แม้นเมืองจากไปแล้ว แต่ชายที่ยังอยู่อีกหนึ่งคนกลับไม่ยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำ ชายหนุ่มไม่มีกระจิตกระใจจะออกไปทำงานด้วยซ้ำ ในหัวของเขายังมีแต่เรี่องที่ทำไว้กับรุ่นพี่จนไม่สามารถหยุดคิดได้
จาริลลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงของวินตาที่ตั้งอยู่ติดฝาผนัง เขาต้องทำใจอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าปลุกอีกฝ่าย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความเงียบงัน รุ่นพี่ยังคงหลับไม่ตื่นจนจาริลต้องเปล่งเสียงเรียกดังมากขึ้นกว่าเดิมก่อนที่เสียงเรียกชื่อนั้นจะเริ่มดังขึ้นเรี่อยๆ เมื่อร่างบางดูไม่มีทีท่าว่าจะตื่น “พี่วินนี่! พี่วินนี่! พี่วินนี่! ตื่นสิ พี่วินนี่!” จาริลร้อนใจจนต้องจับใบหน้าของรุ่นพี่เพื่อปลุกให้ได้สติฟื้นตื่น ทว่ารุ่นพี่กลับไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ชายหนุ่มร้องไห้ น้ำเสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเรียกชื่ออีกคนมากเท่าไรแต่ฝ่ายนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจาริลจึงตัดสินใจตบแก้มทั้งสองข้างของ หญิงสาวเพื่อปลุกอีกฝ่าย และการกระทำครั้งนี้ได้ผล วินตาลืมตาขึ้นเพราะสัมผัสจากฝ่ามือของจาริล “พี่วินนี่” จาริลเรียกชื่อของคนที่ทำให้ใจเขาเต้นแรงด้วยความกลัวอีกครั้ง นัยน์ตาจ้องมองใบหน้าของคนที่กุมชะตาชีวิตของเขานับจากนี้ พลางคิดว่าตนเองคงทำสิ่งใดไม่ได้เลยนอกจากรอรับบทลงโทษสำหรับความผิดที่กระทำ “ผมขอโทษ ผมขอโทษครับพี่วินนี่” คำพูดประโยคนั้นทำให้วินตาร้องไห้ ร่างบางรีบเบือนสายตาไปมองที่อื่นแทนใบหน้าเศร้าของรุ่นน้องก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมามากกว่านี้ เธอไม่อยากเห็นหน้าจาริลเลยแม้แต่นิดเดียว “พี่วินนี่... ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมขอโทษ” “ไปซะ ออกไป” “พี่วินนี่...” “ออกไป” วินตาหันกลับไปสบสายตากับจาริลอีกครั้ง และครั้งนี้เธอเลือกที่จะไม่หลบเลี่ยงสายตาจากร่างสูง เธอเพียงอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอจะยิ่งเจ็บปวดแค่ไหน หากต้องทนเห็นหน้าอีกฝ่าย “พี่จะด่าผมยังไงก็ได้ จะตบตีผมผมก็ยอม ถ้ามันจะทำให้พี่ยกโทษให้ผม พี่ทำผมเลย ผมยอมทุกอย่าง” จาริลดึงแขนของวินตาใต้ผ้าห่มออกมาจับมันตบตีลงบนตัวของเขา แต่หญิงสาวกลับสะอื้นไห้หนักขึ้น นั่นยิ่งทำให้จาริลรู้สึกผิดจนร้องไห้ตามไม่หยุด มือหนาที่จับแขนของร่างบางไว้เปลี่ยนไปจับมือขาวซีดด้วยมือทั้งสองข้างเสมือนคนกำลังอ้อนวอน และจาริลกำลังทำเช่นนั้น เขาไม่สนว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นอย่างไร แม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับการให้อภัย แต่เขาก็ตั้งมั่นว่าจะไม่ทำให้รุ่นพี่เสียใจอีก “พี่พูดอะไรกับผมบ้างสิ” “ฮึก... ออกไปจาริล ออกไป...” “พี่วินนี่...” “ออกไปให้พ้น ออกไป!” วินนี่แผดเสียงและพยายามดึงมือของตนเองให้หลุดออกจากสองมือของรุ่นน้องแต่ก็ไม่สำเร็จ ในเมื่อเรี่ยวแรงทั้งหมดในยามนี้มันช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับตัวเธอในยามปกติ “อย่ามายุ่งกับพี่ เอามือของน้องออกไป” ได้ยินดังนั้นจาริลก็ยอมปล่อยมือออกจากวินตาทันที หากนี่เป็นสิ่งที่รุ่นพี่ต้องการ เขาจะทำให้ ถ้าไล่ให้เขาไปไกลๆ เขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามความต้องการของอีกฝ่าย ต้องทำถ้าไม่อยากถูกเกลียดไปมากกว่านี้ “ผมไปก็ได้ ผมขอโทษนะ ผมขอโทษจริงๆ” จาริลกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล เขาลุกขึ้นหันหลังปาดน้ำตาแล้วเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่เพราะยังห่วงสภาพร่างกายของรุ่นพี่เขาจึงหันไปถามอีกฝ่าย ร่างสูงไม่อยากด่วนตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปจนเผลอทำให้หญิงสาวไม่พอใจ เขาจึงเอ่ยถามวินตาขณะเปิดประตูห้องนอนทั้งที่ภายในใจนั้นยังไม่อยากก้าวออกจากห้องของอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ “พี่จะให้ผมทำแผลให้ไหม?” แต่วินตาไม่ให้คำตอบทั้งยังเบือนใบหน้าหนี ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จาริลเห็นรุ่นพี่ร้องไห้เสียใจถึงขนาดนี้ หรือบางทีเขาอาจจะเคยเห็น... แต่เขากลับจำมันไม่ได้... “พี่วินนี่... วันนี้หยุดเถอะ เดี๋ยวผมบอกทุกคนเอง” “บอกอะไร...” “บอกว่าพี่ป่วย พี่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะผมจะไม่ให้ใครรู้เรื่องของเรา” เพราะเรื่องราวเมื่อคืนนี้คือความทรงจำอันเลวร้ายของวินตา และเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของจาริล “อะ” ร่างหญิงสาวบิดเร้าด้วยความเจ็บปวดที่ปลุกเธอตื่นขึ้นจากนิทรา ทำไมถึงเจ็บแผลอย่างนี้ วินตาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองไปยังท่อนขาของตัวเองก่อนพบกับสาเหตุที่ทำให้ความเจ็บปวดกำเริบ มันเป็นเพราะจาริลที่บังอาจเอามือคู่นั้นมาทำแผลให้กับเธอ ไล่ออกไปแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะแอบเข้ามาตอนที่เธอหลับ น่าหงุดหงิดเหลือเกิน “ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ ผมพยายามทำให้เบามือมากแล้วจริงๆ ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้ทำแผลเสร็จแล้ว” วินนี่มองเห็นต้นขาของตัวเองที่พันด้วยผ้ายืดสีขาวเพียงครู่เดียวก่อนจะถูก แทนที่ด้วยขากางเกงบานที่จาริลดึงลงมาปิดบาดแผลนั้นไว้ทำให้เธอรู้สึกหายห่วงขึ้นมาบ้าง ทั้งที่จริงแล้วเธอแทบไม่สนใจกับบาดแผลเหล่านี้เลย เพราะตั้งแต่ที่เลือดหยุดไหล เธอก็ไม่สนใจความเจ็บปวดใดใดในร่างกายอีก “เสร็จแล้วก็ไปได้แล้ว จะนอน เปิดแอร์ให้ด้วย ร้อน” วินตารู้สึกครั่นเนี้อครั่นตัวไปหมด ใจจริงแล้วเธออยากจะอาบน้ำเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ติดตรงที่ไม่มีแรงจะก้าวลงจากเตียง ท่อนขาและสะโพกของเธอปวดร้าวราวกับกระดูกภายในจะปริแตก ผลจากการกระทำของคนใจร้าย ช่างสาหัสเหลือเกิน... “ผมเปิดพัดลมเพดานให้แล้ว อย่าเปิดแอร์เลย พี่ยังมีไข้ ทานข้าวทานยานะครับ เดี๋ยวผมไปยกมาให้” พูดจบอย่างรวดเร็วจาริลก็ลุกออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้คนที่นอนป่วยนิ่งไป พร้อมกับคำเอ่ยห้ามที่เอ่ยออกไปไม่ทัน แต่ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดมันอีก แล้ว จาริลคงจะไม่หยุดพยายามทำดีเพื่อไถ่โทษ และวินตาก็ไม่ได้อยากรับหรืออยาก ปฏิเสธมันทั้งสองอย่าง เธอไม่ผิดหวังเลยกับการเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำเพื่อรับผิดชอบต่อความผิด เพราะว่าเธอไม่ได้คาดหวังมันมาตั้งแต่แรก ทั้งชุดที่สวมใส่ ทั้งผ้าปูที่นอนผืนใหม่ จาริลก็จัดการเปลี่ยนใหม่หมดโดยที่เธอไม่รู้ตัว อีกฝ่ายดูแลเรื่องนั้นในตอนที่เธอกำลังหลับ จนมันทำให้เธอเกือบยอมใจอ่อนและคิดว่าตนเองคงพอจะอภัยให้อีกฝ่ายได้ทว่าเธอก็รู้ดีว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น ตราบใดที่ฝันร้ายเมื่อคืนยังตามหลอกหลอนเธอ จาริลก็จะยังไม่ได้รับการให้อภัยเด็ดขาด “มาแล้วครับพี่วินนี่” ร่างสูงเดินเข้ามาวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะลิ้นชักที่ถูกจัดวาง ข้าวของจนกลับสู่สภาพเดิมยกเว้นก็แต่กรอบรูปเท่านั้นที่ปราศจากกระจกใสปิดทับ วินตาพยายามยันกายขึ้นนั่งด้วยตนเองแต่ก็ต้องพึ่งแรงของร่างสูงช่วยประคองอยู่ดี ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผู้หญิงอย่างเธอจะได้รับการดูแลถึงเนื้อถึงตัว แต่เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ท่าให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเธอกลับรู้สึกเจ็บปวดใจมากกว่าจะซาบซึ้ง หากอีกฝ่ายไม่ทำร้ายเธอจนมีสภาพเช่นนี้ เธอก็คงไม่ป่วยจนต้องให้อีกฝ่ายมาดูแล จาริลตักข้าวต้มขึ้นมาเตรียมจ่อปากให้อีกฝ่ายทาน แต่วินตายังคงลังเล เธอก้มมองดูมือที่ไร้เรี่ยวแรงของตนก็ต้องถอนหายใจเบาออกมาอย่างปลงตก เธอไม่ชอบใจเท่าไรนักที่ต้องอยู่ในสภาพจำยอมเช่นนี้ คนป่วยทานข้าวต้มต่อได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ต้องบอกปัด จาริลที่ไม่อาจขัดใจอะไรอีกจึงทำได้เพียงแค่วางช้อนลงแล้วส่งยาลดไข้กับยาแก้ปวดไปให้ ฝ่ายคนป่วยรับมัน มาแล้วกลืนลงไปพร้อมกับน้ำดื่ม หลังจากนั้นก็เอาแต่นั่งนิ่ง ไม่ยอมสบตาจาริลและไม่พูดอะไรเลยสักคำ นานจนคนมองทนไม่ไหวจึงต้องเอ่ยปากเพื่อทำลายความเงียบนี้เสียเอง ชายหนุ่มอยากใช้โอกาสนี้พูดคุยกับรุ่นพี่ถึงเรี่องราวที่เกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขา ก็ยังรู้สึกกลัว กลัวว่าบางคำพูดจะยิ่งตอกย้ำและทำร้ายรุ่นพี่ให้เจ็บปวด “ผม....” วินตายังคงนิ่งเงียบ แม้จะได้ยินเสียงของอีกคนแต่เธอกลับไม่ได้พิศวาทอยากจะฟัง เพราะเธอเหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยห้ามอะไรในตอนนี้จึงได้ปล่อยให้เสียงของจาริลเอ่ยต่อไปอย่างที่เขาต้องการ แม้ว่าใจของเธอยังไม่พร้อมจะรับฟังถ้อยคำจากเขาเลยก็ตาม “ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันเลวร้าย แต่ผมไม่อยากให้พี่เกลียดผม ถ้าจะมีวิธีไหนทำให้พี่ยอมยกโทษให้ บอกผมเลย ผมจะทำทุกอย่าง” “เราเลิกคุยกันสักพักเถอะ” “……….” “อย่าเข้าใกล้พี่เกินกว่าสองเมตร” “……….” “จริงๆ แล้ว... พี่แทบไม่อยากเห็นหน้าน้องด้วยซ้ำ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้าย เราก็ต้องอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ แต่พี่น่ะ คงให้อภัยตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ...” “พี่วินนี่...” จาริลครางชื่ออีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจอย่างที่สุด เขาทำให้รุ่นพี่เจ็บปวดเพราะเรื่องเลวร้ายที่เขาทำ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นทุกขณะ เขาทั้งเจ็บปวดและสงสารรุ่นพี่จับใจแต่ลำพังเพียงความรู้สึกของเขาหรือจะเทียบกับสิ่งที่รุ่นพี่สูญเสียไปได้ แม้เขาจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีความสุขกับใครบางคนแค่ไหน และร่องรอยที่เห็นบนร่างกายของรุ่นพี่ทั้งหมดนั้นก็ยืนยันให้รู้ว่าเขาได้รุนแรงกับอีกคนมากเพียงใด รุ่นพี่คงเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก เจ็บจนแม้แต่เขาเองก็อยากจะให้เกลียดเขาไปเลยด้วยซ้ำ แต่จาริลรู้ดีว่าตนเองคงทนถูกเกลียดไม่ได้ ยิ่งเป็นวินตา ผู้หญิงผู้เป็นเหมือนครอบครัวของเขา เขายิ่งทนไม่ได้ “ถ้าพี่ไม่อยากอยู่ใกล้ผม ก็ได้ครับ ผมจะอยู่ให้ห่างจากพี่ แต่ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ตอนพี่กำลังป่วยอยู่แบบนี้” และทันทีที่จาริลพูดจบ วินนี่ก็ส่ายหน้า หญิงสาวปฏิเสธคำขอของรุ่นน้องเพราะ ไม่อาจทนอยู่ใกล้กับชายที่ทำร้ายเธอได้ แต่ร่างสูงก็ยังจะฝืนเอ่ยขอทั้งที่รู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยโอกาสครั้งนี้ให้ผ่านเลยไปโดยที่ตนไม่ได้รับผิดชอบต่ออีกฝ่าย เพราะรุ่นพี่กำลังอ่อนแอและจำต้องมีคนดูแล จาริลจึงไม่อยากให้ใครมาทำหน้าที่นี้ไปมากกว่าเขา “ขอแค่วันนี้ถึงคืนนี้เท่านั้น นะครับพี่วินนี่...” “จาริล... พี่...” “นะครับ ผมขอร้องพี่” นัยน์ตาที่สั่นคลอนและน้ำเสียงที่สั่นเครือของจาริลทำให้คนฟังนึกเห็นใจและไม่อาจทำใจแข็งกับชายหนุ่มได้ต่อไปอีก เธอรู้ดีว่าความรู้สึกที่อยู่ภายใต้ใบหน้าเศร้า โศกนั้นเป็นอย่างไร และรู้ดีว่าถ้าเธอบอกปัดความช่วยเหลือจากรุ่นน้อง จาริลคงจะรู้สึกได้ถึงความเกลียดชัง แต่เธอยังไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ไม่ควรเลยที่อีกฝ่ายจะเข้าใจผิด และคิดว่ากำลังถูกเธอเกลียด... “...อืม” จาริลดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มเฝื่อนกับตัวเองพลางลุกมายืนข้างเตียงก่อนจะยกถาดวางแก้วน้ำและถ้วยข้าวต้มที่คนป่วยทานเหลือนำออกไปเก็บ แต่ไม่ทันที่ร่างสูงจะก้าวไปถึงจุดหมาย บานประตูห้องนอนก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมด้วยสมาชิกทุกคนของบ้านหลังนี้ วินตาหันไปมองเหล่าคนคุ้นเคยที่เดินกรูเข้ามาก็เริ่มรู้สึกกังวลใจ ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าใครเลยทั้งนั้น แต่ด้วยอาการป่วยของเธอคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกคนตามเข้ามานั่งห้อมล้อมอยู่ข้างเตียงแบบนี้ หญิงสาวเบนสายตากลับไปยังรุ่นน้องที่ชะโงกกายอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้จาริลก้าวเดินออกไปก่อน วินตาก็แค่ไม่อยากให้ใครเอะใจสงสัยหรือดึงจาริลเข้ามาอยู่ในวงสนทนาตอนนี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจความประสงค์ของเธอเลย เพราะพอเสร็จจากการนำภาชนะไปเก็บที่ห้องครัวแล้ว จาริลก็พาร่างของตัวเองกลับมาเผชิญหน้ากับเธอและทุกคนอีกครั้ง นั่นทำให้วินตายิ่งรู้สึกอึดอัดจนแทบไม่อยากเอ่ยคำพูดใดออกมาอีก แต่ก็นั่นแหละ คำโป้ปดของเธอ คงฟังดูเข้าท่ากว่าคำพูดของจาริลเป็นไหนๆ “นั่นไง ตัวการมาแล้ว รีบมาอธิบายเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อคืนนี้ให้พวกกูรู้ เลย” แม้นเมืองกวักมือเรียกจาริลที่กำลังเดินเข้ามาให้มานั่งบนปลายเตียงเคียงข้างตน จาริลเลี่ยงที่จะสบสายตากับรุ่นพี่ในตอนนั้น แต่เลือกที่จะประสานสายตากับเพื่อนของตนแทน แม้นเมืองยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย มันดีเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้รับอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงมากกว่านี้ แต่นั่นก็เป็นเพราะคำโกหกของรุ่นพี่ที่หลอกให้ทุกคนสบายใจ ทะเลาะกันงั้นเหรอ? ถ้าเรี่องที่พวกเขาทะเลาะกันเป็นเรี่องจริง งั้นพี่วินนี่ก็คงเล่าความจริงให้ทุกคนฟังได้ขาดตอนไปมาก แต่ความจริงนั้นจะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด เขาจะทำให้รุ่นพี่เดือดร้อนไม่ได้ “เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ” เฮคเตอร์ ชายหนุ่มรุ่นรางคราวเดียวกับวินตาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทว่าความโกรธเคืองเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจช้าๆ มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาได้เอามือไปสัมผัสผิวกายซีดขาวที่ร้อนผิดปกติของคนบนเตียงนั่นเอง จาริลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เพราะนอกจากความกลัวที่มีต่อวินตาแล้ว มันยังเผื่อแผ่ไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ ภายในบ้านหลังนี้ เขากลืนน้ำลายก่อนจะกลั้นใจพูดความจริงออกไป “กูไปดื่มมา” “ทำไมถึงดื่ม มึงรู้ใช่ไหมว่าเราต้องซ้อมการแสดง คินไม่ได้บอกรึไง” แม้นเมืองถามขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบอันแสนงี่เง่าในความคิดของเขา ท่าทางที่เปลี่ยนจากเครียดขึงมาเป็นไม่พอใจของแม้นเมืองทำเอาจาริลรู้สึกเกร็งขึ้นมาในทันใด ชายหนุ่มเริ่มไม่กล้าสบตากับเพื่อนของตนในยามนี้ เขาหันหน้าไปสบตากับ คินหรือ อคิน โดยไม่ตั้งใจ แต่กลับทำให้ฝ่ายนั้นเข้าใจผิดคิดว่าตนกำลังถูกซัดทอด เจ้าตัวจึงรีบเอ่ยปากบอกในวินาทีต่อมา “กูเตือนมึงแล้วนะ” “มึงรู้ แต่มึงก็ยังไป... ช่างเหอะ แล้วยังไง ทำไมถึงจบลงด้วยการที่วินนี่มีสภาพนี้ ขาวินนี่เป็นแผลด้วยนี่” เฮคเตอร์เอ่ยในสิ่งที่ตนเพิ่งสังเกตเห็น เรียกสายตาของทั้งแม้นเมืองและอคินให้หันไปจับจ้อง ยกเว้นเพียงชายผู้ทำความผิดเพียงคนเดียวในที่นี้ที่ไม่ได้หันมองตาม