หน้าหลัก / รักโบราณ / เชลยรักสองพยัคฆ์ / บทที่ 8 เผชิญหน้าพญาเหยี่ยว 1

แชร์

บทที่ 8 เผชิญหน้าพญาเหยี่ยว 1

ผู้เขียน: เสวี่ยเยว่
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-08 12:05:15

         สุริยาคล้อยเคลื่อนสู่ยามอัสดง แสงสีทองสุดท้ายอาบไล้ไปทั่วจวนแม่ทัพ ก่อนที่จางมามาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ หน้าเรือนไผ่เร้น นางไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่มาพร้อมกับนางกำนัลร่างเล็กอีกสองคนซึ่งถือโคมไฟแก้วอย่างนอบน้อม

          “ได้เวลาแล้ว” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย

          มู่ตานลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินตามออกไปอย่างเงียบสงบ หัวใจของนางเต้นเป็นปกติ ลมหายใจสม่ำเสมอ อย่างน้อยก็ภายนอก

          เส้นทางสู่เรือนพักของอิงเฟิงนั้นทอดห่างออกไปราวกับอยู่คนละโลกกับความแข็งกร้าวของจวนแห่งนี้ มิได้มุ่งสู่ลานฝึกยุทธ์ แต่กลับลัดเลาะไปตามศิลาแผ่นเล็กที่ทอดตัวคดเคี้ยวราวลำธารลึกล้ำเข้าไปในทิวป่าไผ่

          ใบไผ่สีเขียวเสียดสีกันตามลมยามเย็นบังเกิดเสียงซ่าราวกับเสียงกระซิบอันไร้ที่มา พวกนางข้ามสะพานหินโค้งทอดข้ามสระบัวซึ่งบัดนี้หุบกลีบหลับใหลอย่างสงบ บนผิวน้ำสะท้อนเงาของจันทร์เสี้ยวที่เพิ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างงดงาม เสียงกังสดาลลมที่แขวนอยู่ชายคาศาลาไม้ดังกรุ๊งกริ๊งแว่วมาเป็นระยะ ฟังดูไพเราะแต่กลับให้ความรู้สึกวังเวงอย่างน่าประหลาด

          สรรพสิ่งงดงามราวกับหลุดออกมาจากม้วนภาพ ทว่าเป็นภาพที่งดงามจนเย็นเยียบ งดงามทว่ากลับไร้ซึ่งไออุ่นแห่งชีวิต

          ในที่สุดทางเดินก็สิ้นสุดลง ณ เรือนพักหลังหนึ่งซึ่งซ่อนเร้นกายอยู่อย่างสงบสันโดษหลังม่านไผ่ลู่ลม เรือนหลังนี้มีขนาดเล็กกว่าของหลี่เฉียงมากนัก สร้างจากไม้สีอ่อน กรุด้วยกระดาษสา มีโคมไฟกระดาษสีนวลแขวนอยู่หน้าประตู ขับไล่ความมืดและให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่มันคือความอบอุ่นจอมปลอมที่นางสัมผัสได้

          จางมามาหยุดอยู่แค่หน้าประตูห้องหนึ่ง นางผายมือเข้าไปด้านใน “เชิญองค์หญิง ท่านอิงเฟิงรออยู่ด้านในแล้ว”

          พูดจบนางก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับนางกำนัล ทิ้งให้มู่ตานยืนเผชิญหน้ากับประตูสู่พญาเหยี่ยวเพียงลำพัง

          นางรวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้ายกลั้นความสั่นเทาไว้ในอก ก่อนจะยื่นมือที่เย็นเฉียบออกไป แล้วค่อย ๆ เลื่อนประตูเปิดออก กลิ่นหอมอันสะอาดบริสุทธิ์ของกระดาษ หมึกจีน และของกำยานไม้จันทน์อันลุ่มลึกก็ลอยมาปะทะร่างนางในทันที

          ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้นางต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่

