วันครบรอบแต่งงานที่สำคัญเวียนมาถึงอีกครั้ง สำหรับอลิสาและคีรินทร์ รวมถึงมิ้นท์และปกรณ์ วันนี้เป็นมากกว่าแค่การเฉลิมฉลอง แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงความรักที่มั่นคงและยั่งยืนที่พวกเขามีให้แก่กัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สัญญาแห่งรักที่เคยให้ไว้ในวันวานก็ยังคงไม่เสื่อมคลาย
ค่ำคืนแห่งวันครบรอบแต่งงานของอลิสาและคีรินทร์ ทั้งสี่คนมาดินเนอร์กันที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งที่เคยเป็นสถานที่ที่พวกเขามักจะมาฉลองโอกาสพิเศษต่างๆ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักและความสุข น้องธาราและน้องอิงดาวนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานนะครับลิซ” คีรินทร์กล่าวพลางยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงเล็กๆ ให้อลิสา
อลิสายิ้ม เธอรับกล่องมาเปิดออก ภายในเป็นสร้อยคอเพชรระยิบระยับ “สวยมากเลยค่ะพี่คี ขอบคุณนะคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองคีรินทร์แล้วจูบที่แก้มเขาเบาๆ
คีรินทร์กุมมืออลิสาไว้แน่น แล้วจูบที่มือของเธอที่เริ่มมีริ้วรอยตามวัยอย่างรักใคร่ “ลิซครับ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ลิซก็ยังสวยที่สุดในสายตาพี่เสมอครับ”
อลิสาหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย เธอยิ้มให้คีรินทร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความผูกพันทางกายและใจที่ลึกซึ้งของทั้งคู่ยังคงชัดเจนอยู่เสมอ
มิ้นท์และปกรณ์ก็แลกของขวัญกันเช่นกันเมื่อถึงวันครบรอบแต่งงานของพวกเขา ปกรณ์มอบกำไลข้อมือทองคำขาวให้กับมิ้นท์ ส่วนมิ้นท์ก็มอบนาฬิกาข้อมือแบรนด์หรูให้กับปกรณ์
“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานนะครับมิ้นท์” ปกรณ์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
มิ้นท์ยิ้มตอบ “สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานเหมือนกันค่ะพี่ปกรณ์”
ปกรณ์โอบไหล่มิ้นท์จากด้านหลังแล้วกระซิบคำหวานๆ บอกรักเธอเบาๆ “พี่รักมิ้นท์ที่สุดเลยครับ”
มิ้นท์ซบหน้าลงกับไหล่ของปกรณ์อย่างรักใคร่ การแสดงออกถึงความรักยังคงเบ่งบานและเติบโตไปพร้อมกับกาลเวลา
ขณะที่อาหารเลิศรสถูกนำมาเสิร์ฟ บทสนทนาของพวกเขาก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องราวในปัจจุบัน แต่ยังหวนรำลึกถึงความทรงจำในอดีตที่หล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นอย่างทุกวันนี้ คีรินทร์หันไปมองอลิสาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“ลิซครับ พี่ยังจำวันที่เราเจอกันครั้งแรกได้เลยนะครับ” คีรินทร์เอ่ยขึ้น “ตอนนั้นลิซดูเป็นคนเย็นชามาก”
อลิสาหัวเราะเบาๆ “ลิซก็จำได้ค่ะพี่คี พี่คีดูเป็นคนเจ้าชู้ที่สุดในสายตาลิซเลยค่ะ”
มิ้นท์และปกรณ์หัวเราะตามไปด้วย ปกรณ์เสริมขึ้นมา “ใช่เลยครับมิ้นท์ ตอนนั้นพี่ก็ยังคิดว่าคีรินทร์เป็นคนไม่น่าไว้ใจ”
“แต่สุดท้ายพี่คีก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความรักของพี่คีจริงจังและมั่นคงแค่ไหน” มิ้นท์กล่าวเสริม
คีรินทร์จับมืออลิสาแน่นขึ้น “ทุกสิ่งที่เราผ่านมาด้วยกัน ทั้งสุขและทุกข์ มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นนะครับลิซ”
อลิสาพยักหน้า “ใช่ค่ะพี่คี มันทำให้ลิซรู้ว่าลิซเลือกคนไม่ผิด”
การหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ไปจนถึงอุปสรรคต่างๆ ที่เคยเผชิญหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับแพรไหมและภูริช หรือความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ล้วนเป็นบทเรียนที่ทำให้พวกเขายิ่งเห็นคุณค่าของความรักที่พวกเขามีให้กันในปัจจุบัน