เพราะเขาเห็นบาดแผลแห่งความเจ็บปวดของรุ่นพี่หมดแล้วทุกซอกทุกมุมด้วยดวงตาคู่นี้และด้วยหัวใจที่บีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก “คือว่า…" เสียงที่ฟังดูแหบอย่างชัดเจนของคนป่วยดึงทุกสายตาให้เลื่อนขึ้นไปสบกับเจ้าของใบหน้าอันแสนซีดเซียว และไม่เว้นแม้กระทั่งผู้กระทำผิดที่ถึงกับนั่งไหล่ตกยามถูกเค้นถามเอาความ แท้จริงแล้วการโกหกไม่ใช่เรี่องยากสำหรับคนอย่างจาริล แต่สาเหตุที่ตอกย้ำให้เขารู้สึกย่ำแย่ก็มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น พี่วินนี่… จาริลไม่อยากโกหกต่อหน้าคนที่เขากระทำความผิดด้วย และวินตาเองก็รู้ดีถึงความจริงข้อนี้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัยจนทำให้ทุกคนระแคะระคาย วินตาจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายอธิบายทุกอย่างด้วยการโกหกอย่างที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด เพราะมันไม่มีพื้นที่ใดในใจให้เธอรู้สึกถึงความรู้สึกอื่นได้อีกแล้ว นอกเสียจากความเสียใจ... “ก่อนที่จะเล่า” คนเอ่ยประสานสายตาเข้ากับคนตรงข้าม นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลไม่ได้จับจ้องอยู่ที่แม้นเมืองอีกต่อไปหากแต่เป็นจาริลคนเดียวเท่านั้น คนเป็นรุ่นน้องพยักหน้าเล็กน้อย ไม่รู้หรอกว่ารุ่นพี่กำลังจะเล่าอะไรต่อจากนี้ เขาแค่อยากจะบอกอีกฝ่ายว่าเขายินยอมหมดทุกอย่าง ต่อให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมาเขาก็จะไม่มีวันปฏิเสธ จะให้ยอมรับอย่างลูกผู้ชายหรือเงียบงันอย่างคนขลาด ตอนนี้เขาทำได้ทุกอย่าง ถ้าเพียงแต่อีกฝ่ายปรารถนา ถ้าเพียงรุ่นพี่สั่งมา เขาจะทำมันด้วยความเต็มใจทั้งสิ้น “จาริล" “ครับ?" “น้องคงไม่ได้… เล่นยาหรอกใช่ไหม?”ใบหน้านิ่งสงบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดของวินตาเป็นภาพเดียวที่อยู่ในสายตาของจาริลตอนนี้ ก่อนที่มันจะหายไปจากสายตาเมื่อร่างของเขาถูกฉุดกระชากด้วยแรงของใครคนหนึ่งทันทีที่ได้ให้คำตอบ“ผมไม่รู้ แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นยาตระกูลยาอีหรืออะไรเทือกๆ นั้น”“ว่าไงนะ!”เป็นเฮคเตอร์ที่กระชากไหล่ของจาริลอย่างแรงจนร่างนั้นเสียหลักเกือบผลัดตกจากเตียงหากไม่ได้แม้นเมืองดึงรั้งไว้วินตาจงใจให้จาริลสารภาพความจริงส่วนหนึ่งความจริงที่ทำเอาทุกคนต่างอึ้งและคาดไม่ถึงว่าเพื่อนของพวกเขาจะทำเช่นนั้น นอกเหนือจากเรื่องเหล้าเบียร์และบุหรี่ ยาเสพติดถือเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คิดแตะต้อง แต่นึกไม่ถึงว่าหนึ่งในสมาชิกของวงจะพลาดท่าให้กับยาเสพติดก่อนใครเพื่อน ความจริงที่ออกจากปากของจาริลได้สร้างความผิดหวังขึ้นในใจของทุกคน พวกเขาอยากจะตำหนิชายหนุ่มแต่เพราะเห็นแก่พี่สาวคนสำคัญของบ้านผู้เป็นคนเปิดประเด็นสนทนาครั้งนี้ ทุกคนจึงเลือกที่จะเงียบและรอให้รุ่นพี่เอ่ยต่อ แต่จาริลกลับใช้โอกาสนี้โพนทะนาความผิดของตนเองออกมาจน(เกือบ)หมด“ผมรู้สึกเซ็งก็เลยไปหาช่อที่ผับ พอเริ่มเมา ช่อก็ให้กินยาอะไรก็ไม่รู้ จนผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง ผม... ทำพี่วิ
หลังจากงานแฟนมีตติ้งจบสิ้นลง คํ่าคืนต่อมาศิลปินทุกคนก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขาดก็แต่จาริลกับวินนี่ที่มาสายจนทุกคนคิดว่าจะไม่ยอมมาตามนัดเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเป็นรุ่นพี่มาช้าก็เพราะมัวแต่นอนหลับเพลิน กว่ารุ่นน้องจะมาเรียกเธอหน้าห้องเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ฝ่ายรุ่นน้องทั้งที่ถูกสั่งให้เดินทางมาก่อนกลับไม่ยอมเชื่อฟัง จาริลเลือกที่จะรอรุ่นพี่ทั้งที่แต่ก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายที่สายจนทำให้รุ่นพี่ต้องรออยู่เสมอก็ตามแต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่รอใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ติดจะงัวเงียของหญิงสาวก้าวเดินออกมาจากห้องก่อนที่มันจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา“บอกว่าไม่ต้องรอไง” วินตาพูดเสียงกระแทกพร้อมกับเดินผ่านหน้ารุ่นน้องไปอย่างรวดเร็วจาริลถึงกับหน้าเสียก่อนที่เขาจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปใกล้ๆ ชนิดก้าวต่อก้าว เขาลืมกฎที่ต้องห่างกันสองเมตรไปชั่วคราว และผลของการเดินเข้ามาถึงร้านอาหารช้าเป็นสองคนสุดท้ายก็ทำให้ที่ว่างสองที่ที่เหลืออยู่เป็นของวินตากับจาริลอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่เฮคเตอร์ แม้นเมือง นั่งตรงข้ามกับวินตาและจาริล ถัดด้วยศิลปินคนอื่นๆ และเวียนมาบรรจบที่วิน