          ผิดคาดที่นี่มิใช่ห้องนอน แต่คือห้องหนังสือของบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ที่สมบูรณ์แบบจนน่าสะพรึงกลัว ชั้นหนังสือไม้เนื้อดีสูงจรดเพดานตั้งตระหง่านอยู่เต็มผนังด้านหนึ่ง อัดแน่นไปด้วยม้วนตำราและหนังสือโบราณนับพันเล่ม ผนังอีกด้านประดับด้วยม้วนภาพวาดพู่กันลายเส้นอันวิจิตร กลางห้องมีโต๊ะยาวสำหรับเขียนอักษรซึ่งมีแท่นฝนหมึกและพู่กันวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ข้างหน้าต่างวงกลมที่มองเห็นเงาของต้นไผ่ไหวเอน มีกระดานหมากล้อมตั้งอยู่โดยที่ยังมีหมากสีดำและขาววางค้างไว้ และที่มุมห้องด้านในสุดมีพิณเจ็ดสายตัวหนึ่งวางอยู่บนแท่นไม้สลักอย่างเงียบสงบ

          ทุกสิ่งในห้องนี้ล้วนบ่งบอกถึงรสนิยมอันสูงส่งของบัณฑิต มันคือสถานที่แห่งปัญญาและความสงบ ทว่าสำหรับมู่ตานแล้วความสงบนี้กลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเสียงกู่ร้องในสนามรบ

          นี่คือรังของพญาเหยี่ยวที่ใช้ปัญญาแทนศาสตรา ใช้เล่ห์กลแทนคมดาบอย่างแท้จริง

          และเขาก็อยู่ที่นั่น...

          อิงเฟิงนั่งขัดสมาธิอย่างสงบบนเบาะรองนั่งเคียงข้างกระดานหมากล้อม เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีฟ้าอ่อนที่เรียบง่ายแต่ดูสะอาดตา ผมยาวสีดำขลับของเขาถูกรวบขึ้นด้วยกวานหยกชิ้นเล็ก ๆ เผยให้เห็นลำคอที่ระหง ในมือของเขาถือถ้วยชาอุ่น ๆ

          แสงไฟจากโคมสีนวลสาดต้องใบหน้าอันหล่อเหลาขับเน้นให้เขาดูอ่อนโยนงดงามราวกับบัณฑิตลือนามที่หลุดออกมาจากม้วนภาพ มิใช่หนึ่งในผู้พิชิตที่เพิ่งทำลายนครของนาง

         เขาเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชาเมื่อนางขยับกายเข้ามา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ อันอบอุ่น

          “เชิญนั่งก่อนสิองค์หญิง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม

          มู่ตานค่อย ๆ ทอดกายนั่งลงบนเบาะรองนั่งฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากล้อม รักษาระยะห่างระหว่างคนทั้งสองไว้

          ท่วงท่าของอิงเฟิงสง่างาม เขารินชาจากกาใบเล็กที่ตั้งอยู่บนเตาอุ่นใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบใบจิ๋วอีกใบหนึ่ง แล้วค่อย ๆ เลื่อนมันข้ามกระดานหมากล้อมมาตรงหน้านาง

          “ลองชิมดูสิ นี่คือชาเมฆาขาวยอดเขาจากแคว้นทางใต้ ว่ากันว่าช่วยให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงได้"

          มู่ตานมองไอร้อนที่ลอยกรุ่นจากถ้วยชานั้นนิ่ง นางไม่รู้ว่ามันมียาพิษหรือไม่ แต่นางก็รู้ดีว่าการปฏิเสธในยามนี้คือการเดินหมากที่โง่เขลาที่สุด นางจึงค่อย ๆ ประคองถ้วยชาขึ้นมาจรดริมฝีปากเพียงแผ่วเบา

          “ชาดี” นางกล่าวชมตามมารยาท

          “ข้าดีใจที่ท่านชอบ” เขายิ้ม “คนเราเมื่อจิตใจสงบดุจผิวน้ำ ก็จะสามารถมองเห็นหมากบนกระดานได้ชัดเจนขึ้น” เขาพยักพเยิดไปยังกระดานหมากล้อม “ท่านหญิงพอจะเดินหมากเป็นหรือไม่”

          “เคยร่ำเรียนมาบ้าง”

          “ดีเลย ข้ากำลังเดินหมากกับตนเองค้างไว้อยู่พอดี แต่การประลองกับเงาของตนเองนั้นน่าเบื่อยิ่งนัก เพราะเราย่อมรู้ทันหมากตาต่อไปของตนเองเสมอ” เขามองลึกเข้ามาในดวงตาของนาง “แต่การประลองกับผู้อื่นนั้นน่าสนใจกว่ามาก เพราะเราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าในใจของพวกเขาซ่อนเร้นสิ่งใดอยู่”

          หัวใจของมู่ตานกระตุกวูบ...