น้องธาราและน้องอิงดาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ กัน ก็ไม่ได้อยู่นอกวงสนทนาไปเสียทีเดียว พวกเขาได้ยินเรื่องราวของพ่อแม่และอาๆ จากบทสนทนาที่สนุกสนาน และบางครั้งพวกเขาก็หัวเราะไปกับเรื่องราวตลกๆ ที่เคยเกิดขึ้น
น้องอิงดาวหันไปมองน้องธารา “พี่ธาราครับ พ่อกับแม่ของพี่รักกันมากเลยนะคะ”
น้องธารายิ้ม “ใช่แล้วครับ น้องอิงดาว พ่อกับแม่ของพี่ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมาก”
น้องอิงดาวคิดตาม “แล้วพ่อกับแม่ของหนูก็รักกันมากเหมือนกันใช่ไหมคะ”
น้องธาราพยักหน้า “แน่นอนสิครับ”
อลิสาและคีรินทร์หันไปมองลูกๆ ด้วยรอยยิ้ม มิ้นท์และปกรณ์เองก็เช่นกัน การได้เห็นลูกๆ ซึมซับความรักและความผูกพันที่พวกเขามีให้กัน เป็นเหมือนการส่งต่อบทเรียนแห่งความรักจากรุ่นสู่รุ่น ลูกๆ ของพวกเขาเติบโตขึ้นภายใต้ความอบอุ่นของครอบครัว และได้เห็นเป็นตัวอย่างของความรักที่มั่นคงและยั่งยืน
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ดินเนอร์ใกล้จะสิ้นสุดลง คีรินทร์ยกแก้วขึ้น “พี่ขออวยพรให้ความรักของเราทั้งสองคู่ยังคงเบ่งบานและมั่นคงตลอดไปนะครับ”
ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน “Cheers!”
อลิสาหันไปมองคีรินทร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เธอเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้แน่น “ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ลิซก็จะอยู่เคียงข้างพี่คีเสมอค่ะ”
มิ้นท์เองก็ซบหน้าลงกับไหล่ของปกรณ์ “มิ้นท์ก็จะอยู่เคียงข้างพี่ปกรณ์เสมอค่ะ”
คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูด แต่เป็นการตอกย้ำถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความรักของพวกเขาไม่ได้ลดน้อยลงไปตามกาลเวลา ตรงกันข้าม กลับยิ่งทวีความแน่นแฟ้นและงดงามราวกับเพชรน้ำงามที่ยิ่งเจียระไนก็ยิ่งเปล่งประกาย
ค่ำคืนแห่งวันครบรอบแต่งงานจบลงไปพร้อมกับความทรงจำอันแสนสุขและบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อลิสาและคีรินทร์ รวมถึงมิ้นท์และปกรณ์ ได้ร่วมกันสร้างเรื่องราวความรักที่งดงามและยั่งยืน พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความรักที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความหลงใหลชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือความผูกพันที่ลึกซึ้ง ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการเป็นที่พึ่งให้กันและกันเสมอ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายใดๆ ในชีวิต
การที่พวกเขาได้ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกัน ทำให้ความรักของพวกเขามั่นคงยิ่งขึ้น และการได้เห็นลูกๆ เติบโตขึ้นภายใต้ความรักและความอบอุ่นของครอบครัว ก็ยิ่งเติมเต็มความสุขในชีวิตของพวกเขาให้สมบูรณ์แบบ
เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงมายังร้านอาหารที่ว่างเปล่า ความทรงจำของค่ำคืนนี้จะยังคงอยู่ในใจของพวกเขาทั้งสี่ตลอดไป เป็นเครื่องยืนยันว่าสัญญาแห่งรักที่เคยให้ไว้ในวันวาน จะยังคงเบ่งบานและไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
หลังจากการดื่มอวยพรและบทสนทนาอันแสนอบอุ่นในร้านอาหาร อลิสาและคีรินทร์ ตัดสินใจชวนมิ้นท์และปกรณ์กลับมายังบ้านของพวกเขา เพื่อสานต่อค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง เสียงหัวเราะของน้องธาราและน้องอิงดาวที่ดังนำมาก่อน แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่กำลังจะกลับไปเล่นเกมกันต่อ
