Войтиถ้ามีใครถามอันวาร์ว่า คนจะสนิทกันต้องใช้เวลาเป็นวันเลยไหม เขาจะตอบว่า ไม่ และกรณีตัวอย่างก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเสียด้วย...เขาและอีเจ๊รจนานี่เอง
มาอย่างหงส์
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ เอ่อว้าว สวัสดีครับ”
ลงอย่างหมา
“อันวาร์แก คือเอาจริง ๆ นะฉันก็แค่อยากมีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาบ้าง จิตใจสาวน้อยของฉันมันเปล่าเปลี่ยวฉันก็เลยไปขอเนื้อคู่ แต่สงสัยลมทะเลที่ฮ่องกงจะตีแรงไปหน่อยเสียงฉันเลยขาดหาย เจ้าแม่เลยเข้าใจสารของฉันผิดไปอะแก คือฉันขอมีผัวไง ไม่ใช่มาอยู่ในร่างผัว คือฉันแค่อยากหายโสดกับหนุ่มฮอตกระแทกใจสายแบดบอยอะแก หรือจริง ๆ แล้วฉันควรไปขอพรกับพระตรีฯ ตั้งแต่ต้นวะ”
“แต่ทางเทคนิคแล้วพระตรีฯ ไม่ได้ให้พรเรื่องความรักนะเจ๊”
“แกไม่บู้บี้ฉันสิ!”
“ผมไปบู้บี้เจ๊ตอนไหนก่อน”
ในเวลาเพียงห้าชั่วโมงหลังคำชวนอย่างอารมณ์ดีว่า “อันวาร์ กินเหล้าไหมเราน่ะ” <
ตอนที่รู้ผลการสืบสวน อันวาร์รู้สึกเหมือนตนถูกลอตเตอรี่รางวัล 300 ล้านบาท...เป็นโชคดีของเขาที่หยางซิงอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวหวังต้าเหยียน แต่ในความยินดี เวลาหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้ชายหนุ่มได้ขบคิดบางสิ่งบางอย่างและไม่ช้าก็เร็ว เขาก็คาดว่าตนและรจนาคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อยมีเรื่องเล่าในกองทัพอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของกองกำลังพิเศษแห่งแคว้นหวังที่ล่มสลายไปแล้ว โดยแคว้นนี้ดั้งเดิมตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นหยาง ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างแคว้นหยางและแคว้นเยี่ย เล่าขานกันว่า กองกำลังพิเศษนี้ดั้งเดิมเป็นชนเผ่าจากเขาสูงนาม “เจียง” เพื่อให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดได้กลางป่าเขา คนเผ่านี้จึงฝึกฝนร่างกายอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย จนคนในเผ่ามีลักษณะทางกายภาพแปลกประหลาด ทั้งร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษา แขนขายาวเหมือนไม้พลอง และมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองจากการฝึกกับกรวดทรายในกระทะร้อนหลังแคว้นหวังค้นพบการมีอยู่ของชนเผ่าเจียงก็จับพวกเขามาเป็นทหาร และนำการฝึกฝนของพวกเขามาประยุกต์ใช้คู่กับการฝึกวรยุทธ์เดินลมปราณ ไม่นานจาก “
เฉินอวี้กำลังยกชาร้อนขึ้นจิบหลินซีกำลังจัดปลอกแขนของตนให้เข้าที่ซานหลินกำลังพูดคุยกับซูมู่ถงและหยางซิงอี...อันวาร์ วราหะกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องรับรอง...