          “ท่านหญิงอยากจะลองเดินหมากขาวต่อจากข้าหรือไม่” เขาเชื้อเชิญ

          นี่คือการทดสอบ การประลองปัญญาครั้งแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

          นางทอดสายตามองดูกระดานเบื้องหน้า สถานการณ์ของหมากสีขาวกำลังตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ถูกวงล้อมของหมากดำบีบรัดไว้เกือบทุกทิศทางมิต่างอันใดจากชะตากรรมของนางในยามนี้

          นางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อย ๆ คีบหมากสีขาวเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้ววางลงบนจุดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด เป็นการเดินหมากที่เสี่ยงและท้าทายอย่างยิ่ง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 3

    เขาช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้ววางลงบนตั่งเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าที่เปราะบางที่สุด เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะแพรหนานุ่ม มู่ตานก็ปลดเปลื้องความแข็งกร้าวทิ้งไป เหลือไว้เพียงจริตมารยาที่นางจงใจปรุงแต่งขึ้นมาลวงล่อ นางปรือตาขึ้นมองพญาอินทรีย์ด้วยแววตาที่ฉ่ำหวานระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจสั่นพร่ายามที่อิงเฟิงโน้มกายลงมาทาบทับ “ท่านช่างงดงามจนข้ามิอาจละสายตา” เสียงกระซิบของเขาพร่าเลือนชิดใบหู ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะเริ่มประทับตราลงบนซอกคอขาวผ่อง มันมิใช่การขบกัดที่ดุดัน แต่เป็นการดูดดึงและเล็มเลียอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นของเขาตวัดไล้ไปตามชีพจรที่เต้นตุบ ๆ ของนาง ลากไล้ต่ำลงมายังเนินอกอวบอิ่ม “อื้อ...ท่านอิงเฟ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 2

    พวกเขาเดินหมากกันไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปหลายสิบตามีเพียงเสียงหมากกระทบกระดานไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ บรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งแม่ทัพสองนายกำลังบัญชาการรบอยู่ในกระโจมกลางสมรภูมิ จนกระทั่งมู่ตานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางวางหมากดำเม็ดหนึ่งลงไปในตำแหน่งที่ดูประหนึ่งการฆ่าตัวตาย เป็นการเดินหมากที่บุกทะลวงเข้าไปในใจกลางวงล้อมศัตรูอย่างหุนหันพลันแล่น แววตาของอิงเฟิงทอประกายวูบหนึ่ง “เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญยิ่งนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน การบุกทะลวงเข้าไปในแดนศัตรูโดยไร้ทัพหนุนเปรียบเสมือนการส่งทหารไปตายโดยเปล่าประโยชน์” “บางครา...” มู่ตานตอบกลับเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาน “การสร้างความปั่นป่วนในใจกลางทัพของศัตรู แม้จักต้องสูญเสียไพร่พลไปบ้าง ก็อาจจะสามารถเปิดช่องทางรอดใหม่ที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนได้”&n

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 1

    ความมืดมิดและความเงียบงันภายในเรือนไผ่เร้นนั้นหนักอึ้งดุจผืนผ้ากำมะหยี่สีนิลที่กดทับลงมาบนร่างระหง แสงเทียนไขบนโต๊ะเตี้ยสั่นไหววูบวาบทุกคราที่สายลมหนาวเล็ดลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามา ส่งผลให้เงาของนางที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่งไม้ทอดยาวบิดเบี้ยวไปบนผนัง ราวกับเป็นเงาของภูตพรายที่กำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่ง มู่ตานนั่งอยู่ในท่วงท่านี้มานานนับชั่วยามแล้ว นานจนร่างกายเริ่มชาหนึบ ทว่าสติสัมปชัญญะกลับตื่นตัวและเฉียบคมถึงขีดสุด ในห้วงความคิด นางกำลังซ้อมรบในสมรภูมิแห่งวาจา ทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินตนาการถึงทุกหมากที่พญาเหยี่ยวอาจจะเดิน เตรียมถ้อยคำโต้ตอบสำหรับทุกคำถามที่เขาอาจจะเอ่ย และตอกย้ำปณิธานของตนให้แข็งแกร่งดุจกำแพงเมืองที่หล่อหลอมจากเหล็กกล้า นางจักมิยอมให้มายาภาพจากราตรีก่อนกลับมาบดบังสติปัญญาได้อีก นางรู้แจ้งแก่ใจว่าความอ่อนโยนนั้นเป็นเพ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 12 กระดานหมากชี้ชะตา 2

