ก๊อก ก๊อก ก๊อก... ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
“แมน...” วินตาเอ่ยชื่อคนที่เธอคาดเดาไว้ พลันความรู้สึกกลัวก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศอันน่าหวาดวิตก หากชายหนุ่มกลับมาแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ ก็คงจะกลับมาถึงด้วยเช่นกัน เธอจะปล่อยให้พวกนั้นเห็นเธอในสภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาด “พี่วินนี่ ริลอยู่นั่นไหม?” “รำคาญว่ะ” จาริลบ่นงึมงำขณะโยกสะโพกดันบั้นท้ายของวินตาอย่างเพลิดเพลินไม่สนใจสิ่งใด หากแต่เจ้าของเรือนร่างที่บอบช้ำกำลังร้อนรนและหวาดกลัว หากอีกฝ่ายที่อยู่ข้างนอกนั่นเปิดประตูเข้ามาเห็น เธอกับจาริลจะอธิบายเจ้าพวกนั้นว่าอย่างไร เพราะเรื่องมันน่าอายเกินกว่าจะอธิบายได้ วินตาจึงไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใครทั้งสิ้น ขอเพียงแค่ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้เพียงเท่านั้นมันก็ดีพอแล้วสำหรับเรื่องแย่ที่ เกิดขึ้น โชคดีที่จาริลเงียบไม่สนใจสิ่งใดนอกจากการกระทำของตน หากอีกฝ่ายเผลอพูดสิ่งใดที่ไม่สมควรออกมาในยามนี้ล่ะก็ พวกเธอทั้งคู่อาจตกที่นั่งลำบาก “... แมน” “เรียกชื่อใครกัน... ครางต่อสิ หยุดทำไม...” จาริลบ่นเสียงเบาพร้อมกับกลั่นแกล้งร่างบางด้วยการบีบยอดอกทั้งสองข้าง และมันเรียกเสียงครางหวิวจากวินตาได้ผลเป็นอย่างดี “อะ” “พี่วินนี่?” “อ๊ะ แมนอย่าเข้ามานะ!” “ทำไมล่ะครับ?” “ริลอยู่กับเรา เขาหลับไปแล้ว” “นั่นร้องไห้เหรอ เสียงฟังดูไม่ค่อยดีเลย” “ชะ ใช่ เราทะเลาะกับริลน่ะ" “แล้วริลเขา...” “เขา... เขาเมา หลับแล้ว ให้เขานอนที่นี่นะ” “เอางั้นก็ได้” อีกฝ่ายจากไปแล้ว ไปตามความต้องการของวินตา ถ้าหากเธอยอมอับอายต่อหน้ารุ่นน้อง เธอก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ต่อไปหรอก วินตาหันไปมองใบหน้าของจาริลด้านหลังแล้วภาพทุกอย่างก็เริ่มพร่ามัว... นี่เธอกำลังจะร้องไห้อีกแล้วหรือ หญิงสาวหันกลับมาซุกใบหน้าลงกับหมอนแล้วร้องไห้เสียงแผ่วเบา ในหัวมีแต่เพียงความเจ็บปวดในคํ่าคืนนี้จนไม่อาจหยุดยั้งความเสียใจที่เข้าเล่นงานตนเองได้ และมันจะกลายเป็นความทรงจำที่ทำให้เธอเจ็บปวดไปอีกนานแสนนาน ถ้าวันพรุ่งนี้จาริลตื่นขึ้นมาพบเธอ อีกฝ่ายจะเสียใจเหมือนที่เธอเสียใจหรือเปล่า? ถ้าวันพรุ่งนี้เธอตื่นขึ้นมาพบจาริล เธอจะยอมอภัยให้อีกฝ่ายได้ไหม? วินตายังไม่รู้คำตอบ เธอรู้เพียงว่าถ้าวันพรุ่งนี้มาถึง ความสัมพันธ์ของเธอกับจาริลจะไม่มีวันเหมือนเดิม “ริล! พี่วินนี่! นี่! ตื่นกันยังงงงง ออกมากินข้าว!” “ริล! พี่วินนี่!” “ริล!!” “ริล!!!” “ฮื่อออ” ชายหนุ่มถอนลมหายใจร้อนออกมาเมื่อถูกรบกวนการนอนหลับ แท้จริงแล้วร่างสูงยังต้องการนอนต่ออีกสักพัก แต่เพราะเสียงเรียกที่หน้าประตูห้องนอนเป็นดั่งนาฬิกาปลุกอย่างดีให้กับคนที่หัดนอนตื่นเช้าอย่างเป็นนิจทว่าวันนี้กลับตื่นสายกว่าทุกวัน จาริลจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่ทันทีที่ทำเช่นนั้นร่างสูงก็ถึงกลับล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลางยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้าง ศีรษะของเขาปวดตุบจนทำให้ลืมตา แทบไม่ขึ้น แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังพยายามหย่อนกายลงจากเตียงนอนจนสำเร็จ ทว่าทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสลงบนพื้นห้อง วัตถุแหลมคมขนาดเล็กก็ทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วของเขาจนต้องรีบชักเท้ากลับ จาริลหลุบตามองพื้นห้องในยามนี้ก็ให้รู้สึกแปลกใจ ก่อนจะเกิดความสงสัย เมื่อคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้น และทำไมเขามาอยู่ในห้องนอนของรุ่นพี่ที่มีสภาพเละเทะแบบนี้ สายตาของจาริลเลื่อนมองไปไกลมากขึ้นพลันพบกับเสื้อแจ๊กเก็ตที่ถูกถอดทิ้งไว้ เขาจำได้ทันทีว่านั่นเป็นเสื้อของใคร ชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นยืนและวินาทีนั้นเจ้าตัวก็พบว่าร่างกายของตนเองเปลือยเปล่า มิหนำซ้ำบางส่วนบนร่างกายยังเปรอะเปื้อนคราบอสุจิและคราบเลือด นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!! จาริลหันกลับไปมองด้านหลังบนเตียงนอนของรุ่นพี่แล้วพบกับร่างที่กำลังนอนหลับ ทว่า... ร่างเปลือยเปล่าของรุ่นพี่... เติมไปด้วยรอยจูบสีกลีบกุหลาบและคราบของเหลวขุ่น “พี่วินนี่...” จาริลครางชื่อนั้นออกมาด้วยความรู้สึกที่แสนหนักอึ้ง นัยน์ตาเบิกกว้างขณะมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย และในบรรดาความรู้สึกทั้งหมดนั้นมีเพียง ความรู้สึกเดียวที่ชัดเจนมากที่สุดในยามนี้ กลัว คำที่เข้าใจได้ง่ายแต่กลับยากที่จะเผชิญผ่าน นาทีนี้จาริลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาควรจะทำเช่นไร