เมื่อมาถึงบ้าน บรรยากาศก็เปลี่ยนจากความหรูหราของร้านอาหาร มาเป็นความอบอุ่นและสบายๆ ของบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก อลิสาเดินไปหยิบไวน์แดงที่คีรินทร์สะสมไว้มาเปิด ส่วนมิ้นท์ก็ช่วยจัดเตรียมผลไม้และของว่างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทานคู่กับไวน์
“ลิซครับ จำไวน์ขวดนี้ได้ไหมครับ” คีรินทร์ถามพลางชูขวดไวน์ขึ้น
“ขวดนี้เป็นไวน์ที่เราซื้อมาด้วยกันตอนไปเที่ยวอิตาลีครั้งแรกเลยนะครับ”
อลิสายิ้มหวาน “จำได้สิคะพี่คี ขวดนี้เป็นขวดที่ลิซชอบมากเลยค่ะ”
ปกรณ์ที่เดินมาสมทบ “โหคีรินทร์นี่สุดยอดจริงๆ นะยังเก็บไวน์ขวดนี้ไว้อีก”
คีรินทร์หัวเราะ “แน่นอนไวน์ขวดนี้มีความหมายกับฉันมาก”
พวกเขาต่างรินไวน์ใส่แก้วแล้วนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น น้องธาราและน้องอิงดาวเลือกที่จะไปเล่นเกมกระดานในอีกมุมหนึ่งของห้อง ปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่
เมื่อไวน์รสเลิศถูกจิบไปเรื่อยๆ บทสนทนาก็เริ่มลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขาไม่ได้แค่หวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต แต่ยังสะท้อนถึงบทเรียนที่ได้รับจากการเดินทางของชีวิต
“มิ้นท์ครับ พี่จำได้ว่าตอนที่เราเจอกันครั้งแรก มิ้นท์ดูเป็นคนเย็นชามากเลยนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้นพลางมองไปที่มิ้นท์ด้วยรอยยิ้มทะเล้น
มิ้นท์หัวเราะเบาๆ “พี่ปกรณ์ก็พูดเกินไปค่ะ ตอนนั้นมิ้นท์ก็แค่ยังไม่ค่อยรู้จักใคร”
อลิสาเสริม “ใช่ค่ะ ลิซก็เคยคิดว่ามิ้นท์เป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าถึงง่าย แต่พอได้รู้จักแล้ว มิ้นท์เป็นคนน่ารักและจริงใจมากเลยค่ะ”
คีรินทร์พยักหน้า “เหมือนกับลิซตอนแรกๆ ที่พี่เจอเลยครับ” เขาหันไปมองอลิสาแล้วยิ้มอบอุ่น “ลิซดูเป็นคนแข็งนอกอ่อนในนะครับ”
อลิสาส่งค้อนให้คีรินทร์เล็กน้อย “พี่คีก็พูดไปเรื่อยค่ะ”
บทสนทนาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาทั้งสี่คนได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของกันและกันมากขึ้นตามกาลเวลา จากความประทับใจแรกที่อาจจะไม่ใช่ที่สุด แต่เมื่อได้รู้จักและใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าและความงามในตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง
ค่ำคืนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการฉลองวันครบรอบแต่งงาน แต่ยังเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขายิ่งตระหนักถึงความสำคัญของมิตรภาพที่แข็งแกร่งที่พวกเขามีให้กัน ไม่ว่าจะเป็นอลิสากับมิ้นท์ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและพี่น้อง หรือคีรินทร์กับปกรณ์ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาให้กันเสมอ
“ปกรณ์ ฉันไม่รู้จะทำยังไงถ้าไม่มีแกอยู่ข้างๆ” คีรินทร์กล่าวด้วยความจริงใจ “ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แกก็คอยให้คำปรึกษาฉันเสมอ”
ปกรณ์ยิ้ม “ฉันก็เหมือนกันคีรินทร์ แกก็เป็นเหมือนพี่ชายคนโตของฉัน”
มิ้นท์หันไปมองอลิสาแล้วกุมมือเธอไว้ “ลิซมิ้นท์ดีใจที่มีลิซเป็นเพื่อนนะลิซเป็นเหมือนพี่สาวที่คอยรับฟังและให้กำลังใจมิ้นท์เสมอ”
อลิสาบีบมือมิ้นท์ตอบเบาๆ “มิ้นท์ก็เป็นน้องสาวที่น่ารักของลิซค่ะ”
การที่พวกเขาต่างเป็นที่พึ่งให้กันและกัน ไม่ว่าในยามสุขหรือยามทุกข์ เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้มิตรภาพของพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นและยั่งยืน ความผูกพันนี้ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวย แต่เป็นสายใยที่ถักทอจากความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนดึก การแสดงออกถึงความรักของทั้งสองคู่ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการกอด การจูบ หรือการสัมผัสกันเบาๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ยืนยันว่าความรักของพวกเขายังคงเบ่งบานและเติบโตไปพร้อมกับกาลเวลา