    จุดอ่อนของเขายังไม่ปรากฏแน่ชัด เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเพียงเอาชนะพี่ชาย หรือเขามีความรู้สึกเสน่หาต่อนางจริง ๆ หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวงซ้อนกลเพื่อเป้าหมายอื่นที่นางยังมองไม่เห็น ความไม่รู้นี้เปรียบเสมือนการเดินปิดตาอยู่ริมหน้าผา ‘ต้องระวังตัวให้ถึงที่สุด...’ นางย้ำเตือนตนเอง ‘ต้องไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริง ต้องเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนเล่ห์เหลี่ยมของเขากลับไป ต้องเร่งค้นหาเจตจำนงที่แท้จริงของเขาให้พบ และที่สำคัญที่สุด ต้องก่อกำแพงปกป้องสติของตนให้แข็งแกร่ง อย่าได้หลงกลไปกับความสะดวกสบายและความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาหยิบยื่นให้ จงตระหนักเสมอว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคือยาพิษรสหวาน ที่มุ่งหมายจะกัดกร่อนเขี้ยวเล็บและความระแวดระวังของนางให้ทื่อลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นคมดาบที่สังหารนางได้เลือดเย็นกว่าพละกำลังของหลี่เฉียงเสียอีก’ และท้ายที่สุด หมากสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่วางอย

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 12 กระดานหมากชี้ชะตา 1

    การเดินทางกลับจากเรือนของหลี่เฉียงในรุ่งอรุณครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แม้ร่างกายทุกส่วนจะยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระบมไม่ต่างกัน แต่จิตใจของนางนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มู่ตานก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่เย็นเฉียบด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและสงบนิ่ง นางไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนอีกต่อไป แต่กลับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นไหว สายลมยามเช้าที่พัดมาปะทะร่างทำให้ชายแขนเสื้อที่กว้างของนางปลิวไสวไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ข้อมือ ร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่บัดนี้นางมองมันไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ของความอัปยศ แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความแค้นที่ต้องชำระ นางสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นอย่างน่าประหลาด นางเห็นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำการณ์อยู่ไกล ๆ ที่มองมายังนางเปลี่ยนไป ความเหยียดหยามในวันแรก ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและอาจจะมีความ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 11 พายุที่หวนคืน 2

    ทว่าเนิ่นนานไปขณะที่เขายังคงครอบครองเรือนร่างอันอ่อนระทวยนั้น โทสะที่เคยลุกโชนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น ความอยากเอาชนะเริ่มจางหาย เหลือเพียงความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่มืดมิดและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว สติสัมปชัญญะของแม่ทัพผู้ต้องการเอาชนะกำลังถูกกลืนกินโดยสัญชาตญาณของบุรุษ เขาลืมเลือนการต่อสู้ ลืมเลือนกำแพงที่นางสร้าง รับรู้เพียงความนุ่มลื่นของผิวเนื้อภายใต้ฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ ของนางที่ผสมกับกลิ่นสุรา และร่างกายที่ตอบสนองเขาอย่างไม่เต็มใจ จังหวะของเขาเริ่มเปลี่ยนไป จากการลงทัณฑ์ที่เกรี้ยวกราดกลายเป็นการแสวงหาที่ลึกซึ้งและไม่รู้จักพอ มู่ตานผู้ซึ่งบัดนี้เป้าหมายได้เปลี่ยนไปแล้วไม่ได้พยายามจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่นางกำลังเฝ้ารอ อดทนรอคอยให้พายุลูกนี้พัดผ่านไป&n

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status