เขาไม่รู้... ไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองมีอะไรกับรุ่นพี่ “ข้างในนั้นตื่นกันรึยังฮะ!?” “ริล! พี่วินนี่! เปิดประตูหน่อย!” เสียงร้องเรียกที่บ่งบอกความร้อนรนใจของคนด้านนอกทำให้คนด้านในสะดุ้งตัวตกใจขึ้นทันที ชายหนุ่มกระวนกระวายใจอย่างหนัก เขาพยายามคิดแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้แต่ก็คิดอะไรไม่ออกนอกเสียจากรีบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าตัวเดิมที่ถูกถอดกระจัดกระจายไว้รอบเตียง ก่อนจะรีบกลับมาหยุดยืนข้างเตียงนอนของรุ่นพี่ที่เคารพรักมากที่สุดในบ้าน เรือนร่างที่บอบช้ำของวินตาเป็นเครื่องตอกย้ำความผิดพลาดให้แก่จาริลได้เป็นอย่างดี ถ้าหากเมื่อคืนก่อนเขาจะมิสติมากกว่านี้ เขาก็คงไม่พลั้งเผลอทำร้ายรุ่นพี่ได้ถึงขั้นนี้หรอก หญิงสาวที่เคยสดใสงดงามกลับแลดูบอบช้ำจนคนมองอยากเร่งหาหนทางรักษา เขาตรวจมองบริเวณขาของรุ่นพี่ที่มีบาดแผลจากเศษแก้ว ไหนจะคราบเลือดแห้งเกรอะกรังตามแนวขาที่อธิบายได้อย่างชัดเจนว่ารอยเลือดมากมายที่เปื้อนอยู่บนผ้าปูที่นอนเป็นวงกว้างนั้นเกิดจากการกระทำใด จาริลต้องกลั้นน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดเอาไว้ ก่อนจะหยิบผ้าห่มสะบัดออกแล้วคลุมร่างนั้นตั้งแต่บริเวณคอจรดปลายเท้า ปิดบังทุกพื้นที่ของเตียงนอนไม่ให้เห็นร่องรอยใดใดอันเกิดจากการกระทำของเขา เขาละสายตาจากภาพใบหน้าอิดโรยของรุ่นพี่มาอย่างเชื่องช้า ในขณะที่เท้าทั้งสองข้างค่อยๆ ก้าวเดินไปเปิดประตูห้องอย่างฝืนใจ ไม่อยากเปิดมัน ไม่พร้อมจะเจอะเจอใคร ได้โปรด... ขออย่าให้เขาต้องอธิบายอะไรตอนนี้เลย แก๊ก... เมื่อบานประตูถูกเปิดออก สมาชิกอีกคนหนึ่งในบ้านผู้มายืนรออยู่นานแล้วก็ชะงักปากที่คอยพรํ่าเพรียกหา แมน แม้นเมือง ดันไหล่เพื่อนของเขาให้หลีกทางก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วแล้วค่อยชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าข้างเตียงนอนของรุ่นพี่คนสนิทมีข้าวของตกลงมาและพื้นห้องก็เติมไปด้วยเศษกระจกจากกรอบรูปที่แตกเป็นเสี่ยง เพียงเท่านั้นฝ่าเท้าของเขาก็หยุดชะงักลงทันที แม้นเมืองหันไปมองจาริลเป็นเชิงถาม แต่ใบหน้าของจาริลที่ดูช็อกในเหตุการณ์ไม่แตกต่างจากเขากลับไม่ให้คำตอบใด แม้นเมืองยอมติดค้างเรื่องของจาริลไว้เพื่อรอฟังคำอธิบายในภายหลัง เขาตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง โชคดีที่แม้นเมืองไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติใดใดเกี่ยวกับวินตา ทำให้คนที่ชำเลืองมองอยู่ด้านหลังรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่ไม่ถูกจับได้ จาริลรีบกลับไปแต่งตัวให้กับวินนี่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เสร็จแล้วจึงเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่ตามพื้นห้องต่อด้วยจัดข้าวของทุกอย่างให้เข้าที่ของมัน ตามด้วยจัดการกับความรู้สึกตัวเองเป็นสิ่งสุดท้าย ความกลัวต่อเหตุการณ์เมื่อคืนนี้นั้นหนักหนาสาหัสราวกับเขาได้ฆ่าคนตาย เขาไม่สามารถหยุดความกลัวในตอนนี้ได้ และก็มั่นใจว่าจะหยุดมันไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับรุ่นพี่อีกครั้ง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วนอกเสียจากขอโทษอย่างไร้ซึ่งความเชื่อมั่น เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะได้รับการให้อภัย ในเมื่อเขาทำสิ่งที่ผิดต่อรุ่นพี่มากเหลือเกิน “พี่วินนี่...” เขาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างเตียงอย่างอ่อนแรง แววตาแห่งความเจ็บปวดจ้องมองใบหน้าของคนที่นอนสงบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าตนเองอยากเห็นอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเร็วๆ หรือไม่ นาทีนี้เขาไม่มีสิ่งใดมาแทรกแซงความรู้สึกผิดและความรู้สึกกลัวทั้งสิ้น เขาไม่ยอมขยับกายไปไหน เอาแต่นั่งเหม่อมองใบหน้าของรุ่นพี่อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งแม้นเมืองที่เดินกลับมาตามสมาชิกในวงของตนอีกครั้งถึงกับเอะใจในท่าทางของจาริลที่แปลกไปจากทุกที เขาเข้ามาเรียกจาริลที่เอาแต่นั่งเหม่อมองวินตาที่กำลังหลับใหล “ริล” ใบหน้าเศร้าไม่ยอมหันมองมา ทำให้แม้นเมืองตัดสินใจไม่ถามอะไรในตอนนี้ เขายื่นมือไปแตะเบาๆ บนไหล่ของอีกคนเพื่อดึงสติอีกฝ่ายแทน “มึงไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันปลุกพี่วินนี่เอง เมื่อคืนพี่วินนี่คงเหนื่อยมาก” ‘พี่วินนี่คงเหนื่อยมาก’ เป็นคำพูดที่ทำให้จาริลหันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่โดยพลัน แม้นเมืองประสานสายตากับอีกฝ่ายในตอนนั้น นึกเห็นใจทั้งคู่ที่มีเรื่องทะเลาะกันเมื่อคืนก่อนจนต้องนอนเอาดึกดื่น เพราะได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ารุ่นพี่ของเขากำลังร้องไห้ เขาจึงไม่เรียกตัวเพื่อนของเขากลับไปเพื่อปล่อยให้คนทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน ถึงอยากจะรู้เรี่องราวเบื้องลึกมากกว่านี้แต่แม้นเมืองก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะเอ่ยถาม สังเกตจากสีหน้าของจาริลก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกผิดและยังคงกังวลอยู่มาก ส่วนรุ่นพี่ก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย ยามนี้ใบหน้าของวินตาขาวซีดราวกับกระดาษ และสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะจาริล “นี่ยังเคลียร์กันไม่จบอีกเหรอ ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องแบบนั้น” จาริลไม่ตอบคำถามแม้นเมือง เพราะหวังว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าใจคำตอบ เขาจะเคลียร์ปัญหานี้ได้อย่างไรหากรุ่นพี่ยังไม่ฟื้น และเขาก็ไม่กล้าปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นมาด้วย เขากลัว... กลัวเหลือเกิน... “ถ้ามึงทำอะไรไม่ดีกับพี่เขา ก็แค่ขอโทษและไม่ทำมันอีก พี่วินนี่ใจดีจะตาย ทำไมเขาจะไม่ให้อภัยล่ะจริงไหม กูไม่รู้หรอกนะว่าตอนเมามึงทำอะไรลงไปบ้าง แต่เขาต้องเป็นห่วงมึงมากแน่ๆ” “พี่วินนี่จะมาห่วงกูทำไม กูไม่ควรให้เขาห่วงด้วยซ้ำ” “นั้นสินะ เราก็โตๆ กันแล้วแท้ๆ ไม่สมควรทำเรี่องให้ใครต้องเป็นห่วง” “กูขอโทษ...” “ค่อยพูดตอนเขาตื่นมาเถอะ แล้วก็เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ เพราะเราจะคุยกับมึงเรื่องเมื่อคืนนี้" แม้นเมืองหันกลับไปมองร่างบนเตียงด้วยสีหน้าที่แสดงความเครียดเล็กน้อย เห็นใบหน้าซีดเซียวเช่นนั้นก็พาลไม่อยากปลุกอีกคนให้ตื่นขึ้นมาในตอนนี้ด้วยเป็นห่วง อยากให้นอนพักต่ออีกสักหน่อย สงสัยเมื่อคืนที่ทะเลาะกับจาริลคงจะหนักมากแน่ๆ คิดแล้วก็หันไปมองใครอีกคนอย่างคาดโทษ คนที่ทำความผิดด้วยการหนีซ้อมไปดื่มเหล้าแล้วยังเมากลับมาก่อเรื่องทะเลาะกับรุ่นพี่ร่วมค่ายอีกหนึ่งกระทง ด้วยนิสัยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเครื่องดื่มมึนเมาอยู่แล้วของแม้นเมือง ทำให้เขาอดรู้สึกแย่ต่อจาริลไม่ได้ ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่รู้สึกแย่ เขาเชื่อว่าหากเพื่อนอีกสองคนมาเห็นสภาพรุ่นพี่ตอนนี้ก็คงรู้สึกแย่เช่นเดียวกัน “แล้วจะยืนอยู่ทำไม กลับห้องมึงไปได้แล้ว” “คือ... กูอยากรอให้พี่วินนี่ตื่นมาก่อน ถ้าไม่ได้ขอโทษเขาเช้านี้กูทำอะไรต่อไปไม่ได้แน่ ขอกูอยู่กับพี่วินนี่ตามลำพังได้ไหมวะ” จาริลเอ่ยขออย่างจนใจ เมื่อการรอคอยไม่ช่วยให้ใจสงบลงเลย เช่นนั้นเขาคงต้องเผชิญหน้ากับความกลัวครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้า แต่ก็นั้นแหละ เขาหนีมันได้ที่ไหน “ให้พี่วินนี่นอนต่ออีกห้านาทีแล้วค่อยปลุกเขานะ” แม้นเมืองกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกจากห้องไปรวมตัวกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่วินาทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ฝ่าเท้าของเขาก็ชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกหา จาริลเกือบจะเรียกแม้นเมืองไว้ไม่ทัน “เดี๋ยวก่อนแมน” “ว่าไง?” เจ้าของชื่อเหลียวหลังไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลางหันมาสบตากับเขา จาริลยังคงความรู้สึกผิดไว้บนใบหน้าดังเดิมไม่จางหาย ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยคำถาม ก่อนจะรู้สึกละอายใจในตนเองเป็นที่สุด “ถ้าจะง้อพี่วินนี่ ต้องทำยังไง?” “เรื่องแค่นี้เอง ก็แค่คุยกันแบบจริงใจเหมือนที่มึงเคยทำไง” แม้นเมืองท้าวความไปถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่วินตาโกรธจาริลเกี่ยวกับคำพูดประโยคหนึ่งในขณะที่พวกเขากำลังร่วมงานเลี้ยงของบริษัท ครั้งนั้น หลังจากริลรู้ตัวว่าตนเป็นฝ่ายผิดและไม่สมควรใช้คำพูดด้วยอารมณ์ ชายหนุ่มก็เข้าไปปรับความเข้าใจกับรุ่นพี่ในภายหลัง “แต่นี่มันไม่เหมือนกัน” “มันจะต่างกันตรงไหน” แตกต่างสิ เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเคยทำร้ายรุ่นพี่ด้วยคำพูดที่ไม่คิดถึงจิตใจคนฟัง แต่กับคราวนี้ความผิดนั้นหนักหนาสาหัสนัก “มึงรู้จักพี่วินนี่มานานมากกว่ากูเพราะเข้าบริษัทมาฝึกเป็นศิลปินพร้อมๆ กัน มึงอาจจะรู้วิธีง้อพี่เขาให้สำเร็จก็ได้” “เอาจริงๆ กูก็ไม่รู้หรอกนะ เท่าที่รู้จักกันมา กูไม่เคยเห็นพี่วินนี่โกรธใครเลย” คำตอบที่ได้รับทำให้คนฟังก้มหน้ามองพื้นอย่างใช้ความคิด ทั้งที่อาการปวดหัวยังเข้าเล่นงานไม่จางหาย แต่ยามนี้คงไม่มีอะไรเล่นงานเขาได้ดีเท่ากับร่างที่นอนนิ่งบนเตียงนั้นอีกแล้ว จาริลได้แต่นั่งรอรับการลงโทษและคิดว่าบางทีรุ่นพี่อาจจะทำมากกว่าโกรธเขาก็เป็นได้ เขาอาจจะถูกเอาคืนด้วยการทำร้ายร่างกาย แต่ทั้งหมดนั้นเขาจะยอมรับ เขาจะไม่หลีกหนีมัน เขายอมทั้งหมดแล้ว ถ้ามันจะทำให้รุ่นพี่ยกโทษให้ เขาอยากบอกให้อีกฝ่ายรู้เหลือเกินว่าเขาเสียใจให้กับการกระทำของเขามากแค่ไหน “ถ้ามึงขอโทษวินนี่อย่างจริงใจ กูว่าเขาต้องให้อภัยมึงแน่” จาริลเดินตามไปปิดล็อคประตูห้องทันทีที่แม้นเมืองออกไปแล้ว เขาขังตัวเองให้อยู่กับวินตาแค่สองคนภายในห้องที่ไม่เหลือความทรงจำของเขาเลยสักนิด “พี่วินนี่คงไม่อยากคืนดีกับกูหรอก” แม้นเมือง มึงคิดผิดถนัดแล้วล่ะแม้นเมืองจากไปแล้ว แต่ชายที่ยังอยู่อีกหนึ่งคนกลับไม่ยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำ ชายหนุ่มไม่มีกระจิตกระใจจะออกไปทำงานด้วยซ้ำ ในหัวของเขายังมีแต่เรี่องที่ทำไว้กับรุ่นพี่จนไม่สามารถหยุดคิดได้จาริลลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงของวินตาที่ตั้งอยู่ติดฝาผนัง เขาต้องทำใจอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าปลุกอีกฝ่าย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความเงียบงันรุ่นพี่ยังคงหลับไม่ตื่นจนจาริลต้องเปล่งเสียงเรียกดังมากขึ้นกว่าเดิมก่อนที่เสียงเรียกชื่อนั้นจะเริ่มดังขึ้นเรี่อยๆ เมื่อร่างบางดูไม่มีทีท่าว่าจะตื่น“พี่วินนี่! พี่วินนี่! พี่วินนี่! ตื่นสิ พี่วินนี่!” จาริลร้อนใจจนต้องจับใบหน้าของรุ่นพี่เพื่อปลุกให้ได้สติฟื้นตื่น ทว่ารุ่นพี่กลับไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใดชายหนุ่มร้องไห้ น้ำเสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเรียกชื่ออีกคนมากเท่าไรแต่ฝ่ายนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจาริลจึงตัดสินใจตบแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวเพื่อปลุกอีกฝ่าย และการกระทำครั้งนี้ได้ผลวินตาลืมตาขึ้นเพราะสัมผัสจากฝ่ามือของจาริล“พี่วินนี่” จาริลเรียกชื่อของคนที่ทำให้ใจเขาเต้นแรงด้วยความกลัวอีกครั้ง นัยน์ตาจ้องมองใบหน้าของคนที่กุมชะต
ใบหน้านิ่งสงบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดของวินตาเป็นภาพเดียวที่อยู่ในสายตาของจาริลตอนนี้ ก่อนที่มันจะหายไปจากสายตาเมื่อร่างของเขาถูกฉุดกระชากด้วยแรงของใครคนหนึ่งทันทีที่ได้ให้คำตอบ“ผมไม่รู้ แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นยาตระกูลยาอีหรืออะไรเทือกๆ นั้น”“ว่าไงนะ!”เป็นเฮคเตอร์ที่กระชากไหล่ของจาริลอย่างแรงจนร่างนั้นเสียหลักเกือบผลัดตกจากเตียงหากไม่ได้แม้นเมืองดึงรั้งไว้วินตาจงใจให้จาริลสารภาพความจริงส่วนหนึ่งความจริงที่ทำเอาทุกคนต่างอึ้งและคาดไม่ถึงว่าเพื่อนของพวกเขาจะทำเช่นนั้น นอกเหนือจากเรื่องเหล้าเบียร์และบุหรี่ ยาเสพติดถือเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คิดแตะต้อง แต่นึกไม่ถึงว่าหนึ่งในสมาชิกของวงจะพลาดท่าให้กับยาเสพติดก่อนใครเพื่อน ความจริงที่ออกจากปากของจาริลได้สร้างความผิดหวังขึ้นในใจของทุกคน พวกเขาอยากจะตำหนิชายหนุ่มแต่เพราะเห็นแก่พี่สาวคนสำคัญของบ้านผู้เป็นคนเปิดประเด็นสนทนาครั้งนี้ ทุกคนจึงเลือกที่จะเงียบและรอให้รุ่นพี่เอ่ยต่อ แต่จาริลกลับใช้โอกาสนี้โพนทะนาความผิดของตนเองออกมาจน(เกือบ)หมด“ผมรู้สึกเซ็งก็เลยไปหาช่อที่ผับ พอเริ่มเมา ช่อก็ให้กินยาอะไรก็ไม่รู้ จนผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง ผม... ทำพี่วิ
หลังจากงานแฟนมีตติ้งจบสิ้นลง คํ่าคืนต่อมาศิลปินทุกคนก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขาดก็แต่จาริลกับวินนี่ที่มาสายจนทุกคนคิดว่าจะไม่ยอมมาตามนัดเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเป็นรุ่นพี่มาช้าก็เพราะมัวแต่นอนหลับเพลิน กว่ารุ่นน้องจะมาเรียกเธอหน้าห้องเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ฝ่ายรุ่นน้องทั้งที่ถูกสั่งให้เดินทางมาก่อนกลับไม่ยอมเชื่อฟัง จาริลเลือกที่จะรอรุ่นพี่ทั้งที่แต่ก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายที่สายจนทำให้รุ่นพี่ต้องรออยู่เสมอก็ตามแต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่รอใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ติดจะงัวเงียของหญิงสาวก้าวเดินออกมาจากห้องก่อนที่มันจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา“บอกว่าไม่ต้องรอไง” วินตาพูดเสียงกระแทกพร้อมกับเดินผ่านหน้ารุ่นน้องไปอย่างรวดเร็วจาริลถึงกับหน้าเสียก่อนที่เขาจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปใกล้ๆ ชนิดก้าวต่อก้าว เขาลืมกฎที่ต้องห่างกันสองเมตรไปชั่วคราว และผลของการเดินเข้ามาถึงร้านอาหารช้าเป็นสองคนสุดท้ายก็ทำให้ที่ว่างสองที่ที่เหลืออยู่เป็นของวินตากับจาริลอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่เฮคเตอร์ แม้นเมือง นั่งตรงข้ามกับวินตาและจาริล ถัดด้วยศิลปินคนอื่นๆ และเวียนมาบรรจบที่วิน