หลังจากงานแฟนมีตติ้งจบสิ้นลง คํ่าคืนต่อมาศิลปินทุกคนก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขาดก็แต่จาริลกับวินนี่ที่มาสายจนทุกคนคิดว่าจะไม่ยอมมาตามนัดเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเป็นรุ่นพี่มาช้าก็เพราะมัวแต่นอนหลับเพลิน กว่ารุ่นน้องจะมาเรียกเธอหน้าห้องเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ฝ่ายรุ่นน้องทั้งที่ถูกสั่งให้เดินทางมาก่อนกลับไม่ยอมเชื่อฟัง จาริลเลือกที่จะรอรุ่นพี่ทั้งที่แต่ก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายที่สายจนทำให้รุ่นพี่ต้องรออยู่เสมอก็ตามแต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่รอใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ติดจะงัวเงียของหญิงสาวก้าวเดินออกมาจากห้องก่อนที่มันจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา“บอกว่าไม่ต้องรอไง” วินตาพูดเสียงกระแทกพร้อมกับเดินผ่านหน้ารุ่นน้องไปอย่างรวดเร็วจาริลถึงกับหน้าเสียก่อนที่เขาจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปใกล้ๆ ชนิดก้าวต่อก้าว เขาลืมกฎที่ต้องห่างกันสองเมตรไปชั่วคราว และผลของการเดินเข้ามาถึงร้านอาหารช้าเป็นสองคนสุดท้ายก็ทำให้ที่ว่างสองที่ที่เหลืออยู่เป็นของวินตากับจาริลอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่เฮคเตอร์ แม้นเมือง นั่งตรงข้ามกับวินตาและจาริล ถัดด้วยศิลปินคนอื่นๆ และเวียนมาบรรจบท
“พี่จะใจร้ายกับผมได้ลงคอจริงๆ เหรอ”จาริลเอ่ยอย่างหมดความอดทน ในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อรุ่นพี่อีกต่อไปไม่ไหว ด้วยบทลงโทษที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายถอยห่างอีกฝ่ายไป เขาไม่อาจทนได้ และที่เขาแสร้งทำตัวคุกคามรุ่นพี่อยู่นี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายคิดเปลี่ยนใจหยุดการกระทำของตนซะ เพราะนอกจากเขาจะไม่ยอมเหินห่างอีกฝ่ายแล้ว เขายังพร้อมจะครอบครองอีกฝ่ายด้วย แต่เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้ารุ่นพี่ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ ถึงเวลานั้นเขาจะหยุดทุกอย่างและยอมแพ้แต่ไม่ใช่ในตอนนี้วินตาดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใต้ร่างหนอย่างยากและเหนื่อยกายแต่เธอก็ยังพยายาม เพราะหวังจะชนะอีกฝ่าย เธอไม่อยากเป็นคนที่ถูกเขาไล่ต้อน แม้เธอจะรังเกียจสัมผัสที่ได้จากร่างสูงเพียงใดแต่เธอก็จำต้องตอบรับมันและสนองกลับไปให้เหนือกว่าครู่ต่อมาจาริลก้มลงจูบบดเบียดริมฝีปากของวินตาอย่างรุนแรงมากกว่าในค่ำคืนที่ตนขาดสติ สัมผัสที่รุนแรงและเจ็บปวดนั้นได้ไปจุดชนวนความโกรธของวินตาจนเธอไม่สามารถหยุดการกระทำของตนได้เช่นเดียวกัน ยิ่งจาริลรุกล้ำและเก็บเกี่ยวความหวานจากโพรงปากของเธออย่างเนิ่นนานไม่รู้จักหยุด วินตาก็ล่งผ่านเรียวลิ้นแลกกับค
“...อืม” จาริลดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มเฝื่อนกับตัวเองพลางลุกมายืนข้างเตียงก่อนจะยกถาดวางแก้วน้ำและถ้วยข้าวต้มที่คนป่วยทานเหลือนำออกไปเก็บ แต่ไม่ทันที่ร่างสูงจะก้าวไปถึงจุดหมาย บานประตูห้องนอนก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมด้วยสมาชิกทุกคนของบ้านหลังนี้ วินตาหันไปมองเหล่าคนคุ้นเคยที่เดินกรูเข้ามาก็เริ่มรู้สึกกังวลใจ ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าใครเลยทั้งนั้น แต่ด้วยอาการป่วยของเธอคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกคนตามเข้ามานั่งห้อมล้อมอยู่ข้างเตียงแบบนี้ หญิงสาวเบนสายตากลับไปยังรุ่นน้องที่ชะโงกกายอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้จาริลก้าวเดินออกไปก่อน วินตาก็แค่ไม่อยากให้ใครเอะใจสงสัยหรือดึงจาริลเข้ามาอยู่ในวงสนทนาตอนนี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจความประสงค์ของเธอเลย เพราะพอเสร็จจากการนำภาชนะไปเก็บที่ห้องครัวแล้ว จาริลก็พาร่างของตัวเองกลับมาเผชิญหน้ากับเธอและทุกคนอีกครั้ง นั่นทำให้วินตายิ่งรู้สึกอึดอัดจนแทบไม่อยากเอ่ยคำพูดใดออกมาอีก แต่ก็นั่นแหละ คำโป้ปดของเธอ คงฟังดูเข้าท่ากว่าคำพูดของจาริลเป็นไหนๆ “นั่นไง ตัวการมาแล้ว รีบมาอธิบายเรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อคืนนี้ให้พวกก
ศิลปินคนอื่นๆ ในค่ายเพลงของเธอต่างไล่ให้เธอกลับคอนโดในช่วงบ่าย จึงเหลือแค่วินตาและจาริลที่เดินทางกลับมาพักผ่อนก่อนคนอื่น วินตาคงจะยินดีหากเธอไม่ต้องเดินทางโดยมีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ใกล้ๆ นั่นเพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นคือรุ่นน้องร่วมค่ายอย่างจาริล เธอกลับรู้สึกต่อต้านหากก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากบอกตนเองว่าจะยอมให้รุ่นน้องได้แค่วันนี้เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับตารางงานของค่าย ถึงจะตะขิดตะขวงใจหรือยากเย็นเพียงใด เธอก็จะไม่ทำอะไรให้เกิดปัญหากระทบต่อการทำงานเด็ดขาด ในเมื่อทุกคนเข้าใจว่าเธอกับจาริลเพียงแค่ทะเลาะกันจนเกิดอุบัติเหตุ เธอก็ต้องแกล้งทำเป็นให้อภัยและกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับจาริลให้ได้ในที่สุด เพราะไม่อย่างนั้น ทุกคนก็จะเป็นห่วงและพลอยลำบากใจไปด้วย อีกทั้งเธอเองก็ไม่ได้ต้องการจะตัดขาดความสัมพันธ์กับจาริลอย่างแท้จริง เรื่องที่จะโกรธเกลียดจนไม่ให้อภัยกันไปตลอดทั้งชาตินั้นจึงเป็นไปไม่ได้ นับว่าเป็นโชคดีของจาริลนักที่ต่อให้ทำความผิดรุนแรงเอาไว้กับเธออย่างไรแต่ก็ยังได้รับการให้อภัย แต่ถึงแม้ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนั้น คนทำผิดอย่างจาริลก็ยังต้องได้รับผลกรรมที่ก่อไว้ แ
แค่อีกฝ่ายยังทนอยู่ใกล้กันก็ดีเท่าไร ขืนโลภมากไปกว่านี้เขาอาจไม่เหลือพื้นที่พอสำหรับตัวเองในโลกของพี่วินนี่เลยก็ได้ ในใจนั้นเอาแต่ภาวนาอย่างไม่เป็นผลว่า ‘อย่าทำแบบนี้กับผมเลยนะ’ แต่เทวดานางฟ้าตนใดจะมาให้พรกับคนเลวๆ อย่างเขา โดยเฉพาะกับคนเลวที่ทำร้ายนางฟ้าประจำกายของตัวเอง วินตาเปรียบเหมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวหรือถ้าพูดให้ไม่เวอร์ไปกว่านั้น คืออีกฝ่ายเปรียบเหมือนพี่สาวที่คอยทำให้เขามีความสุขยามอยู่ด้วยกัน เขาคงทำใจได้ยากถ้าจะต้องสูญเสียใครบางคนในรูปแบบที่คุ้นเคยจากไป หากนี่คือความใกล้ชิดที่อีกฝ่ายมอบให้ มันก็ไม่เพียงพอสำหรับเขาเลยสักนิด แม้อยากจะอ้อนวอนดูอีกครั้งแต่ก็คงจะไม่สำเร็จ ในเมื่อพี่สาวคนดีของเขาได้ลั่นวาจาออกมาแล้ว “ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูดกับพี่ พยายามอยู่ให้ห่างกันอย่างน้อยสองเมตร” “…….” “แต่ถ้าอยู่ด้วยกันกับทุกคน ก็ถือซะว่าพี่ไม่เคยพูดแบบนี้แล้วกัน” กลางดึกคืนนั้นวินตาและจาริลต่างเดินทางออกจากคอนโดเพื่อซ้อมการแสดงสำหรับงานมีตติ้งเป็นคืนสุดท้าย ทั้งสองคนขับรถแยกย้ายกันไปตามทางของตนเองโดยที่รุ่นน้องวงบอยแบนด์อย่างจาริลเดินทางไปรวมตัวกับสมาชิกในวงเพื่อทำการฝึกซ้อม ส่วนรุ่
“ไปแซวน้องมัน เดี๋ยวริลก็เสียเซลฟ์หรอก แล้ววินนี่ล่ะ ทำยังไงเวลาเจอคนที่ชอบเหรอจ๊ะ?” เซร่าได้ทีเอ่ยถามต่อโดยครั้งนี้เป้าหมายเปลี่ยนไปเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวคนแรกของรุ่น “ก็แค่แสดงความรักออกไปให้คนที่ชอบรับรู้” “ไม่คิดว่าจะเป็นสายบวกแฮะ วินนี่ดูเป็นคนขี้อายอะ” “ถ้าได้เจอคนที่ชอบจริงๆ ก็ไม่อายหรอก แต่จะรีบหาโอกาสใกล้ชิดให้ได้เลย” “ใจกล้าเหมือนกันนะพี่น่ะ” จาริลได้ทีแซววินนี่อย่างมีอารมณ์ขัน “แล้วจะให้พี่ทำยังไงเล่า อย่างน้อยถ้าไม่รีบทำความรู้จัก อาจไม่มีโอกาสครั้งต่อไปให้ได้เจอกันอีกแล้วป้ะ” ยิ่งได้ฟังคนข้างกายก็ส่งยิ้มเอ็นดูให้เธอ “อย่างมึงน่ะไม่ต้องจีบใครก็มีผู้ชายเข้าหา ทุกครั้งที่กูไปกินเหล้ากับพวกมึงห้าคนมันต้องมีผู้ชายมาขอชนแก้วกับมึงทุกครั้ง พวกไอ้แมนเป็นพยายานให้กูได้” วินตาทำได้แค่ยิ้มเป็นคำตอบให้ กรรชิง ศิลปินชายเดี่ยวที่นับว่าได้ว่าสนิทกับเธอและอีกสี่หนุ่มมากที่สุด ก่อนที่เซร่าจะเอ่ยแซวเธออีกครั้ง “วินนี่มีสเน่ห์ก็เพราะความใสซื่อนี่แหละ เอ๊ะ หรือว่าซื่อบื้อดี” ตอนนั้นเองที่จาริลต้องกลั้นขำ วินตาถลึงตาใส่รุ่นน้องข้างกายไปหนึ่งที “วินนี่เนี่ย คือสมบัติของร
เป็นเวลากว่าหลายอาทิตย์แล้วที่วินตาติดต่อกับรามิลโดยไม่มีใครรู้นอกเหนือจากจาริล เธอใช้เวลาว่างที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละวันแชทหาอีกฝ่าย บางคืนก่อนนอนหากยังไม่เหนื่อยล้าพวกเธอจะวิดีโอคอลหากันเพื่อบอกฝันดีให้ชื่นใจ เมื่อตื่นขึ้นมาเช้าวันใหม่เธอมักจะได้อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้กำลังใจว่า 'สู้ๆ' นั่นยิ่งทำให้วินตาเบิกบานใจจนอยากให้ทุกๆ วันเป็นแบบนี้ไปอีกนานตอนนี้พวกเธออยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และกำลังรอเรียกคิวไปสแตนด์บายหลังเวทีประกาศรางวัล ศิลปินจากค่ายของเธอที่ถูกเชิญมาร่วมงานจึงยังมีท่าทีผ่อนคลายและบ้างก็พูดคุยกันเงียบๆ บ้างอัพสตอรี่ไอจีหรือติ๊กต็อก ในขณะที่วินตาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อยี่สิบห้านาทีก่อนรามิลส่งข้อความตอบแชทของเธอ ข้อความที่เธอส่งไปหาเขานั้นเป็นการบอกเล่าให้รู้ว่าเธอกำลังจะขึ้นทำการแสดงบนเวทีประกาศรางวัล หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงนับจากข้อความนั้นถูกส่ง ชายหนุ่มก็ตอบข้อความกลับมาด้วยประโยคที่เธอไม่อาจคาดเดาน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เลย'ถ้ากลับมา เรามีเรี่องต้องคุยกัน'หัวใจของวินตาเต้นแรงเมื่อได้อ่านประโยคที่ไม่รู้ว่าผู้ส่งกำลังคิดหรือ
จาริลรู้สึกเหมือนถูกขัดใจอย่างรุนแรงและก็คิดว่าอีกไม่นานตนเองคงรู้สึกเหมือนถูกแย่งคนสำคัญในชีวิตไป ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นแต่เป็นคนสำคัญตรงหน้านี้“เดี๋ยวมานะ”“ไปไหน?”รามิลเงยหน้าขึ้นถามเมื่อน้องชายลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง ฝ่ายคนที่ไม่อยากอยู่เห็นฉากใกล้ชิดของทั้งคู่จึงเอ่ยตอบโดยไม่หันกลับไปมองทั้งสองคนบนโซฟาด้านหลังอีก“ไปหาแม่”ร่างสูงเดินจากมาเพื่อปล่อยให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาไม่ได้เดินไปหาคุณแม่อย่างที่พูดเมื่อฝ่าเท้ามันเดินไปยังห้องว่างอีกห้องหนึ่งที่ปัจจุบันนี้ถูกใช้ต่างห้องเก็บของ เขาบิดประตูแล้วผลักมันเข้าไปก่อนคลำหาสวิตซ์ไฟข้างฝาผนังเมื่อไฟกลางห้องส่องสว่างจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน เขาก็ตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือเป็นสิ่งแรก สองมือเลื่อนลิ้นชักโต๊ะออกมาจนสุดแล้วหยิบกล่องทรงลี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีมือออกมาก่อนจะเคาะมันลงสามครั้งบนก้านนิ้วชี้เพื่อให้วัตถุสารเสพติดที่อัดแท่งอยู่ในมวนกระดาษสีขาวไหลลงมาตามแรงเคาะ จากนั้นจึงนำมันขึ้นมาคาบไว้คาริมฝีปาก มือหยิบไฟแช็กที่วางอยู่ในลิ้นชักตรงนั้นขึ้นมาจุดเปลวไฟพร้อมกับป้องปากกันลมสองนิ้วเ
