ปุณณิศาขอเบิกเงินจากเจ้าของร้านกาแฟและเจ้าของร้านหมูกระทะมาให้น้องชายแล้ว ตอนนี้ปุณณพัฒน์ก็เริ่มไปเรียนภาษาซึ่งดูเหมือนเจะมีความสุขมากที่กำลังวิ่งตามฝันของตัวเอง
“แม่คะ วันนี้ปุณเจอเจ๊น้ำ” วันนี้เธอบังเอิญเจอเจ๊เจ้าของตลาดที่มาซื้อกาแฟที่ร้าน ปุณณิศาเลยได้รู้ว่ามารดาของตนเองเป็นหนี้เจ๊น้ำอยู่เกือบห้าหมื่นบาท และทุกวันที่ขายของได้มาก็จะต้องเอาไปจ่ายดอกเบี้ยส่วนเงินต้นนั้นแทบไม่มีจ่าย
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรเพราะอะไรมารดาถึงได้เป็นหนี้มากมายขนาดนั้น ทั้งที่เธอก็เห็นว่าท่านขยันทำงานแทบไม่มีวันหยุดพัก
“เหรอจ๊ะ”
“แม่คะ ปุณว่าเราต้องคุยกันนะคะ”
“คุยอะไรล่ะปุณ แม่ว่าเรารีบแพ็กขนมใส่ถุงดีกว่าไหม เดี๋ยวจะได้ไปส่งร้านกาแฟ”
“แม่จะปิดปุณถึงเมื่อไหร่คะ”
“หนูพูดเรื่องอะไรลูก”
“แม่ขา ปุณเป็นลูกแม่นะคะ” ปุณณิศาร้องไห้เพราะมองไม่ออกเลยว่าจะหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาใช้หนี้เจ๊น้ำได้ยังไง เพราะตอนนี้ทั้งเงินเก็บและเงินจากงานพิเศษก็ให้น้องชายไปหมดแล้ว
“ปุณอย่าร้องลูก” คนปลอบก็เสียงสั่นเครือ
“เงินมากขนาดนั้น เป็นเพราะแม่เอามาให้ปุณกับปั้นเรียนใช่ไหมคะ”
“ปุณแม่ขอโทษนะ แต่ตอนนั้นแม่เงินขาดมือจริงๆ ช่วงปิดเทอมแม่ไม่ได้ขายของที่หน้าโรงเรียน แล้วพอเปิดเทอมเงินมันก็เลยขาดมือ แม่คิดว่าพอมีจะเอาไปคืน แต่ค้าขายมันก็ลำบากเหลือเกิน แม่พยายามแล้วลูก”
“แม่ขา ปุณไม่ได้โกรธแม่ ปุณแค่เสียใจที่ปุณทำให้แม่ลำบาก ต่อไปนี้ปุณจะตั้งใจทำงานให้มากขึ้น”
“ที่หนูทำอยู่มันก็เหนื่อยมากแล้วนะลูก”
“แต่มันก็ยังไม่พอใช้นี่คะ แล้วถ้าน้องไปที่นู่น ถึงน้องจะได้ทุนก็จริงปุณก็อยากให้เงินน้องติดมือไว้ใช้บ้าง ปุณกลัวน้องไปลำบาก”
“แต่หนูยังต้องเรียน”
“หนูดรอปไว้ก็ได้ค่ะ รอน้องเรียนจบ น้องมีงานทำ ปุณค่อยเรียนก็ได้”
“แม่ไม่เห็นด้วยเลย ยังเหลืออีกสามเดือนจะเปิดเทอม แม่ว่าเรามาช่วยกันทำของขายให้มากขึ้นดีไหม ตอนเย็นเราขายหน้าโรงเรียนไม่ได้ เราก็ไปขายตลาดนัด”
“ปุณว่าจะลองไปถามกัญญาดูค่ะ ว่าร้านที่กัญญาทำรับเด็กเสิร์ฟเพิ่มไหม”
“จะดีเหรอลูกแม่ว่ามันอันตราย”
“ปุณเอาตัวรอดได้ค่ะแม่”
“แม่ว่าหางานอย่างอื่นทำดีไหม”
“แม่ค่ะ ชงเหล้ากับเชียร์เครื่องดื่มในผับคืนหนึ่งมันได้เยอะมากเลยนะคะ คืนหนึ่งได้ตั้งหลายพัน ให้ปุณไปทำนะคะแม่”
“แต่แม่ว่าเราหาทางอื่นดีกว่าไหม”