คีรินทร์เห็นว่าอลิสาเริ่มง่วง เขาดึงเธอเข้ามาโอบกอดแน่น อลิสาซบหน้าลงกับอกของคีรินทร์อย่างสบายใจ คีรินทร์จูบที่หน้าผากของเธอเบาๆ “ลิซครับ ง่วงแล้วใช่ไหมครับ”
อลิสาพยักหน้า “นิดหน่อยค่ะพี่คี”
ปกรณ์เดินไปนั่งข้างๆ มิ้นท์ที่กำลังดูรูปถ่ายในอัลบั้มเก่าๆ ของพวกเขา เขายื่นมือไปลูบแก้มมิ้นท์อย่างอ่อนโยน แล้วก้มลงหอมแก้มเธออย่างรักใคร่ “มิ้นท์ครับ พี่รักมิ้นท์นะ”
มิ้นท์ยิ้มหวาน เธอกุมมือปกรณ์ไว้แน่น “มิ้นท์ก็รักพี่ปกรณ์ค่ะ”
ความรักของทั้งสองคู่ยังคงสดใสและอบอุ่นอยู่เสมอ แม้จะผ่านวันเวลามาหลายปี พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะเติมเต็มความสุขให้แก่กันในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ หรือคำพูดที่อบอุ่น ความรักที่เบ่งบานนี้คือพลังที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตของพวกเขาสมบูรณ์แบบและมีความสุขอย่างแท้จริง
ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองวันครบรอบแต่งงานจบลงไปพร้อมกับความทรงจำอันแสนสุขและบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น อลิสาและคีรินทร์ รวมถึงมิ้นท์และปกรณ์ ได้ร่วมกันสร้างเรื่องราวความรักที่งดงามและยั่งยืน พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความรักที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความหลงใหลชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือความผูกพันที่ลึกซึ้ง ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการเป็นที่พึ่งให้กันและกันเสมอ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายใดๆ ในชีวิต
การที่พวกเขาได้ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกัน ทำให้ความรักของพวกเขามั่นคงยิ่งขึ้น และการได้เห็นลูกๆ เติบโตขึ้นภายใต้ความรักและความอบอุ่นของครอบครัว ก็ยิ่งเติมเต็มความสุขในชีวิตของพวกเขาให้สมบูรณ์แบบ
เมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงมายังร้านอาหารที่ว่างเปล่า ความทรงจำของค่ำคืนนี้จะยังคงอยู่ในใจของพวกเขาทั้งสี่ตลอดไป เป็นเครื่องยืนยันว่าสัญญาแห่งรักที่เคยให้ไว้ในวันวาน จะยังคงเบ่งบานและไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
ตอนพิเศษ งานวิวาห์ของธาราและอิงดาวเสียงดนตรีไทยบรรเลงอย่างไพเราะเสนาะหู กลิ่นหอมของดอกมะลิและดอกกล้วยไม้ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณเรือนไทยโบราณที่ถูกประดับประดาอย่างงดงามด้วยผ้าไหมสีทองและดอกไม้นานาพันธุ์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมากระทบกับเครื่องประดับทองคำที่เจ้าสาวสวมใส่ ส่องประกายเป็นประกายระยิบระยับวันนี้เป็นวันสำคัญ วันที่หัวใจสองดวงจะผูกพันกันชั่วนิรันดร์ วันวิวาห์ของธาราและอิงดาวหลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อกัน เรื่องราวความรักของพวกเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความกังวลของครอบครัว ความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง และแรงกดดันจากขนบธรรมเนียมประเพณีคีรินทร์และอลิสาพ่อแม่ของธารา รู้สึกประหลาดใจและกังวลใจอย่างมากเมื่อลูกชายสารภาพว่าเขารักอิงดาวเกินกว่าคำว่าน้องสาว“ธาราลูก ลูกแน่ใจหรือ” อลิสาถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจในวันนั้น “อิงดาวเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรานะลูก”คีรินทร์เองก็เสริม “เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนนะลูก มันอาจจะทำให้เกิดเรื่องไม่สบายใจกับครอบครัวเราได้”ทางด้านมิ้นท์และปกรณ์ พ่อแม่ของอิงดาว ก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก โดยเฉพาะมิ้นท์ที่เป็น