“ถ้าบอกว่าจะมาก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ แล้วคืนนี้เลิกงานไม่ดึกมากเราถึงได้มากันได้ไง” “ไม่ดึกอะไร ตอนนี้มันสี่ทุ่มแล้วนะ อย่างนี้วินนี่ก็อยู่ได้แค่แปบเดียวน่ะสิ" ร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้จาริลที่นึกหมั่นไส้พี่ชายตนเองอยู่เป็นทุนเดิมนั้นยื่นมือไปตบลงบนบ่าของพี่ชาย “ไม่ต้องเสียดายจ้า เพราะคืนนี้พวกเราจะนอนที่นี่” “จริงเหรอ?” “ใช่ ริลขออนุญาตคุณน้าแล้วด้วย”เมื่อเธอยิ้มมันก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มตามไปด้วย “น้าเตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ห้องนอนแขกอยู่ชั้นล่าง อาจจะรกไปหน่อยเพราะใช้เก็บของบางส่วนของสองคนนี้” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูนอนได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ให้มารบกวน” เมื่อคุณแม่ของลูกชายทั้งสองคนขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้พวกเด็กๆ อย่างเธอได้พูดคุยกัน ภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ห้องนั่งเล่นมีโซฟาตัวยาวแค่เพียงตัวเดียว จาริลจึงเสียสละนั่งลงบนพี้นแล้วให้รุ่นพี่กับพี่ชายนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ปกติแล้วจาริลไม่เคยยอมให้เพื่อนใกล้ชิดกับพี่ชาย วินตายังเคยถูกกีดกันให้ออกห่างจากรามิลมาแล้วเมื่อครั้งที่เคยเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่นี่ในปีก่อน แ
“แต่ผมน่ะไม่เคยคิดว่าพี่วินนี่น่าเบื่อเลยนะ” จู่ๆ ประโยคนี้ก็ดังขึ้นจากชายอีก คนที่นั่งอยู่บนเตียงด้านข้าง วินตาค่อยๆ หันไปยิ้มให้รุ่นน้อง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเพียงพูดเพื่อเอาใจเธอหรือเปล่า แต่ได้ยินแบบนั้นมันก็อดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ “หึ คงจะรักพี่วินนี่สินะ บอกด้วยนี่ว่าจะเดทกับพี่วินนี่” ประโยคนี้เฮคเตอร์เป็นคนพูด เขาฉวยร่างวินตาเข้าไปไว้ในอ้อมกอดอย่างหยอกล้อ “วินนี่เป็นของฉัน” “ไม่ให้หรอก เฮคบอกว่าเราน่าเบื่อ แถมยังลังเลบอกไม่เดทกับเราในตอนแรก ด้วย ไอ้คนพูดจากลับกลอก” วินตาขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเฮคเตอร์สำเร็จแล้วก็โผเข้าไปกอดร่างสูงอีกเตียงหนึ่งแทน ทำให้ร่างของจาริลเสียหลักล้มลงนอนบนเตียง นัยน์ตาทั้งสองคู่จ้องประสานกันจนบังเกิดความขวยเขินเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเรียกสติตนกลับมาได้ วินตาก็พลิกตัวลงนอนตามปกติจึงคล้ายว่าเธอนอนอยู่ระหว่างเฮคเตอร์และจาริล “จาริลระวังโดนแกล้งนะ” รุ่นพี่แร็ปเปอร์เตือนด้วยความหวังดี เขาล้มตัวลงนอนเล่นมือถือต่ออีกครั้ง ฝ่ายวินตาที่รู้สึกเหมือนถูกพาดพิงก็เอ่ยขึ้นในทันที “เราไม่ใช้มุกเดิมๆ หรอก ตราบใดที่เขาไม่กวนใจเรา เราก็ไม่ทำอะไร ห
“ถ้าบอกว่าจะมาก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ แล้วคืนนี้เลิกงานไม่ดึกมากเราถึงได้มากันได้ไง” “ไม่ดึกอะไร ตอนนี้มันสี่ทุ่มแล้วนะ อย่างนี้วินนี่ก็อยู่ได้แค่แปบเดียวน่ะสิ" ร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้จาริลที่นึกหมั่นไส้พี่ชายตนเองอยู่เป็นทุนเดิมนั้นยื่นมือไปตบลงบนบ่าของพี่ชาย “ไม่ต้องเสียดายจ้า เพราะคืนนี้พวกเราจะนอนที่นี่” “จริงเหรอ?” “ใช่ ริลขออนุญาตคุณน้าแล้วด้วย”เมื่อเธอยิ้มมันก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มตามไปด้วย “น้าเตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ห้องนอนแขกอยู่ชั้นล่าง อาจจะรกไปหน่อยเพราะใช้เก็บของบางส่วนของสองคนนี้” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูนอนได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ให้มารบกวน” เมื่อคุณแม่ของลูกชายทั้งสองคนขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้พวกเด็กๆ อย่างเธอได้พูดคุยกัน ภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ห้องนั่งเล่นมีโซฟาตัวยาวแค่เพียงตัวเดียว จาริลจึงเสียสละนั่งลงบนพี้นแล้วให้รุ่นพี่กับพี่ชายนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ปกติแล้วจาริลไม่เคยยอมให้เพื่อนใกล้ชิดกับพี่ชาย วินตายังเคยถูกกีดกันให้ออกห่างจากรามิลมาแล้วเมื่อครั้งที่เคยเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่นี่ในปีก่อน แต่ยามนี้ม