หลังจากงานแฟนมีตติ้งจบสิ้นลง คํ่าคืนต่อมาศิลปินทุกคนก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขาดก็แต่จาริลกับวินนี่ที่มาสายจนทุกคนคิดว่าจะไม่ยอมมาตามนัดเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเป็นรุ่นพี่มาช้าก็เพราะมัวแต่นอนหลับเพลิน กว่ารุ่นน้องจะมาเรียกเธอหน้าห้องเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ฝ่ายรุ่นน้องทั้งที่ถูกสั่งให้เดินทางมาก่อนกลับไม่ยอมเชื่อฟัง จาริลเลือกที่จะรอรุ่นพี่ทั้งที่แต่ก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายที่สายจนทำให้รุ่นพี่ต้องรออยู่เสมอก็ตามแต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่รอใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ติดจะงัวเงียของหญิงสาวก้าวเดินออกมาจากห้องก่อนที่มันจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา“บอกว่าไม่ต้องรอไง” วินตาพูดเสียงกระแทกพร้อมกับเดินผ่านหน้ารุ่นน้องไปอย่างรวดเร็วจาริลถึงกับหน้าเสียก่อนที่เขาจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปใกล้ๆ ชนิดก้าวต่อก้าว เขาลืมกฎที่ต้องห่างกันสองเมตรไปชั่วคราว และผลของการเดินเข้ามาถึงร้านอาหารช้าเป็นสองคนสุดท้ายก็ทำให้ที่ว่างสองที่ที่เหลืออยู่เป็นของวินตากับจาริลอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่เฮคเตอร์ แม้นเมือง นั่งตรงข้ามกับวินตาและจาริล ถัดด้วยศิลปินคนอื่นๆ และเวียนมาบรรจบท
“พี่จะใจร้ายกับผมได้ลงคอจริงๆ เหรอ”จาริลเอ่ยอย่างหมดความอดทน ในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อรุ่นพี่อีกต่อไปไม่ไหว ด้วยบทลงโทษที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายถอยห่างอีกฝ่ายไป เขาไม่อาจทนได้ และที่เขาแสร้งทำตัวคุกคามรุ่นพี่อยู่นี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายคิดเปลี่ยนใจหยุดการกระทำของตนซะ เพราะนอกจากเขาจะไม่ยอมเหินห่างอีกฝ่ายแล้ว เขายังพร้อมจะครอบครองอีกฝ่ายด้วย แต่เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้ารุ่นพี่ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ ถึงเวลานั้นเขาจะหยุดทุกอย่างและยอมแพ้แต่ไม่ใช่ในตอนนี้วินตาดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใต้ร่างหนอย่างยากและเหนื่อยกายแต่เธอก็ยังพยายาม เพราะหวังจะชนะอีกฝ่าย เธอไม่อยากเป็นคนที่ถูกเขาไล่ต้อน แม้เธอจะรังเกียจสัมผัสที่ได้จากร่างสูงเพียงใดแต่เธอก็จำต้องตอบรับมันและสนองกลับไปให้เหนือกว่าครู่ต่อมาจาริลก้มลงจูบบดเบียดริมฝีปากของวินตาอย่างรุนแรงมากกว่าในค่ำคืนที่ตนขาดสติ สัมผัสที่รุนแรงและเจ็บปวดนั้นได้ไปจุดชนวนความโกรธของวินตาจนเธอไม่สามารถหยุดการกระทำของตนได้เช่นเดียวกัน ยิ่งจาริลรุกล้ำและเก็บเกี่ยวความหวานจากโพรงปากของเธออย่างเนิ่นนานไม่รู้จักหยุด วินตาก็ล่งผ่านเรียวลิ้นแลกกับค
“...อืม” จาริลดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มเฝื่อนกับตัวเองพลางลุกมายืนข้างเตียงก่อนจะยกถาดวางแก้วน้ำและถ้วยข้าวต้มที่คนป่วยทานเหลือนำออกไปเก็บ แต่ไม่ทันที่ร่างสูงจะก้าวไปถึงจุดหมาย บานประตูห้องนอนก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมด้วยสมาชิกทุกคนของบ้านหลังนี้ วินตาหันไปมองเหล่าคนคุ้นเคยที่เดินกรูเข้ามาก็เริ่มรู้สึกกังวลใจ ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าใครเลยทั้งนั้น แต่ด้วยอาการป่วยของเธอคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกคนตามเข้ามานั่งห้อมล้อมอยู่ข้างเตียงแบบนี้ หญิงสาวเบนสายตากลับไปยังรุ่นน้องที่ชะโงกกายอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้จาริลก้าวเดินออกไปก่อน วินตาก็แค่ไม่อยากให้ใครเอะใจสงสัยหรือดึงจาริลเข้ามาอยู่ในวงสนทนาตอนนี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจความประสงค์ของเธอเลย เพราะพอเสร็จจากการนำภาชนะไปเก็บที่ห้องครัวแล้ว จาริลก็พาร่างของตัวเองกลับมาเผชิญหน้ากับเธอและทุกคนอีกครั้ง นั่นทำให้วินตายิ่งรู้สึกอึดอัดจนแทบไม่อยากเอ่ยคำพูดใดออกมาอีก แต่ก็นั่นแหละ คำโป้ปดของเธอ คงฟังดูเข้าท่ากว่าคำพูดของจาริลเป็นไหนๆ “นั่นไง ตัวการมาแล้ว รีบมาอธิบายเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อคืนนี้ให้พวกก
ศิลปินคนอื่นๆ ในค่ายเพลงของเธอต่างไล่ให้เธอกลับคอนโดในช่วงบ่าย จึงเหลือแค่วินตาและจาริลที่เดินทางกลับมาพักผ่อนก่อนคนอื่น วินตาคงจะยินดีหากเธอไม่ต้องเดินทางโดยมีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ใกล้ๆ นั่นเพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นคือรุ่นน้องร่วมค่ายอย่างจาริล เธอกลับรู้สึกต่อต้านหากก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากบอกตนเองว่าจะยอมให้รุ่นน้องได้แค่วันนี้เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับตารางงานของค่าย ถึงจะตะขิดตะขวงใจหรือยากเย็นเพียงใด เธอก็จะไม่ทำอะไรให้เกิดปัญหากระทบต่อการทำงานเด็ดขาด ในเมื่อทุกคนเข้าใจว่าเธอกับจาริลเพียงแค่ทะเลาะกันจนเกิดอุบัติเหตุ เธอก็ต้องแกล้งทำเป็นให้อภัยและกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับจาริลให้ได้ในที่สุด เพราะไม่อย่างนั้น ทุกคนก็จะเป็นห่วงและพลอยลำบากใจไปด้วย อีกทั้งเธอเองก็ไม่ได้ต้องการจะตัดขาดความสัมพันธ์กับจาริลอย่างแท้จริง เรื่องที่จะโกรธเกลียดจนไม่ให้อภัยกันไปตลอดทั้งชาตินั้นจึงเป็นไปไม่ได้ นับว่าเป็นโชคดีของจาริลนักที่ต่อให้ทำความผิดรุนแรงเอาไว้กับเธออย่างไรแต่ก็ยังได้รับการให้อภัย แต่ถึงแม้ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนั้น คนทำผิดอย่างจาริลก็ยังต้องได้รับผลกรรมที่ก่อไว้ แ
