็บอกไปแล้ว” ปู่มนตรีเถียง
“ปู่ครับ ผมเพิ่งพาปู่ไปตรวจสุขภาพมาเมื่อสองเดือนก่อนปู่ลืมไปแล้วเหรอครับ เอาล่ะ ผมว่าเราเปิดอกคุยกันตรงๆ ดีกว่าว่าทำไมปู่ถึงทำแบบนี้”
“ปู่ป่วยจริงๆ นะ”
“ปู่ครับ ถ้าปู่ยังดื้อแบบนี้ผมจะกลับไปทำงานแล้วนะครับ”
“ปู่อยากให้แกแต่งงาน” เพราะกลัวหลานชายจะกลับเขาก็เลยรีบบอกไปตรงๆ
“แต่งงาน!!” ชานนท์อุทานด้วยความตกใจ
“ทำไมแกต้องทำท่าทางตกใจขนาดนั้น อายุอย่างแกเนี่ยควรจะมีลูกมีเมียได้แล้ว ดูอย่างปู่สิ มีลูกตั้งแต่อายุ 15 พ่อแกก็มีแกตอนอายุ 20 ส่วนแกนี่มันลูกไม้หล่นในสวนคนอื่นชัดๆ คนอื่นเขามีแต่หล่นใต้ต้น”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับปู่ ที่พ่อกับปู่รีบแต่งงานมีลูกก็เพราะพ่อกับปู่เป็นลูกคนเดียวไงครับ ส่วนผมมีพี่น้องอีกตั้งสองคน แล้วตอนนี้พวกเขาก็เหลนให้ปู่แล้วด้วย ปู่จะกังวลอะไรอีก”
“ปูแค่กลัวว่านามสกุลของปู่มันจะหายไป ถ้าเป็นแบบนั้นเวลาปู่ตายไปปู่คงไม่มีหน้าไปเจอบรรพบุรุษแน่ เฮ้อ!” คุณปู่ถอนหายใจ ขณะแอบเหล่ตามองใบหน้าหลานชาย
“ถ้ากลัวขนาดนั้นก็ขอให้ลูกยัยตากับยัยดามาใช้นามสกุลของเราสิครับ ง่ายนิดเดียว”
“หลอกคนอื่นหลอกได้ แต่มันหลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะตานนท์” ชายสูงวัยถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อพูดเรื่องนี้เขาก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที แล้วไหนจะคำพูดของตามิ่งที่ว่าเขาจะไร้ทายาทสืบสกุลถ้าพ้นหกเดือนนี้ไป นั้นก็ยิ่งทำให้คิดมากขึ้นไปอีก
ชานนท์เห็นสีหน้าและแววตาของท่านแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ แต่จะให้เขาแต่งงาน แล้วเขาจะแต่งกับใครที่ไหนล่ะ สาวๆ มีอยู่ตอนนี้ก็มีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นแม่ของลูกสักคน พวกหล่อนก็แค่คู่นอนชั่วคราวก็เท่านั้น
“ปู่ครับ”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว อยากพักสักหน่อย อยากจะกลับไปทำงานก็ไปทำเถอะ” ปู่มนตรีถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหลับตาลง
ปู่กำลังงอนเขาอยู่ชานนท์รู้ดี แต่เดี๋ยวเวลาผ่านไปสักพักท่านก็คงจะดีขึ้นเอง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านอยากให้เขาแต่งงาน
“ปู่ครับ ไหนๆ ผมก็กลับมาที่บ้านแล้ว ผมว่าเย็นนี้เรามาหาอะไรทำสนุกๆ กันดีกว่าไหมครับ”
“ปู่ไม่ใช่เด็กๆ ปู่แก่แล้ว”
ชานนท์ยิ้ม ชัดแล้วว่าตอนนี้ปู่กำลังงอนและดูท่าแล้วงานนี้คงจะง้อยากเสียด้วย
“ปู่อยากให้ผมอ่านหนังสือให้ฟังไหม”
“ไม่ละ เสียงแกฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด”
“อ้าว ไหนแต่ก่อนปู่บอกว่าเสียงผมเพราะไงครับ”
“ก็นั่นมันแต่ก่อน”
“ปู่จริงจังใช่ไหมครับเรื่องแต่งงาน”
“จริงสิ” ปู่มนตรีรีบหันหน้ามาทางหลานชายอีกครั้ง
“แต่ปู่รู้ว่าหลานของปูไม่ค่อยมีเวลาเลยยังไม่มีแฟน ปู่ก็เลยเตรียมสวยๆ ไว้ให้เลือกแล้วนี่ไงดูสิ หนูปิ่น ทั้งสวยทั้งเก่ง”
หนูปิ่นที่ปู่ของเขาพูดถึงนั้นเป็นน้องสาวของปกป้องเพื่อนสมัยเรียนของเขา ซึ่งเขากับหนูปิ่นของคุณปู่นั้นรู้ไส้รู้พุงกันดีจึงยากที่จะแต่งงานด้วย
“ปู่ครับ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะให้มาแต่งงานกันคงไม่ไหวหรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคนนี้เป็นไง สวยเรียบร้อยดีนะ ลูกคนเล็กของคุณเรวดี”
ชานนท์ส่ายหัวเขาเคยเจอเธอตามงานสังคมอยู่บ่อยๆ เจ้าหล่อนใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัว แต่ละอย่างมันก็สวยอยู่หรอก แต่พอมาใส่รวมกันแล้วมันดูตลกและไม่มีรสนิยมเลยสักนิด
“งั้นคนนี้เป็นไง หลานเพื่อนปู่เอง”
“ปู่ครับน้องเค้กนี้ยังไม่จบชั้นมัธยมเลยนะครับผมไม่อยากติดคุก”
“ก็เพื่อนปู่มันมีลูกกันช้า หลานของมันก็เลยยังไม่โตกันสักคนนะสิ”
“ปู่ครับ ผมว่าเรื่องนี้ผมจัดการเองดีกว่าไหม”
“จัดการเอง หมายความว่ายังไงหรือว่าแกมีแฟนอยู่แล้วแต่ไม่บอกปู่”
“อันที่จริงผมมีเมียแล้วครับปู่”
“อะไรนะ อย่ามาหลอกปู่เล่นหน่อยเลย”
“จริงครับปู่ ผมมีเมียแล้วจริงๆ”
“ลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะ ทำไมไม่พามาให้ปู่รู้จักบ้างล่ะตานนท์”
“นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมกลัว” ชานนท์ถอนหายใจ
“แกจะกลัวไปทำไม ปู่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ดีเสียอีกแกมีเมียแล้วปู่จะได้โล่งใจพามาหาปู่นะ”
“ปู่ครับ ที่ผมบอกว่ากลัวก็คือกลัวปู่ไม่ยอมรับเธอ เพราะเธอไม่ใช่ลูกคนมีชื่อเสียง ครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวย”
“เรื่องนั้นช่างมัน ขอแค่เขายอมแต่งงานกับแกเร็วๆ ก็พอ” ปู่มนตรียิ้มอย่างมีความหวัง แต่นั่นกลับยิ่งสร้างความหนักใจให้กับชานนท์เป็นอย่างมาก
‘แล้วเขาจะไปหาผู้หญิงที่ว่ามาจากไหนล่ะ’ ชานนท์คิดในใจ
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว