Home / รักโบราณ / เชลยรักสองพยัคฆ์ / บทที่ 7 เพลิงอัคคีธารามืด

Share

บทที่ 7 เพลิงอัคคีธารามืด

last update Last Updated: 2025-12-07 12:04:57

         เมื่อเงาของหลี่เฉียงลับหายไปจากขอบประตู มู่ตานยังคงยืนแข็งทื่ออยู่กลางสวนนั้นอีกเนิ่นนาน ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้

          นางไม่รู้ว่าตนเองก้าวกลับเข้ามาในเรือนได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนของตนเองตั้งแต่เมื่อใด รู้เพียงแค่ว่าความแข็งแกร่งที่เสแสร้งไว้ทั้งหมดได้พังทลายลงในพริบตา

          นางทรุดกายนั่งลงบนขอบเตียงอย่างหมดแรง มือทั้งสองข้างกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้จากความหวาดหวั่นที่แล่นจับขั้วหัวใจ มันคือความกลัว แต่เป็นความกลัวคนละชนิดกับที่นางมีต่อหลี่เฉียง

          ความกลัวที่มีต่อหลี่เฉียงนั้นเปรียบดั่งเปลวไฟที่ลุกโชน มันร้อนและแผดเผาอย่างรุนแรง คือการเผชิญหน้าที่ตรงไปตรงมา นางรู้ว่าต้องรับมืออย่างไร

          แต่ความกลัวที่นางกำลังรู้สึกในตอนนี้ มันคือห้วงน้ำลึกที่ไร้ก้นบึ้ง มันเย็น มันคือความมืดมิดที่มองไม่เห็นตัวตน ความกลัวต่อรอยยิ้มที่สุภาพ ต่อเล่ห์กลที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากความอ่อนโยนที่ค่อย ๆ ฉุดรั้งนางให้จมดิ่งลงสู่ความสับสน นางไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเขาอย่างไร ไม่รู้ว่าจะต้องตั้งรับแบบไหน ความไม่รู้นี้เองที่กัดกินจิตใจของนางยิ่งกว่าความเจ็บปวดใด ๆ ที่เคยได้รับมา

          นางนั่งจมอยู่ในภวังค์แห่งความหวาดกลัวนั้นเนิ่นนานเท่าใดก็มิอาจทราบได้ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของเสี่ยวเหลียนดังขึ้นที่หน้าประตู เด็กสาวก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบพร้อมกับถาดน้ำชา นางเห็นสีหน้าซีดเผือดและแววตาที่เหม่อลอยของมู่ตานก็บังเกิดความสงสารจับใจ แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้าจัดเตรียมถ้วยชาอย่างเงียบงัน

          ในชั่วขณะนั้นเอง มู่ตานก็ตระหนักได้ว่านางจะจมอยู่กับความกลัวเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ นางต้องหาข้อมูล ต้องรู้ให้ได้ว่าศัตรูคนใหม่ของนางเป็นคนเช่นไร

          “เสี่ยวเหลียน” นางเอ่ยขึ้น เสียงของนางยังคงสั่นเทาเล็กน้อย

          เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว รีบหันมาคุกเข่าลงทันที “องค์หญิงมีอะไรจะสั่งบ่าวหรือเพคะ”

          “ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้า” มู่ตานกล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่หวาดกลัวของเด็กสาว “ข้าเพียงแค่อยากจะรู้ว่าท่านอิงเฟิงเขาเป็นคนเช่นไร”

          สีหน้าของเสี่ยวเหลียนซีดลงยิ่งกว่าเดิม นางก้มหน้างุดจนคางแทบชิดอก “บะ...บ่าว...บ่าวไม่กล้ากล่าวถึงท่านอิงเฟิงเพคะ”

          “ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้านินทานายของเจ้า” มู่ตานปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนลงเล็กน้อย “ข้าเพียงแค่อยากจะเตรียมตัวให้ถูกต้อง เช่น...เขาชมชอบสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ ดนตรี บทกวี หรือว่า...การฝึกยุทธ์เช่นเดียวกับพี่ชายของเขา”

          เสี่ยวเหลียนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ นางลอบมองซ้ายขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน ก่อนจะกระซิบตอบด้วยเสียงที่เบาที่สุด

          “ท่านอิงเฟิง...เขา...เขาแตกต่างจากท่านแม่ทัพโดยสิ้นเชิงเพคะ” นางหยุดไปอึดใจหนึ่ง “เขา...สุภาพเสมอเพคะ ไม่เคยตวาดบ่าวไพร่ ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ทุกคนในจวนกลับกลัวเขายิ่งกว่ากลัวท่านแม่ทัพเสียอีก เพราะไม่มีใครรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มของเขานั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่”

          หัวใจของมู่ตานเย็นเยียบลง คำตอบของเสี่ยวเหลียนยืนยันในสิ่งที่นางคาดเดาไว้ไม่ผิดเพี้ยน

          “เขา...เคยมีสตรีมาปรนนิบัติที่เรือนหรือไม่” นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด

          เสี่ยวเหลียนส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่เคยเลยเพคะ! องค์หญิงเป็นคนแรก ปกติแล้วเรือนของท่านอิงเฟิงจะเงียบสงบราวกับป่าช้า ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนหากไม่ได้รับคำสั่งเพคะ”

          มู่ตานพยักหน้ารับช้า ๆ ข้อมูลที่ได้มาน้อยนิดแต่มันก็มีค่ามหาศาล นางเป็นคนแรก ซึ่งหมายความว่านางคือหมากตัวสำคัญในเกมอะไรบางอย่างของเขา ไม่ใช่เพียงของเล่นชั่วข้ามคืน

          “ไปเถิด” นางกล่าวกับเสี่ยวเหลียน “แล้วช่วยเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดที่ข้ามีให้ด้วย”

          เมื่อเสี่ยวเหลียนจากไป และบานประตูปิดลงความเงียบอันเยียบเย็นก็กลับเข้าครอบงำเรือนไผ่เร้นอีกครั้ง

          มู่ตานยังคงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ปล่อยให้ความหวาดหวั่นต่อห้วงน้ำลึกนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนถึงขีดสุด นางรับรู้ถึงปลายนิ้วที่สั่นเทาของตนเอง รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นขบวน แล้วนางจึงค่อย ๆ สั่งการร่างกายของตนเอง

          นางบังคับให้มือที่สั่นเทานั้นหยุดนิ่ง บังคับให้ลมหายใจที่ตื้นเขินกลับมาลึกและสม่ำเสมอ

          นี่ไม่ใช่การเตรียมตัวเพื่อไปพบชายคนรักที่ต้องแต่งแต้มด้วยความหวังหรือความปรารถนา แต่นี่คือการเตรียมตัวของนักรบ คือการสวมเกราะเพื่อเข้าสู่สมรภูมิที่อันตรายที่สุด...สมรภูมิที่มองไม่เห็นคมดาบ แต่กลับสังหารคนได้ทั้งเป็น

          เมื่อน้ำอาบมาถึง นางใช้เวลาอยู่ในห้องชำระกายนานกว่าปกติ นางอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเชื่องช้า จงใจขัดถูทุกอณูบนผิวเนื้อ ไม่ใช่เพื่อความงาม แต่เพื่อลบกลิ่นอายคาวเลือดและโทสะของหลี่เฉียงที่ยังคงฝังแน่น นางต้องกำจัดเปลวไฟที่แผดเผาให้สิ้นซาก ก่อนที่จะก้าวลงไปในห้วงน้ำที่เยือกเย็น

          นางปล่อยให้ความอุ่นของน้ำช่วยขับไล่ความหนาวเหน็บในใจออกไปชั่วคราว จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า อาภรณ์ที่นางมีล้วนเป็นผ้าฝ้ายและผ้าไหมเรียบ ๆ ไม่มีชุดใดที่งดงามเป็นพิเศษ

          นางเหลือบมองชุดสีขาว...

          ‘ไม่ได้ สีขาวคือการยอมจำนน คือการไว้ทุกข์ ข้ายังไม่แพ้

          นางปรายตามองชุดสีแดงเข้ม

          ‘ก็ไม่ได้เช่นกัน’

          นั่นคือสีแห่งการท้าทายที่โจ่งแจ้ง มันใช้ได้ผลกับพยัคฆ์ร้ายอย่างหลี่เฉียง แต่จะไร้ผลกับพญาเหยี่ยวอย่างอิงเฟิง

          มือของนางจึงเลือกหยิบชุดสีเขียวหยกที่ดูสงบและสะอาดตาที่สุดขึ้นมาสวมใส่ มันเป็นสีของไผ่ที่แสดงถึงความสุขุม ความอดทน และความมีชีวิตชีวา สีที่สามารถโอนอ่อนตามแรงลม แต่ไม่เคยหักโค่น

          นางนั่งลงหน้าคันฉ่องทองเหลือง บรรจงสางผมยาวสลวยของตนเองอย่างใจเย็น ทุกครั้งที่หวีไม้ลากผ่านเส้นผม มันคือการดึงสติ คือการจัดระเบียบความคิดที่สับสนวุ่นวายให้เข้าที่ นางกำลังสร้างหน้ากากของนางขึ้นมา เส้นผมที่เกล้าขึ้นเป็นมวยต่ำอย่างเรียบง่ายแต่ดูสง่างามคือเกราะชิ้นแรก มันแสดงถึงความสงบแต่ก็พร้อมที่จะรับมือ นางปล่อยปอยผมเล็กน้อยให้เคลียข้างแก้มเพื่อลดทอนความแข็งกร้าวบนใบหน้า พร้อมทบทวนกลยุทธ์ของตนเอง

          ‘จงเป็นกระจกเงา นิ่งสงบ และสะท้อนทุกสิ่งกลับไป’

          นางไม่ได้แต้มเครื่องประทินโฉมใด ๆ นางจะไม่แต่งแต้มตนเองราวกับนางคณิกาที่รอรับแขก แต่นางก็จะไม่เผยความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น นางจึงแตะเพียงชาดสีอ่อนที่ริมฝีปากเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยซีดเผือดที่เกิดจากความหวาดหวั่น นี่ไม่ใช่การแต่งแต้มเพื่อความงาม แต่มันคือสีสันแห่งการหลอกลวง

          ภาพที่สะท้อนกลับมาคือนางพญาหงส์ที่ปีกหัก แม้จะบาดเจ็บและตกอยู่ในกรง แต่ความสง่างามและความทระนงก็ยังคงฉายชัดออกมาจากแววตา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 3

    เขาช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้ววางลงบนตั่งเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าที่เปราะบางที่สุด เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะแพรหนานุ่ม มู่ตานก็ปลดเปลื้องความแข็งกร้าวทิ้งไป เหลือไว้เพียงจริตมารยาที่นางจงใจปรุงแต่งขึ้นมาลวงล่อ นางปรือตาขึ้นมองพญาอินทรีย์ด้วยแววตาที่ฉ่ำหวานระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจสั่นพร่ายามที่อิงเฟิงโน้มกายลงมาทาบทับ “ท่านช่างงดงามจนข้ามิอาจละสายตา” เสียงกระซิบของเขาพร่าเลือนชิดใบหู ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะเริ่มประทับตราลงบนซอกคอขาวผ่อง มันมิใช่การขบกัดที่ดุดัน แต่เป็นการดูดดึงและเล็มเลียอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นของเขาตวัดไล้ไปตามชีพจรที่เต้นตุบ ๆ ของนาง ลากไล้ต่ำลงมายังเนินอกอวบอิ่ม “อื้อ...ท่านอิงเฟ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 2

    พวกเขาเดินหมากกันไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปหลายสิบตามีเพียงเสียงหมากกระทบกระดานไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ บรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งแม่ทัพสองนายกำลังบัญชาการรบอยู่ในกระโจมกลางสมรภูมิ จนกระทั่งมู่ตานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางวางหมากดำเม็ดหนึ่งลงไปในตำแหน่งที่ดูประหนึ่งการฆ่าตัวตาย เป็นการเดินหมากที่บุกทะลวงเข้าไปในใจกลางวงล้อมศัตรูอย่างหุนหันพลันแล่น แววตาของอิงเฟิงทอประกายวูบหนึ่ง “เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญยิ่งนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน การบุกทะลวงเข้าไปในแดนศัตรูโดยไร้ทัพหนุนเปรียบเสมือนการส่งทหารไปตายโดยเปล่าประโยชน์” “บางครา...” มู่ตานตอบกลับเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาน “การสร้างความปั่นป่วนในใจกลางทัพของศัตรู แม้จักต้องสูญเสียไพร่พลไปบ้าง ก็อาจจะสามารถเปิดช่องทางรอดใหม่ที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนได้”&n

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 1

    ความมืดมิดและความเงียบงันภายในเรือนไผ่เร้นนั้นหนักอึ้งดุจผืนผ้ากำมะหยี่สีนิลที่กดทับลงมาบนร่างระหง แสงเทียนไขบนโต๊ะเตี้ยสั่นไหววูบวาบทุกคราที่สายลมหนาวเล็ดลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามา ส่งผลให้เงาของนางที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่งไม้ทอดยาวบิดเบี้ยวไปบนผนัง ราวกับเป็นเงาของภูตพรายที่กำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่ง มู่ตานนั่งอยู่ในท่วงท่านี้มานานนับชั่วยามแล้ว นานจนร่างกายเริ่มชาหนึบ ทว่าสติสัมปชัญญะกลับตื่นตัวและเฉียบคมถึงขีดสุด ในห้วงความคิด นางกำลังซ้อมรบในสมรภูมิแห่งวาจา ทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินตนาการถึงทุกหมากที่พญาเหยี่ยวอาจจะเดิน เตรียมถ้อยคำโต้ตอบสำหรับทุกคำถามที่เขาอาจจะเอ่ย และตอกย้ำปณิธานของตนให้แข็งแกร่งดุจกำแพงเมืองที่หล่อหลอมจากเหล็กกล้า นางจักมิยอมให้มายาภาพจากราตรีก่อนกลับมาบดบังสติปัญญาได้อีก นางรู้แจ้งแก่ใจว่าความอ่อนโยนนั้นเป็นเพ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 12 กระดานหมากชี้ชะตา 2

    จุดอ่อนของเขายังไม่ปรากฏแน่ชัด เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเพียงเอาชนะพี่ชาย หรือเขามีความรู้สึกเสน่หาต่อนางจริง ๆ หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวงซ้อนกลเพื่อเป้าหมายอื่นที่นางยังมองไม่เห็น ความไม่รู้นี้เปรียบเสมือนการเดินปิดตาอยู่ริมหน้าผา ‘ต้องระวังตัวให้ถึงที่สุด...’ นางย้ำเตือนตนเอง ‘ต้องไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริง ต้องเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนเล่ห์เหลี่ยมของเขากลับไป ต้องเร่งค้นหาเจตจำนงที่แท้จริงของเขาให้พบ และที่สำคัญที่สุด ต้องก่อกำแพงปกป้องสติของตนให้แข็งแกร่ง อย่าได้หลงกลไปกับความสะดวกสบายและความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาหยิบยื่นให้ จงตระหนักเสมอว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคือยาพิษรสหวาน ที่มุ่งหมายจะกัดกร่อนเขี้ยวเล็บและความระแวดระวังของนางให้ทื่อลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นคมดาบที่สังหารนางได้เลือดเย็นกว่าพละกำลังของหลี่เฉียงเสียอีก’ และท้ายที่สุด หมากสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่วางอย

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 12 กระดานหมากชี้ชะตา 1

    การเดินทางกลับจากเรือนของหลี่เฉียงในรุ่งอรุณครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แม้ร่างกายทุกส่วนจะยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระบมไม่ต่างกัน แต่จิตใจของนางนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มู่ตานก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่เย็นเฉียบด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและสงบนิ่ง นางไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนอีกต่อไป แต่กลับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นไหว สายลมยามเช้าที่พัดมาปะทะร่างทำให้ชายแขนเสื้อที่กว้างของนางปลิวไสวไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ข้อมือ ร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่บัดนี้นางมองมันไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ของความอัปยศ แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความแค้นที่ต้องชำระ นางสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นอย่างน่าประหลาด นางเห็นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำการณ์อยู่ไกล ๆ ที่มองมายังนางเปลี่ยนไป ความเหยียดหยามในวันแรก ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและอาจจะมีความ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 11 พายุที่หวนคืน 2

    ทว่าเนิ่นนานไปขณะที่เขายังคงครอบครองเรือนร่างอันอ่อนระทวยนั้น โทสะที่เคยลุกโชนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น ความอยากเอาชนะเริ่มจางหาย เหลือเพียงความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่มืดมิดและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว สติสัมปชัญญะของแม่ทัพผู้ต้องการเอาชนะกำลังถูกกลืนกินโดยสัญชาตญาณของบุรุษ เขาลืมเลือนการต่อสู้ ลืมเลือนกำแพงที่นางสร้าง รับรู้เพียงความนุ่มลื่นของผิวเนื้อภายใต้ฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ ของนางที่ผสมกับกลิ่นสุรา และร่างกายที่ตอบสนองเขาอย่างไม่เต็มใจ จังหวะของเขาเริ่มเปลี่ยนไป จากการลงทัณฑ์ที่เกรี้ยวกราดกลายเป็นการแสวงหาที่ลึกซึ้งและไม่รู้จักพอ มู่ตานผู้ซึ่งบัดนี้เป้าหมายได้เปลี่ยนไปแล้วไม่ได้พยายามจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่นางกำลังเฝ้ารอ อดทนรอคอยให้พายุลูกนี้พัดผ่านไป&n

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status