แค่อีกฝ่ายยังทนอยู่ใกล้กันก็ดีเท่าไร ขืนโลภมากไปกว่านี้เขาอาจไม่เหลือพื้นที่พอสำหรับตัวเองในโลกของพี่วินนี่เลยก็ได้ ในใจนั้นเอาแต่ภาวนาอย่างไม่เป็นผลว่า ‘อย่าทำแบบนี้กับผมเลยนะ’ แต่เทวดานางฟ้าตนใดจะมาให้พรกับคนเลวๆ อย่างเขา โดยเฉพาะกับคนเลวที่ทำร้ายนางฟ้าประจำกายของตัวเอง วินตาเปรียบเหมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวหรือถ้าพูดให้ไม่เวอร์ไปกว่านั้น คืออีกฝ่ายเปรียบเหมือนพี่สาวที่คอยทำให้เขามีความสุขยามอยู่ด้วยกัน เขาคงทำใจได้ยากถ้าจะต้องสูญเสียใครบางคนในรูปแบบที่คุ้นเคยจากไป หากนี่คือความใกล้ชิดที่อีกฝ่ายมอบให้ มันก็ไม่เพียงพอสำหรับเขาเลยสักนิด แม้อยากจะอ้อนวอนดูอีกครั้งแต่ก็คงจะไม่สำเร็จ ในเมื่อพี่สาวคนดีของเขาได้ลั่นวาจาออกมาแล้ว “ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูดกับพี่ พยายามอยู่ให้ห่างกันอย่างน้อยสองเมตร” “…….” “แต่ถ้าอยู่ด้วยกันกับทุกคน ก็ถือซะว่าพี่ไม่เคยพูดแบบนี้แล้วกัน” กลางดึกคืนนั้นวินตาและจาริลต่างเดินทางออกจากคอนโดเพื่อซ้อมการแสดงสำหรับงานมีตติ้งเป็นคืนสุดท้าย ทั้งสองคนขับรถแยกย้ายกันไปตามทางของตนเองโดยที่รุ่นน้องวงบอยแบนด์อย่างจาริลเดินทางไปรวมตัวกับสมาชิกในวงเพื่อทำการฝึกซ้อม ส่วนรุ่
เป็นเวลากว่าหลายอาทิตย์แล้วที่วินตาติดต่อกับรามิลโดยไม่มีใครรู้นอกเหนือจากจาริล เธอใช้เวลาว่างที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละวันแชทหาอีกฝ่าย บางคืนก่อนนอนหากยังไม่เหนื่อยล้าพวกเธอจะวิดีโอคอลหากันเพื่อบอกฝันดีให้ชื่นใจ เมื่อตื่นขึ้นมาเช้าวันใหม่เธอมักจะได้อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้กำลังใจว่า 'สู้ๆ' นั่นยิ่งทำให้วินตาเบิกบานใจจนอยากให้ทุกๆ วันเป็นแบบนี้ไปอีกนานตอนนี้พวกเธออยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และกำลังรอเรียกคิวไปสแตนด์บายหลังเวทีประกาศรางวัล ศิลปินจากค่ายของเธอที่ถูกเชิญมาร่วมงานจึงยังมีท่าทีผ่อนคลายและบ้างก็พูดคุยกันเงียบๆ บ้างอัพสตอรี่ไอจีหรือติ๊กต็อก ในขณะที่วินตาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อยี่สิบห้านาทีก่อนรามิลส่งข้อความตอบแชทของเธอ ข้อความที่เธอส่งไปหาเขานั้นเป็นการบอกเล่าให้รู้ว่าเธอกำลังจะขึ้นทำการแสดงบนเวทีประกาศรางวัล หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงนับจากข้อความนั้นถูกส่ง ชายหนุ่มก็ตอบข้อความกลับมาด้วยประโยคที่เธอไม่อาจคาดเดาน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เลย'ถ้ากลับมา เรามีเรี่องต้องคุยกัน'หัวใจของวินตาเต้นแรงเมื่อได้อ่านประโยคที่ไม่รู้ว่าผู้ส่งกำลังคิดหรือ
จาริลรู้สึกเหมือนถูกขัดใจอย่างรุนแรงและก็คิดว่าอีกไม่นานตนเองคงรู้สึกเหมือนถูกแย่งคนสำคัญในชีวิตไป ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นแต่เป็นคนสำคัญตรงหน้านี้“เดี๋ยวมานะ”“ไปไหน?”รามิลเงยหน้าขึ้นถามเมื่อน้องชายลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง ฝ่ายคนที่ไม่อยากอยู่เห็นฉากใกล้ชิดของทั้งคู่จึงเอ่ยตอบโดยไม่หันกลับไปมองทั้งสองคนบนโซฟาด้านหลังอีก“ไปหาแม่”ร่างสูงเดินจากมาเพื่อปล่อยให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาไม่ได้เดินไปหาคุณแม่อย่างที่พูดเมื่อฝ่าเท้ามันเดินไปยังห้องว่างอีกห้องหนึ่งที่ปัจจุบันนี้ถูกใช้ต่างห้องเก็บของ เขาบิดประตูแล้วผลักมันเข้าไปก่อนคลำหาสวิตซ์ไฟข้างฝาผนังเมื่อไฟกลางห้องส่องสว่างจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน เขาก็ตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือเป็นสิ่งแรก สองมือเลื่อนลิ้นชักโต๊ะออกมาจนสุดแล้วหยิบกล่องทรงลี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีมือออกมาก่อนจะเคาะมันลงสามครั้งบนก้านนิ้วชี้เพื่อให้วัตถุสารเสพติดที่อัดแท่งอยู่ในมวนกระดาษสีขาวไหลลงมาตามแรงเคาะ จากนั้นจึงนำมันขึ้นมาคาบไว้คาริมฝีปาก มือหยิบไฟแช็กที่วางอยู่ในลิ้นชักตรงนั้นขึ้นมาจุดเปลวไฟพร้อมกับป้องปากกันลมสองนิ้วเ