วันนี้พวกหนุ่มๆ มีถ่ายทำรายการที่ประเทศญี่ปุ่น วินตาในฐานะศิลปินเดี่ยวที่มีผลงานเพลงฟีตเจอริ่งกับทั้งสี่หนุ่มในอัลบั้มล่าสุดจึงได้ถูกรับเชิญไปด้วย การสัมภาษณ์ถามตอบในรายการเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากต้องอาศัยล่ามแปลภาษาตลอดระยะเวลาการถ่ายทำโดยในช่วงท้ายของรายการนั้นกลับเรียกรอยยิ้มจากทั้งห้าคนได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเธอแต่ละคนต้องผลัดกันออกมายืนด้านหน้าอีกคนที่กำลังยืนหันหลังให้ ระหว่างนั้นจะมีคำถามปรากฏขึ้นบนหน้ามอนิเตอร์ให้พวกเขาสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่วมกันตอบคำถามที่เกี่ยวกับสมาชิกคนนั้นคนแรกที่ถูกเลือกให้ออกมายืนด้านหน้าคือแม้นเมือง ตามด้วยอคิน และต่อมาก็คือเธอบุคลิกภาพของวินนี่?เฮคเตอร์ : น่าเบื่อเป็นคนยังไง?เฮคเตอร์ : ใจดี อ่อนไหวง่ายลักษณะนิสัยที่เจ้าตัวยังไม่รู้?จาริล : มีระยะห่างแม้นเมือง : ชอบที่มืดเฮคเตอร์ : ไม่เชื่อฟังจาริล : ทำให้คนอื่นผิดหวังเป็นคนที่คุณสามารถเดทด้วยได้?จาริล : ได้เฮคเตอร์/แม้นเมือง/อคิน : ไม่แต่แล้วเฮคเตอร์ก็เปลี่ยนใจใหม่เฮคเตอร์ : เดทได้ ผมเดทกับวินนี่ก็ได้สิ่งที่คุณหวังว่าเจ้าตัวจะเปลี่ยน?แม้นเมือง : ความประมาทเฮคเตอร
“นี่ พี่ไม่ได้คิดจริงจังถึงขั้นเป็นแฟนของรามิลแล้วแต่งเข้าบ้านน้องหรอกนะ ก็แค่อยากจะคุยกับมิลก็เท่านั้น แต่ถ้านายไม่เปิดโอกาสให้พี่คบกับมิล ก็ถือว่าเราจบกันแค่นี้” คำประกาศิตของวินตาทำให้อีกฝ่ายเหมือนถูกบังคับ จาริลต้องเลือกระหว่างความเห็นแก่ตัวของตนกับความปรารถนาของรุ่นพี่ ทั้งที่เขาไม่เคยอยากแนะนำพี่ชายของตนให้ใคร แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียความสัมพันธ์ของตนกับคนตรงหน้าไป เขาถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไหล่ทั้งสองห่อลงและคอตกด้วยท่าทางที่หงอยลงไปถนัดตา “น้องจะยอมไหม พี่จะนับถึงห้า หนึ่ง สอง สาม” “ก็ได้ครับ! ผมยอมเปิดทางให้พี่เข้าหามิลก็ได้ แต่ผมไม่รับประกันว่าจะได้คบรึเปล่า” “แค่ให้มิลเป็นคนตัดสินใจโดยไม่มีน้องมาเกี่ยวข้องก็พอ” “แล้วผมต้องทำยังไง?” “เอาเบอร์โทรของพี่ชายน้องมาให้พี่ แล้วที่เหลือพี่จะจัดการเอง” “นี่พี่จะจีบพี่ชายผมจริงๆ หรือทำเพื่อแก้แค้นผมกันแน่ พี่ก็รู้นี่ว่าเราไม่ถูกกัน ผมไม่เคยยอมให้คนใกล้ตัวไปสนิทสนมกับเขาหรอกนะ” “ฟังนะ พี่ไม่ได้ทำเพราะอยากจะแก้แค้น มันก็แค่ข้อแลกเปลี่ยน มีเรื่องหนึ่งที่พี่ไม่เคยบอกใคร คือมิลกับพี่เคยเจอกันมาก่อน พี่คิดว่าเข
หลังจากงานแฟนมีตติ้งจบสิ้นลง คํ่าคืนต่อมาศิลปินทุกคนก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขาดก็แต่จาริลกับวินนี่ที่มาสายจนทุกคนคิดว่าจะไม่ยอมมาตามนัดเสียแล้ว สาเหตุที่ทำให้คนเป็นรุ่นพี่มาช้าก็เพราะมัวแต่นอนหลับเพลิน กว่ารุ่นน้องจะมาเรียกเธอหน้าห้องเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ฝ่ายรุ่นน้องทั้งที่ถูกสั่งให้เดินทางมาก่อนกลับไม่ยอมเชื่อฟัง จาริลเลือกที่จะรอรุ่นพี่ทั้งที่แต่ก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายที่สายจนทำให้รุ่นพี่ต้องรออยู่เสมอก็ตาม แต่เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่รอ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ติดจะงัวเงียของหญิงสาวก้าวเดินออกมาจากห้องก่อนที่มันจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา “บอกว่าไม่ต้องรอไง” วินตาพูดเสียงกระแทกพร้อมกับเดินผ่านหน้ารุ่นน้องไปอย่างรวดเร็ว จาริลถึงกับหน้าเสียก่อนที่เขาจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปใกล้ๆ ชนิดก้าวต่อก้าว เขาลืมกฎที่ต้องห่างกันสองเมตรไปชั่วคราว และผลของการเดินเข้ามาถึงร้านอาหารช้าเป็นสองคนสุดท้ายก็ทำให้ที่ว่างสองที่ที่เหลืออยู่เป็นของวินตากับจาริลอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่เฮคเตอร์ แม้นเมือง นั่งตรงข้ามกับวินตาและจาริล ถัดด้วยศิลปินคนอื่นๆ และเว
“ก่อนหน้านี้เห็นให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าอยากโฟกัสกับงานมากกว่า” คราวนี้เซร่าเพื่อนร่วมวงของรีเบคก้าและเป็นเจ้าของคำถามเมื่อครู่เอ่ยเสริม วินตาพยักหน้าช้าๆ “อื้ม ถ้าถามเราตอนนี้คำตอบก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ” “แล้วที่วงในเขาลือกันว่าวินนี่แอบกิ๊กกับรุ่นน้องร่วมค่ายล่ะ” “จาริล…” เป็นเธอเองที่เอ่ยพร้อมกับเผลอหันไปมองร่างสูงข้างกาย จาริลหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจ “ผมอะนะ?” วินตารีบเบือนใบหน้ากลับมาแล้วเริ่มอธิบายให้ทุกคนฟังในตอนนั้นอย่างเนิบช้าแต่ชัดเจน “ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนคิดว่าเรากับริลชอบกันหรือว่าแอบคบกันอยู่ ไม่รู้คนพวกนั้นเขาเห็นเคมีอะไรในตัวพวกเรา” “พี่วินนี่ดีเกินไปสำหรับคนอย่างผมครับ” “เนี่ย ริลมันหยอดสาวแบบนี้ หว่านเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว” เซร่าลงความเห็นพร้อมกับส่งยิ้มล้อเลียนอีกฝ่าย “ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าหว่านเสน่ห์หรอก เราไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ” จาริลหันไปจ้องมองคนข้างกายไม่วางตา เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดทีเล่นทีจริงจากรุ่นพี่เช่นนั้น “ไปแซวน้องมัน เดี๋ยวริลก็เสียเซลฟ์หรอก แล้ววินนี่ล่ะ ทำยังไงเวลาเจอคนที่ชอบเหรอจ๊ะ?” เซร่าได้ทีเอ่ยถามต่อโดยครั