ยามผู้ตรวจการเข้ามาหาพวกเขาหลังหวังต้าเหยียนพ้นขีดอันตรายได้ไม่ถึงชั่วยาม บรรดาผู้ตรวจการก็เริ่มสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ผู้รับผิดชอบจึงเป็นขุนนางยศเสนาบดีกรมยุติธรรม และบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนก็มีแต่ยอดฝีมือ และเพราะนี่เป็นเหตุที่เกิดแก่เชื้อพระวงศ์ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการขอกำลังสืบสวนจากภายนอกใคร ๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างแปดแคว้นเปราะบางเช่นไร หากแคว้นอื่นรู้ว่าราชวงศ์หยางอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายก็อาจมีการแทรกแซงจากภายนอกได้ เหมือนน้ำที่ไหลซึมในรอยร้าวที่มองไม่เห็น ซึมจากรอยหนึ่งสู่อีกรอย แม้แต่แคว้นไป๋ที่ปรองดองกันอยู่เองก็อาจเป็นแคว้นแรกที่หันมีดใส่อันตราย ฉะนั้น จนกว่าจะได้ตัวหรือสืบทราบผู้กระทำผิด...จนกว่าการสืบสวนจะจบลง พวกเขาจะให้มีข่าวหลุดออกไปไม่ได้
ขณะหลินซีและเฉินอวี้ไล่ตามโจรลักพาตัวและหวังต้าเหยียนบนหลังคา อันวาร์และซานหลินผู้ตัดสินใจไปขอกำลังจากผู้ตรวจการมา ก็ส่งม้าเร็วคนหนึ่งไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายนี้แก่องค์จักรพรรดิหม่าเยว่แจ้งเหตุร้ายนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด และทันทีที่ทราบเรื่องจากขันทีคู่ใจ การประชุมของราชสำนักและองค์จักรพรรดิก็เป็นอันหยุดลง“เจ้าว่าเช่นไรนะหม่าเยว่” สุรเสียงที่ยามปกติเยือกเย็นวันนี้ร้อนรน และขันทีวัยกลางคนก็ได้แต่แจ้งข่าวร้ายซ้ำอีกครั้ง“องค์หญิงหวังต้าเหยียนถูกลักพาตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”ราวกับโลกหยุดหมุน รจนารู้สึกเย็บวาบไปทั้งสรรพางค์กาย บรรดาขุนนางเองพอทราบเหตุก็ตกใจ ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและคำถาม แต่ไม่มีสิ่งใดเข้าหูรจนา หล่อนสั่งให้คนช่วยเตรียมม้า และเพียงก้านธูป ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิก็ออกจากวังหลวงไปยังสำนักงานผู้ตรวจการของตลาดที่เกิดเหตุบนหลังม้า จมูกของรจนาคล้ายได้กลิ่นดอกยี่โถ และหล่อนนึกถึงคำพูดของหยางซิงอีในความฝัน“ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ควรปล่อยข้าไป...ท่านพี่”แล้วหล่อนก็ได้แต่คิดว่าหล่อนน่าจ
เพราะองค์หญิงหวังต้าเหยียนยังไม่มีราชองครักษ์ประจำพระองค์ รจนาจึงมอบหมายหน้าที่อารักขานางนอกเขตพระราชฐานให้หลินซีก่อนเดินทางออกจากวัง เขาและซานหลินตกลงกันว่า เพื่อมิให้สะดุดตาจนเกินควร ซานหลินจะทำหน้าที่อารักขาราชนิกุลทั้งสองในที่แจ้ง ขณะที่หลินซีจะคอยตามดูในเงามืด แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งอันวาร์และหวังต้าเหยียนล้วนทราบดี แต่ถึงจะมียอดฝีมือคอยดูแลอย่างใกล้ชิดถึงสองคน......เหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีที่โต๊ะกลมของภัตตาคารเฟยหย่า หวังต้าเหยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างถัดเข้ามาคือซานหลิน และอันวาร์เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งสามลุกจากที่นั่ง ที่แขนยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวหวังต้าเหยียนออกจากภัตตาคารไปทางช่องหน้าต่าง ต่อหน้าต่อตาซานหลินและอันวาร์ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ส่งเสียง ชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนของหวังต้าเหยียนก็ลอยพ้นขอบหน้าต่างไปแล้วในชั่ววินาทีอันเชื่องช้าที่แขนข้างนั้นกระชากตัวหวังต้าเหยียนออกไป เขาเห็นใบหน้านางซีดเผือด นางยื่นมือมาหาเขา ปากเอ่ยว่า “ท่านพี่...” แต่เขากลับคว้าจับมือนางไม่ทัน"ไอ้เวร!" อันวาร์ส
รจนามองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตำหนักองค์ชายเจ็ดจากห้องทรงงานของหยางลู่จื้อ ในสายตาหล่อน รอยยิ้มของตำหนักองค์ชายเจ็ดถือเป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วไม่คิดว่าสองสัปดาห์ต่อมาหลังคิดเช่นนั้น หล่อนจะฝันร้ายรุนแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่อาจหลับได้อีกจนเช้าในฝันรจนานั่งทำงานรออันวาร์และหวังต้าเหยียนมาเข้าเรียนยามค่ำเช่นทุกวัน แต่รอแล้วรอเล่าทั้งคู่ก็ไม่มาเสียที หล่อนจึงตัดสินใจจะส่งหลินซีออกไปตาม แต่ไม่ว่าจะเรียกหาหลินซีสักกี่ครั้ง คนสนิทของหล่อนก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวเลยประหลาด หล่อนคิดแล้วลองเรียกผู้อื่นดูบ้าง ทั้งหญิงรับใช้และขันทีแต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม มีเพียงเสียงเรียกหาแต่ปราศจากเสียงขานรับหนังหัวของรจนาชาวาบ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอยู่ ๆ ลมเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาดับตะเกียงไฟทุกดวงในห้องทรงงานราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้เปลวเพลิง เมื่อปราศจากแสงสว่าง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดรวมถึงตัวหล่อนด้วยท่าไม่ดีแล้ว หล่อนคิด ห้องทรงงานในความมืดดูวังเวงอย่างน่าป
เพราะเรียนหนังสือด้วยกัน สอบด้วยกัน และอันวาร์ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักของหวังต้าเหยียนทุกวัน ไม่กี่สัปดาห์หลังรู้จักกัน อันวาร์ก็กลายเป็นคนที่หวังต้าเหยียนสนิทด้วยที่สุดในวังหลวงเริ่มจากสีฉลองพระองค์ที่พระนางเริ่มทรงตามเขา ทรงสังเกตรูปแบบสีที่เขาเลือกใส่แล้วใส่ตาม วันไหนเขาใส่สีแดงพระนางก็ทรงสีแดง วันไหนเขาใส่สีเขียวนางก็ทรงสีเขียว แต่เพราะพระนางมีราชครูคอยชี้แนะเรื่องการแต่งกายอย่างใกล้ชิด สีฉลองพระองค์ของพระนางจึงอ่อนหวานสบายตากว่าของเขามากครั้งแรกที่เขาจับสังเกตได้ว่า ฉลองพระองค์ของพระนางเป็นสีเดียวกันกับของเขา เขาดีใจมากจนพาพระนางไปยืนทำท่าทางประหลาดที่หน้ากระจก และแต่ละท่าทางก็ช่างน่าขัน จนหลายครั้งหลังทำท่าทางเสร็จก็ต่างลงไปนั่งหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่กับพื้นห้อง หน้าดำหน้าแดงไปหมดหวังต้าเหยียนพบว่า ยามปกติฉลองพระองค์ขององค์ชายเจ็ด (และองค์จักรพรรดิ) นั้นมิได้มีสีสันฉูดฉาดแสบตาเช่นวันแรกที่พระนางพบเจอทั้งสองพระองค์ และเมื่อพระนางถามอันวาร์เรื่องนี้ เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้มขบขันว่า วันนั้นเป็นวันพิเศษ เขาจึงแต่งตัวให้พิเศษสดใสกว่าปกติเสียหน่อยเท่านั้นเอง