“ถ้าบอกว่าจะมาก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ แล้วคืนนี้เลิกงานไม่ดึกมากเราถึงได้มากันได้ไง” “ไม่ดึกอะไร ตอนนี้มันสี่ทุ่มแล้วนะ อย่างนี้วินนี่ก็อยู่ได้แค่แปบเดียวน่ะสิ" ร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้จาริลที่นึกหมั่นไส้พี่ชายตนเองอยู่เป็นทุนเดิมนั้นยื่นมือไปตบลงบนบ่าของพี่ชาย “ไม่ต้องเสียดายจ้า เพราะคืนนี้พวกเราจะนอนที่นี่” “จริงเหรอ?” “ใช่ ริลขออนุญาตคุณน้าแล้วด้วย”เมื่อเธอยิ้มมันก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มตามไปด้วย “น้าเตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ห้องนอนแขกอยู่ชั้นล่าง อาจจะรกไปหน่อยเพราะใช้เก็บของบางส่วนของสองคนนี้” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูนอนได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ให้มารบกวน” เมื่อคุณแม่ของลูกชายทั้งสองคนขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้พวกเด็กๆ อย่างเธอได้พูดคุยกัน ภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ห้องนั่งเล่นมีโซฟาตัวยาวแค่เพียงตัวเดียว จาริลจึงเสียสละนั่งลงบนพี้นแล้วให้รุ่นพี่กับพี่ชายนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ปกติแล้วจาริลไม่เคยยอมให้เพื่อนใกล้ชิดกับพี่ชาย วินตายังเคยถูกกีดกันให้ออกห่างจากรามิลมาแล้วเมื่อครั้งที่เคยเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่นี่ในปีก่อน แ
“แต่ผมน่ะไม่เคยคิดว่าพี่วินนี่น่าเบื่อเลยนะ” จู่ๆ ประโยคนี้ก็ดังขึ้นจากชายอีก คนที่นั่งอยู่บนเตียงด้านข้าง วินตาค่อยๆ หันไปยิ้มให้รุ่นน้อง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเพียงพูดเพื่อเอาใจเธอหรือเปล่า แต่ได้ยินแบบนั้นมันก็อดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ “หึ คงจะรักพี่วินนี่สินะ บอกด้วยนี่ว่าจะเดทกับพี่วินนี่” ประโยคนี้เฮคเตอร์เป็นคนพูด เขาฉวยร่างวินตาเข้าไปไว้ในอ้อมกอดอย่างหยอกล้อ “วินนี่เป็นของฉัน” “ไม่ให้หรอก เฮคบอกว่าเราน่าเบื่อ แถมยังลังเลบอกไม่เดทกับเราในตอนแรก ด้วย ไอ้คนพูดจากลับกลอก” วินตาขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเฮคเตอร์สำเร็จแล้วก็โผเข้าไปกอดร่างสูงอีกเตียงหนึ่งแทน ทำให้ร่างของจาริลเสียหลักล้มลงนอนบนเตียง นัยน์ตาทั้งสองคู่จ้องประสานกันจนบังเกิดความขวยเขินเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเรียกสติตนกลับมาได้ วินตาก็พลิกตัวลงนอนตามปกติจึงคล้ายว่าเธอนอนอยู่ระหว่างเฮคเตอร์และจาริล “จาริลระวังโดนแกล้งนะ” รุ่นพี่แร็ปเปอร์เตือนด้วยความหวังดี เขาล้มตัวลงนอนเล่นมือถือต่ออีกครั้ง ฝ่ายวินตาที่รู้สึกเหมือนถูกพาดพิงก็เอ่ยขึ้นในทันที “เราไม่ใช้มุกเดิมๆ หรอก ตราบใดที่เขาไม่กวนใจเรา เราก็ไม่ทำอะไร ห
“ถ้าบอกว่าจะมาก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ แล้วคืนนี้เลิกงานไม่ดึกมากเราถึงได้มากันได้ไง” “ไม่ดึกอะไร ตอนนี้มันสี่ทุ่มแล้วนะ อย่างนี้วินนี่ก็อยู่ได้แค่แปบเดียวน่ะสิ" ร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้จาริลที่นึกหมั่นไส้พี่ชายตนเองอยู่เป็นทุนเดิมนั้นยื่นมือไปตบลงบนบ่าของพี่ชาย “ไม่ต้องเสียดายจ้า เพราะคืนนี้พวกเราจะนอนที่นี่” “จริงเหรอ?” “ใช่ ริลขออนุญาตคุณน้าแล้วด้วย”เมื่อเธอยิ้มมันก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มตามไปด้วย “น้าเตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ห้องนอนแขกอยู่ชั้นล่าง อาจจะรกไปหน่อยเพราะใช้เก็บของบางส่วนของสองคนนี้” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูนอนได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ให้มารบกวน” เมื่อคุณแม่ของลูกชายทั้งสองคนขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้พวกเด็กๆ อย่างเธอได้พูดคุยกัน ภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ห้องนั่งเล่นมีโซฟาตัวยาวแค่เพียงตัวเดียว จาริลจึงเสียสละนั่งลงบนพี้นแล้วให้รุ่นพี่กับพี่ชายนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ปกติแล้วจาริลไม่เคยยอมให้เพื่อนใกล้ชิดกับพี่ชาย วินตายังเคยถูกกีดกันให้ออกห่างจากรามิลมาแล้วเมื่อครั้งที่เคยเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่นี่ในปีก่อน แต่ยามนี้ม
วันนี้พวกหนุ่มๆ มีถ่ายทำรายการที่ประเทศญี่ปุ่น วินตาในฐานะศิลปินเดี่ยวที่มีผลงานเพลงฟีตเจอริ่งกับทั้งสี่หนุ่มในอัลบั้มล่าสุดจึงได้ถูกรับเชิญไปด้วย การสัมภาษณ์ถามตอบในรายการเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากต้องอาศัยล่ามแปลภาษาตลอดระยะเวลาการถ่ายทำโดยในช่วงท้ายของรายการนั้นกลับเรียกรอยยิ้มจากทั้งห้าคนได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเธอแต่ละคนต้องผลัดกันออกมายืนด้านหน้าอีกคนที่กำลังยืนหันหลังให้ ระหว่างนั้นจะมีคำถามปรากฏขึ้นบนหน้ามอนิเตอร์ให้พวกเขาสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่วมกันตอบคำถามที่เกี่ยวกับสมาชิกคนนั้นคนแรกที่ถูกเลือกให้ออกมายืนด้านหน้าคือแม้นเมือง ตามด้วยอคิน และต่อมาก็คือเธอบุคลิกภาพของวินนี่?เฮคเตอร์ : น่าเบื่อเป็นคนยังไง?เฮคเตอร์ : ใจดี อ่อนไหวง่ายลักษณะนิสัยที่เจ้าตัวยังไม่รู้?จาริล : มีระยะห่างแม้นเมือง : ชอบที่มืดเฮคเตอร์ : ไม่เชื่อฟังจาริล : ทำให้คนอื่นผิดหวังเป็นคนที่คุณสามารถเดทด้วยได้?จาริล : ได้เฮคเตอร์/แม้นเมือง/อคิน : ไม่แต่แล้วเฮคเตอร์ก็เปลี่ยนใจใหม่เฮคเตอร์ : เดทได้ ผมเดทกับวินนี่ก็ได้สิ่งที่คุณหวังว่าเจ้าตัวจะเปลี่ยน?แม้นเมือง : ความประมาทเฮคเตอร
“นี่ พี่ไม่ได้คิดจริงจังถึงขั้นเป็นแฟนของรามิลแล้วแต่งเข้าบ้านน้องหรอกนะ ก็แค่อยากจะคุยกับมิลก็เท่านั้น แต่ถ้านายไม่เปิดโอกาสให้พี่คบกับมิล ก็ถือว่าเราจบกันแค่นี้” คำประกาศิตของวินตาทำให้อีกฝ่ายเหมือนถูกบังคับ จาริลต้องเลือกระหว่างความเห็นแก่ตัวของตนกับความปรารถนาของรุ่นพี่ ทั้งที่เขาไม่เคยอยากแนะนำพี่ชายของตนให้ใคร แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียความสัมพันธ์ของตนกับคนตรงหน้าไป เขาถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไหล่ทั้งสองห่อลงและคอตกด้วยท่าทางที่หงอยลงไปถนัดตา “น้องจะยอมไหม พี่จะนับถึงห้า หนึ่ง สอง สาม” “ก็ได้ครับ! ผมยอมเปิดทางให้พี่เข้าหามิลก็ได้ แต่ผมไม่รับประกันว่าจะได้คบรึเปล่า” “แค่ให้มิลเป็นคนตัดสินใจโดยไม่มีน้องมาเกี่ยวข้องก็พอ” “แล้วผมต้องทำยังไง?” “เอาเบอร์โทรของพี่ชายน้องมาให้พี่ แล้วที่เหลือพี่จะจัดการเอง” “นี่พี่จะจีบพี่ชายผมจริงๆ หรือทำเพื่อแก้แค้นผมกันแน่ พี่ก็รู้นี่ว่าเราไม่ถูกกัน ผมไม่เคยยอมให้คนใกล้ตัวไปสนิทสนมกับเขาหรอกนะ” “ฟังนะ พี่ไม่ได้ทำเพราะอยากจะแก้แค้น มันก็แค่ข้อแลกเปลี่ยน มีเรื่องหนึ่งที่พี่ไม่เคยบอกใคร คือมิลกับพี่เคยเจอกันมาก่อน พี่คิดว่าเข
หลังจากงานแฟนมีตติ้งจบสิ้นลง คํ่าคืนต่อมาศิลปินทุกคนก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขาดก็แต่จาริลกับวินนี่ที่มาสายจนทุกคนคิดว่าจะไม่ยอมมาตามนัดเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเป็นรุ่นพี่มาช้าก็เพราะมัวแต่นอนหลับเพลิน กว่ารุ่นน้องจะมาเรียกเธอหน้าห้องเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ฝ่ายรุ่นน้องทั้งที่ถูกสั่งให้เดินทางมาก่อนกลับไม่ยอมเชื่อฟัง จาริลเลือกที่จะรอรุ่นพี่ทั้งที่แต่ก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายที่สายจนทำให้รุ่นพี่ต้องรออยู่เสมอก็ตาม แต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่รอ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ติดจะงัวเงียของหญิงสาวก้าวเดินออกมาจากห้องก่อนที่มันจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา “บอกว่าไม่ต้องรอไง” วินตาพูดเสียงกระแทกพร้อมกับเดินผ่านหน้ารุ่นน้องไปอย่างรวดเร็ว จาริลถึงกับหน้าเสียก่อนที่เขาจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปใกล้ๆ ชนิดก้าวต่อก้าว เขาลืมกฎที่ต้องห่างกันสองเมตรไปชั่วคราว และผลของการเดินเข้ามาถึงร้านอาหารช้าเป็นสองคนสุดท้ายก็ทำให้ที่ว่างสองที่ที่เหลืออยู่เป็นของวินตากับจาริลอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่เฮคเตอร์ แม้นเมือง นั่งตรงข้ามกับวินตาและจาริล ถัดด้วยศิลปินคนอื่นๆ และเว
“ก่อนหน้านี้เห็นให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าอยากโฟกัสกับงานมากกว่า” คราวนี้เซร่าเพื่อนร่วมวงของรีเบคก้าและเป็นเจ้าของคำถามเมื่อครู่เอ่ยเสริม วินตาพยักหน้าช้าๆ “อื้ม ถ้าถามเราตอนนี้คำตอบก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ” “แล้วที่วงในเขาลือกันว่าวินนี่แอบกิ๊กกับรุ่นน้องร่วมค่ายล่ะ” “จาริล…” เป็นเธอเองที่เอ่ยพร้อมกับเผลอหันไปมองร่างสูงข้างกาย จาริลหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจ “ผมอะนะ?” วินตารีบเบือนใบหน้ากลับมาแล้วเริ่มอธิบายให้ทุกคนฟังในตอนนั้นอย่างเนิบช้าแต่ชัดเจน “ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนคิดว่าเรากับริลชอบกันหรือว่าแอบคบกันอยู่ ไม่รู้คนพวกนั้นเขาเห็นเคมีอะไรในตัวพวกเรา” “พี่วินนี่ดีเกินไปสำหรับคนอย่างผมครับ” “เนี่ย ริลมันหยอดสาวแบบนี้ หว่านเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว” เซร่าลงความเห็นพร้อมกับส่งยิ้มล้อเลียนอีกฝ่าย “ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าหว่านเสน่ห์หรอก เราไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ” จาริลหันไปจ้องมองคนข้างกายไม่วางตา เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดทีเล่นทีจริงจากรุ่นพี่เช่นนั้น “ไปแซวน้องมัน เดี๋ยวริลก็เสียเซลฟ์หรอก แล้ววินนี่ล่ะ ทำยังไงเวลาเจอคนที่ชอบเหรอจ๊ะ?” เซร่าได้ทีเอ่ยถามต่อโดยครั