ตอนที่ 131 ธาราสารภาพรักอิงดาว (ตอนจบ)สายลมยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ พัดเอื่อยๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบของธารา แสงไฟจากโคมไฟหัวเตียงสลัวๆ ส่องกระทบกับใบหน้าของธาราและอิงดาวที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกัน บรรยากาศเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ได้ยินหลังจากวิกฤตการณ์ทางธุรกิจเริ่มคลี่คลาย และอิงดาวได้ยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ไปแล้ว ความใกล้ชิดระหว่างธาราและอิงดาวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันบ่อยขึ้น สัญญาณจากใจที่ทั้งคู่ส่งออกมาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่กำแพงที่มองไม่เห็นของความเป็นลูกพี่ลูกน้องก็ยังคงกั้นขวางอยู่วันนี้หลังจากที่พวกเขาเพิ่งกลับจากการทานอาหารค่ำด้วยกัน ธารารู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะพูดความในใจออกไป เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้าธาราสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เขามี“อิงดาวครับ พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับอิงดาว” ธารากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนอิงดาวรู้สึกได้อิงดาวหันมามองธารา ใบหน้าข
ตอนที่ 130 สัญญาณจากใจหลังจากอิงดาวยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ เธอกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ก็ยังคงใช้เวลาอยู่กับธารามากขึ้น พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันบ่อยขึ้น ความรู้สึกระหว่างธาราและอิงดาวเริ่มเปลี่ยนไปอย่างละเอียดอ่อน มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการมองตาที่ยาวนานกว่าปกติ การสัมผัสกันโดยบังเอิญที่ทำให้ใจเต้นแรง หรือบทสนทนาที่ลึกซึ้งเกินกว่าความเป็นพี่น้อง ธารายังคงไม่กล้าสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกไป แต่อิงดาวเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง บทสรุปของตอนนี้จะทิ้งท้ายไว้ให้ผู้อ่านลุ้นว่าความสัมพันธ์ของธาราและอิงดาวจะก้าวไปในทิศทางใดต่อไปในอนาคตสายลมยามเย็นพัดโชยอ่อนเข้ามาในระเบียงคอนโดมิเนียมของธารา แสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนผืนฟ้า อิงดาวนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้หวายตัวโปรดของธารา ส่วนธารากำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหารว่างเล็กๆ น้อยๆ หลังจากการทำงานร่วมกันอย่างหนักหน่วงเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางธุรกิจของ ‘มั่งคั่งแลนด์’ บรรยากาศเงียบสงบและผ่อนคลาย
ตอนที่ 129 ความรักที่ต้องเลือกอิงดาวเริ่มทบทวนความสัมพันธ์กับพฤกษ์ เธอตระหนักว่าพฤกษ์อาจไม่ใช่คนที่เธอต้องการจริงๆ ในยามยาก และความรู้สึกที่เธอมีต่อพฤกษ์อาจเป็นเพียงความประทับใจชั่วคราว เธอตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ ทำให้ธารารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้ เพราะยังคงสับสนกับกำแพงของความเป็นพี่น้องที่คอยกั้นขวางพวกเขาอยู่ค่ำคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก เสียงฟ้าคำรามก้องสะท้อนความรู้สึกภายในใจของอิงดาวที่กำลังปั่นป่วน เธอทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นของเธอ ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด มือถือวางคว่ำหน้าอยู่ข้างๆ เธอไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เพราะเธอกำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเองวิกฤตการณ์ทางธุรกิจที่ถาโถมเข้ามาได้กลายเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับชีวิตของอิงดาว และรวมถึงความสัมพันธ์ของเธอกับพฤกษ์ด้วย ในช่วงที่เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากที่สุด พฤกษ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดหวังเธอจำได้ว่าเธอเคยรู้สึกประทับใจในตัวพฤกษ์มากแค่ไหน เขาเป็นคนฉลาด มีเสน่ห์ มีความมั่นใจ และดูเหมือนจะเข้าใจเธอในหลายๆ เรื่อง แต่เมื่อวิก
ตอนที่ 128 เมื่ออิงดาวต้องการที่พึ่งจากวิกฤตการณ์ทางธุรกิจ อิงดาวรู้สึกท้อแท้และเปราะบางมาก เธอเริ่มรู้สึกว่าพฤกษ์ไม่ได้ให้กำลังใจเธอเท่าที่ควร หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้า อิงดาวหันมาพึ่งพาธารามากขึ้นเธอระบายความในใจและความกังวลให้กับธาราฟัง ธารารับฟังด้วยความเข้าใจและให้กำลังใจน้องสาวอย่างเต็มที่ เขากอดอิงดาวแน่นเพื่อปลอบประโลม เมื่ออิงดาวได้อยู่ในอ้อมกอดของธารา เธอกลับรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ธาราเองก็รู้สึกเจ็บปวดที่เห็นอิงดาวเสียใจ แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างเธอเสียงฝนพรำนอกหน้าต่างห้องทำงานของอิงดาวในค่ำคืนที่เงียบสงัด สะท้อนกับหยาดน้ำตาที่คลออยู่เต็มดวงตาของเธอ รายงานตัวเลขผลประกอบการที่แสดงถึงการขาดทุนอย่างต่อเนื่องวางแผ่บนโต๊ะ เหมือนเป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกท้อแท้และเปราะบางในใจของเธอ วิกฤตการณ์ทางธุรกิจที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทำให้อิงดาวรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความสิ้นหวังเธอพยายามที่จะเข้มแข็ง พยายามที่จะยิ้มและให้กำลังใจทีมงาน แต่ลึกๆ แล้ว เธอกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับไหว เธอพยายามโทรหาพฤกษ์
ตอนที่ 127 โอกาสที่ใกล้ชิดเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ธุรกิจของอิงดาวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ธาราในฐานะพี่ชายและผู้บริหารที่มีประสบการณ์ตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลืออิงดาวอย่างเต็มที่ พวกเขาต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหา วิกฤตการณ์นี้กลายเป็นโอกาสที่ทำให้ธาราและอิงดาวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และได้เห็นความสามารถและความมุ่งมั่นของกันและกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ธารารู้สึกดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างอิงดาวในยามยาก แต่ก็เจ็บปวดที่ต้องเห็นอิงดาวเสียใจจากปัญหาที่เกิดขึ้นเช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ดูจะมืดครึ้มกว่าปกติ คล้ายกับเมฆหมอกที่ปกคลุมบรรยากาศในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ ข่าวใหญ่พาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวธุรกิจ: “เศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนัก ส่งผลกระทบตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์” “ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ”มาตรการที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม และแน่นอนว่า ‘มั่งคั่งแลนด์’ ของอิงดาวก็ได้รับผลกระทบอย่างจัง โครงการที่กำลังพัฒนาหลายแห่