“แม่ค่ะ ถ้าแม่ไม่ให้ปุณไปทำแล้วเปิดเทอมปุณจะเอาเงินที่ไหนเรียน ไหนแม่ว่าไม่อยากให้ปุณหยุดเรียนไงคะ”
ปนัดดาอ่อนใจเพราะตอนนี้เธอเองก็ไม่มีเงินเหลือเลย ถ้าจะไปยืมเจ๊น้ำอีก ชาตินี้คงได้แต่ทำงานจ่ายค่าดอกเบี้ยแน่ๆ
“แต่แม่เป็นห่วงปุณนะลูก ทำงานกลางคืนแบบนั้น ถ้าเกิดว่าเจอแขกเมาลวนลามขึ้นมาจะทำยังไง”
“แม่คะ เราไม่มีทางเลือกไม่มากนะคะ ตอนนี้เราต้องรีบหาเงินมาให้น้อง มาจ่ายเจ๊น้ำ แล้วยังต้องหาเงินซื้อของมาทำขนมพวกนี้ไปขายอีก ถ้าเราเอาแต่กลัว ปุณกลัวว่าถึงวันที่น้องต้องไปเรียน เราจะไม่มีเงินให้น้อยเลย”
“สัญญากับแม่ได้ไหม ว่าจะดูแลตัวเองดีๆ และไม่ออกไปต่อที่ไหนกับแขก”
“ค่ะแม่ ปุณจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด แม่เชื่อใจปุณนะคะ แล้วเรื่องนี้แม่ห้ามบอกปั้นเด็ดขาดนะคะ ปุณกลัวน้องจะคิดมาก”
“ถ้าปุณสัญญากับแม่แบบนี้แม่ก็วางใจ”
“เดี๋ยวบ่ายปุณจะไปคุยกับกัญญาดูนะคะ ถ้าเขารับก็อาจจะไปเริ่มทำเลย”
“ปุณต้องกลับดึกกว่าทำงานร้านหมูกระทะแน่ๆ ให้แม่ไปรอรับที่ปากซอยดีไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ กัญญามีมอเตอร์ไซค์พอเลิกเดี๋ยวหนูติดรถเพื่อนมาก็ได้ แม่จะได้ไม่ต้องนอนดึกนะคะ”
“แม่คงเป็นแม่ที่แย่มาก”
“ไม่เลยค่ะแม่ แม่ของปุณเก่งที่สุด แม่เลี้ยงเราสองคนมาอย่างดี ให้เรียนหนังสือเหมือนกันคนอื่น”
“แต่แม่ก็สร้างหนี้ให้ปุณต้องลำบาก”
“อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ คนที่ทำให้แม่เป็นหนี้คือปุณกับปั้นต่างหากล่ะคะ เพราะแม่ทำดีที่สุดแล้วค่ะ อย่าคิดมากนะคะ รีบแพ็คขนมดีกว่าค่ะ”
สองแม่ลูกช่วยกันเอาคุกกี้ใส่ถุงพลาสติก เพื่อเอาไปส่งที่ร้านกาแฟซึ่งตอนนี้มีหลายร้านที่รับขนมจากปนัดดาไปวางขาย
ปุณณิศมาหากัญญาวีร์ที่อาศัยอยู่กับยายที่บ้านเช่าท้ายหมู่บ้าน
กัญญาวีร์เป็นเพื่อนสมัยมัธยม แต่เรียนจบแค่ชั้น ม.6 ก็ไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องออกมาช่วยทางบ้านหาเงิน นอกจากยายที่อายุมากแล้วกัญญาวีร์ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคนที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2
“เข้ามาก่อนสิปุณ”
“ยายกับน้องชายไปไหนเหรอกัญญา”
“นายกันต์พายายไปหาหมอน่ะ”
“อ้ายยายไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่ไปตรวจตามนัด ได้ข่าวว่าปั้นสอบได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่นเหรอดีใจด้วยนะ น้องชายปุณนี่เก่งจริงๆ อยากให้นายกันต์เก่งได้สักครึ่งหนึ่งของปั้นจัง”
“กันต์ก็เรียนเก่งออกอีกหน่อยคงได้ทุนเหมือนปั้นนั่นแหละ”
“สาธุ ถ้าได้จริงๆ นะ กัญญาจะไปรำถวายศาลหน้าหมู่บ้านเลย” กัญญาวีร์หัวเราะเพราะน้องชายของตนเองนั้นไม่ได้เรียนเหมือนกันน้องชายของเพื่อนคนนี้เลยสักนิด
“กัญญา เรามีเรื่องจะถาม”
“เรื่องอะไร หน้าเครียดเชียว” ปกติเธอจะเห็นเพื่อนคนนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่มาวันนี้รอยยิ้มนั้นกลับไม่มีเลยสักนิด
“เราอยากถามกัญญาว่าที่ผับรับเด็กเพิ่มไหม”
“รับสิ รับตลอดปุณจะมาทำกับเราเหรอ”
“อือ ช่วงนี้นี้เราต้องการใช้เงิน”
“งั้นเย็นนี้เราไปรับปุณที่บ้านออกไปทำงานพร้อมกันเลย ส่วนเรื่องเชียร์แขกเดี๋ยวเราช่วยสอนให้ สวยๆ อย่างปุณรับรองได้เลยว่าคืนหนึ่งไม่ต่ำกว่าสามพันแน่ๆ”
“ได้แบบนี้ก็ดีสิ เราอยากเร่งหาเงิน”
“ถ้าปุณทำงานไปสักระยะแล้วมีแขกประจำปุณจะได้มากกว่านี้อีก”
“เราแค่ชงเหล้ากับเชียร์เครื่องดื่มใช่ไหม”
“ทำไมถามแบบนั้น”
“ก็เราพอรู้มาบ้างว่าที่ร้านมีบริการแบบนั้นด้วย”
“มีจ้ะ มันอยู่ที่ความสมัครใจ ถ้าใครจะออกไปต่อกับแขกก็ต้องถึงเวลาเลิกงานก่อน”
“กัญญาเคยออกไปไหม เราขอโทษที่ถามตรงๆ”
“เคยไป แต่ไม่บ่อยหรอก ผิดหวังกับคำตอบไหม”
“ก็นิดหน่อย กัญญาถูกบังคับหรือเปล่า”
“ไม่เลย คนที่เราออกไปด้วยเป็นลูกค้าประจำ เขาเหมาดริ๊งค์เราตลอด ที่เรายอมออกไปต่อกับเขาเพราะคุยกันถูกคอ กะจะคบกันจริงจังด้วยแหละ แต่น่าเสียดายเขาถูกย้ายไปทำงานที่อื่นเสียก่อน เรื่องก็เลยจบแค่นั้น”
“แล้วไม่ติดกันล่ะ สมัยนี้อยู่ที่ไหนก็ติดต่อกันได้”
“เคยพยายามแล้ว แต่รักทางไกลมันไม่โอเคเท่าไหร่ สุดท้ายก็เลยตกลงเป็นเพื่อนกันดีกว่า”
“แล้วคนอื่นที่ผับออกไปกับแขกเยอะไหม”
“ที่ผับมันแบ่งเป็นสองด้าน โซนดื่มกับโซนเที่ยว เราไปทำงานโซนนักดื่ม เรื่องออกไปข้างนอกก็เลยไม่ค่อยมี”
“ไม่โกรธใช่ไหมที่เราถามเยอะ”
“ไม่หรอก ปุณอยากรู้อะไรก็ถาม ถ้าตอบได้เราจะตอบ”
“เจ้าของร้านใจดีไหม”
“คุณเมคินทั้งหล่อทั้งใจดี”
“ทำตาหวานเชียวนะกัญญาอย่าบอกนะว่าแอบหลงรักเจ้าของร้าน”
“ปุณต้องไปเห็นกับตาว่าเขาหล่อมากแค่ไหน”
“ที่ทำงานผับนี้มาหลายปีเพราะเจ้าของผับหล่อใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่แค่เจ้าของผับนะ เพื่อนเจ้าของผับก็หล่อมากด้วย”
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว