“สาวเมืองกรุงไม่เคยเห็นช้าง ก็เป็นอย่างนี้ล่ะน๊า”
“ฉันเคยเห็นแต่ในสวนสัตว์ แต่ไม่เคยเห็นเป็นโขลงแบบนี้ นายราหู...ช้างป่านี่มันดุร้ายใช่มั้ย แล้ว...มันจะข้ามฝั่งมาเหยียบเรามั้ย”
จันทร์ดาราถาม โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากภาพของธรรมชาติอันงดงามเบื้องหน้าเลย
“หึ หึ ช้างมันก็กลัวตายเหมือนกันนะคุณ น้ำเชี่ยวขนาดนี้ มันคงไม่ลงไปหรอก แต่...ถ้าคุณยังยืนดูมันอยู่ตรงนี้ แล้วมันมองเห็นคุณ ก็ไม่แน่หรอกนะ มันอาจจะอยากข้ามมาหาคุณก็ได้”
สุริยะแสร้งขู่ให้จันทร์ดารากลัว ก่อนเดินนำหญิงสาวออกไปก่อน
“นี่ๆ รอฉันด้วยสิ นายราหู”
จันทร์ดารารีบวิ่งตามร่างสูงไปทันที สงครามฝีปากสงบลงไปชั่วขณะ ต่างคนก็ลืมๆ ไปว่าได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกันบ้าง
ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำตกดังสนั่น สุริยะจึงมองหาหนทางใหม่ เขามองเห็นกองหินสลับซับซ้อนเป็นขั้นๆ ไล่ลงไปเบื้องล่างอ้อมไปทางที่สายน้ำตกลงไป เขาจึงหันไปคว้ามือบางและพาไต่ก้อนหินลงไปช้าๆ บางก้อนมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เต็มจนลื่นไปหมด ผู้พันหนุ่มก็ใช้วิธียกร่างบางส่งข้ามไปอีกก้อน ใช้กำลังและความชำนาญในการเดินป่ามาช่วยเต็มที่
ปลายเท้าในรองเท้าคอมแบ็ตก้าวไปข้างหน้าและหยุดชะงักพร้อมกับยกร่างบางข้ามเป็นระยะๆ โดยไม่บ่น และจันทร์ดาราก็ไม่พูดมากเช่นเดียวกัน กว่าสุริยะจะพาจันทร์ดาราไต่ลงมาถึงข้างล่างได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
สุริยะเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ และเห็นว่าดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงไปมาก บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงผืนป่าแห่งนี้ก็จะมืดครึ้ม และมีแสงนวลลออจากดวงจันทราเข้ามาแทนที่
“เราคงต้องหาที่พักแล้วล่ะ มันใกล้จะมืดแล้ว”
“นายว่ายังไง ฉันก็ว่าตามนั้น”
สุริยะหันมามองร่างบางที่สูงแค่ไหล่ของเขา และอดแปลกใจไม่ได้ที่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนๆ นั้น หญิงสาวตรงหน้าเขาคนนี้คงเริ่มเหนื่อยและกำลังหิว ถึงไม่มีแรงต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก แต่เวลาที่เธอทำตัวสงบๆ แบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน
“มองอะไร หน้าฉันมีอะไรติดรึไง”
จันทร์ดารายกมือป้ายหน้าป้ายตาของตนเอง เพื่อปัดสิ่งที่คิดว่าจะมีติดอยู่บนใบหน้าของเธอ
“หน้าคุณน่ะไม่มีอะไรติดหรอก แต่ผมมองคุณ เพราะไม่เคยเห็นคุณเงียบแบบนี้ไง คงจะหิวแล้วสิท่า”
“จ๊อก” เสียงท้องของจันทร์ดาราร้องประจานเจ้าของขึ้นทันควัน และสุริยะก็หัวเราะลั่น จนหญิงสาวบิดตัวไปมาอย่างเขินอายหน้างอลงนิดๆ
“ทนอีกนิดนะ ผมมีปลากระป๋อง แต่ไม่มีข้าว ก่อนอื่นเราคงต้องหาที่พักก่อนจะกิน”
พูดจบ ผู้พันหนุ่มก็เหลียวมองไปรอบๆ และสายตาก็ไปหยุดที่ม่านน้ำตกขนาดใหญ่ สุริยะเห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างค่อยๆ เลื้อยออกมาจากหลังม่านน้ำตก และมันก็ค่อยๆ เลื้อยออกไปทางด้านซ้าย สายตาคมกริบมองเส้นทางที่เจ้างูเหลือมตัวนั้นเลื้อยออกมา ก่อนที่มันจะเลื้อยหายไป
“ผมรู้แล้วว่าคืนนี้เราจะนอนที่ไหน”
พันตรีสุริยะเดินนำจันทร์ดาราผ่านชั้นน้ำตกเล็ก สายน้ำบริเวณนี้ไม่แรงเท่าน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกใหญ่ แต่ก็ยังต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเช่นกัน เพราะหินที่เหยียบใต้น้ำนั้นมีตะไคร่จับหนา ร่างสูงจับมือบางเอาไว้มั่นและค่อยๆ เดินผ่านไปทีละก้าวช้าๆ จนในที่สุดก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
สุริยะพาร่างเล็กเดินไปถึงม่านน้ำตก เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่เพราะกระแสน้ำค่อนข้างแรงและทางเดินที่พาเขาและเธอเดินไปนั้นมันทั้งแคบและลื่น
“คุณเห็นช่องระหว่างน้ำตกและก้อนหินนั่นมั้ย”
ชายหนุ่มถาม พร้อมกับชี้ไปที่หลังม่านน้ำตก
“เห็น เอ๊ะ! นั่นมัน...”
“ถ้ำ...คืนนี้เราจะต้องเข้าไปนอนในนั้น มันเป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด เพราะถ้าพวกนั้นยังตามมา มันคงไม่คิดว่าเราจะเข้าไปนอนในนั้น”
“มันไม่คิด เพราะในนั้นมันอันตรายยังไงล่ะ แล้วนายจะเข้าไปนอนทำไม” จันทร์ดาราสงสัย
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามันอันตราย คุณคิดว่าจะมีตัวอะไรอยู่ในนั้นรึไง” สุริยะไม่บอกหญิงสาวว่าเขาเพิ่งเห็นงูเหลือมเลื้อยออกมาจากในนั้น เพราะถ้าเธอรู้ เธอก็คงกรี๊ดๆๆ จนป่าแตกก็เป็นได้ “คุณดูสิ ว่าทางเข้ามันลำบากและอันตรายแค่ไหน แล้วจะมีตัวอะไรเข้าไปอยู่ในนั้นได้” ชายหนุ่มให้ความเห็นเพื่อคลายความกังวลแก่หญิงสาว
“เชิญค่ะ ตามสบาย” “ไม่ทราบว่าเป็นพนักงานใหม่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า แต่เอ...ไม่ยังรู้ว่าเขารับคนท้องเข้าทำงานด้วย” จันทร์ดาราเกือบหัวเราะ นี่เธอดูเหมือนเป็นพนักงานของที่นี่งั้นเหรอ งั้นก็ฟอร์มทำเป็นพนักงานต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาไม้ไหน “ค่ะ ดิฉันโชคดีค่ะ ที่เอส.เอส.เค.รับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่ท้องแก่” “อ๋อ...ที่บริษัทนี้มีสวัสดิการดีมากเลยครับ สงสัยจะไม่เลือกว่าท้องไม่ท้อง แต่คงเลือกที่ความสามารถมากกว่า” “นั่นสิคะ ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ แล้วทำงานในตำแหน่งอะไร” “ผมชื่อวิสุทธิ์ วิชยะชัยเจริญ ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายคิวซีครับ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร ทำงานแผนกไหน” จันทร์ดารานิ่งคิดชั่วครู่ จะบอกเขาดีไหมนะว่าเธอเป็นใคร หรือจะปล่อยให้เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ‘อืม...พี่ยะก็เคยหลอกเรานี่นา อยากรู้จังว่าความรู้สึกหลอกใครบางคนได้นั้น มันเป็นยังไง’ “ดิฉันจันทร์ดารา จักราพิมุขค่ะ ทำงานอยู่...แผนก...เอ่อ...เลขานุการค่ะ” “ห๊า...เลขานุการเหรอ
หัวใจของเธอกลั่นกรองความรู้สึกแล้วส่งไปให้ปลายลิ้นและเรียวปาก ซึ่งกำลังมอบความสุขให้คนรักอย่างตั้งใจ ปลายลิ้นสะบัดกวัดไกวประสานงานกับเรียวนิ้วทั้งห้า ร่างกำยำไหวยะเยือกตัวสั่นสะเทิ้ม มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ที่รักจ๋า พี่...จะขาดใจ...อยู่แล้ว...คนดี” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ความสุขกำลังทะยานจนใกล้จะถึงขีดสุด จันทร์ดาราลุกขึ้นนั่งหันหลังบนตักกว้าง ครอบครองแก่นกายที่กำลังสะท้านเจียนขาดใจรอมร่อ เธอเท้ามือยันที่เท้าแขนแล้วเริ่มห่มสะโพกผายขึ้นลง “จำไว้นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราหูก็ต้องอยู่คู่กับพระจันทร์” ร่างสองร่างขยับสอดคล้องกันบนรถวีลแชร์ ความคับแคบหาได้เป็นอุปสรรค ความรักที่บรรจงมอบให้แก่กันและกันจนรุ่มร้อน ไฟรับโอบล้อมรอบกายของทั้งคู่ จนห้องน้ำนั้นร้อนระอุ เสียงครวญครางไม่เป็นประสาดังสอดประสานกัน เหมือนกับดวงใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน กว่าที่ทั้งคู่จะลงมาจากห้องหอเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง หม่อมหลวงสุริยะ แสงสุรียกานต์ต้องทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่ออีกสองเดือน กว่าที่เ
ร่างหนาโหมสะโพกถาโถมเต็มกำลัง เหมือนเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องเร็วเต็มสปีด เท่าที่พละกำลังทั้งหมดจะเอื้ออำนวย ไฟรักไม่เคยมอดดับตราบใดที่ลมหายใจแห่งรักยังคงดำเนินอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หัวใจสองดวงก็ยังคงเชื่อมต่อกันอย่างโหยหา สุริยะคำรามลั่นเมื่อถึงวินาทีสุดท้าย หยาดรักชโลมอยู่ภายในความคับแน่น และชายหนุ่มก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องได้ลูกหัวปีท้ายปีให้ได้ เขาอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกตัวน้อยวิ่งเล่นกันเต็มบ้าน เวลาไปไหนมาไหนทีเขาก็จะอุ้มลูกหนึ่งคน จูงหนึ่งคน และให้แม่เขาจูงอีกคนหนึ่ง เท่านั้นแหละครอบครัวที่สุริยะต้องการ “โอย...นี่ขนาดยังบาดเจ็บอยู่ พี่ยะยังมีแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ” เสียงหวานของคนในอ้อมกอดสั่นพร่า แต่ดวงตาไหววับล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านม่านลูกไม้โปร่งบาง เธอกับเขายังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ส่งตัวเข้าหอ ป่านนี้คนข้างล่างคงชะเง้อชะแง้รอคอยแล้ว “เรี่ยวแรงพี่ยังคงเหมือนม้าศึกไม่เปลี่ยนหรอกที่รัก ว่าแต่...เราจะต่อกันอีกรอบหนึ่งดีไหม” “ไม่ดีค่ะ ชิ...เห็นหน้าจันทร์เจ้าก็คิดเป็นแต่เรื่องเดียว ลุ
ชายหนุ่มหันไปจูบแก้มเนียนนุ่มหนักๆ แล้วทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความรักและความห่วงหาอาทรในยามที่รู้ว่าคนรักกำลังจะมีลูก แต่คนเป็นพ่อกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนแหม็บอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล แล้วยังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเดินไม่ได้เหมือนปกติ ทำให้เขาอยากลองใจหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ ว่าถ้าเขากลายเป็นคนพิการทั้งหน้าตาและร่างกาย เมียรักจะรับเขาได้ไหมและจะยังรักเขาเหมือนเดิมรึเปล่า “จันทร์เจ้ารังเกียจคนพิการอย่างพี่รึเปล่า” หญิงสาวไม่ตอบ เวลานี้เธออยากใช้ภาษากายบอกเขา ว่าเธอรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน คำว่ารังเกียจตัดทิ้งไปได้เลย ไม่ว่าสุริยะจะกลับมาด้วยร่างกายที่ครบ 32 หรือไม่ เธอก็ยังรักเขาไม่เสื่อมคลาย มือบางปลดกระดุมเสื้อสูทสีขาวเช่นเดียวกับชุดเจ้าสาวของเธอจนหมดแถว และช่วยถอดออกจากร่างหนา ไม่สนใจดวงตาคมกริบซึ่งมองใบหน้างดงามของคนตั้งอกตั้งใจปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออก มองการกระทำอันแสนน่ารักซึ่งทำให้ด้วยความเต็มใจ “ที่รัก...ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าพี่ไปเจอกับอะไรมาบ้าง” “อยากรู้ค่ะ แต่อยากรู้เรื่องอื่นก่อน”
“โอ๊ย! ปล่อยนะ คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้กับฉัน” กลีบปากและจมูกร้อนๆ ซุกไซ้ไปตามลำคอหอมกรุ่ม ไม่สนใจมือบางที่ดันใบหน้าเหวอะหวะเอาไว้แน่น คนตัวโตลืมตัวลืมใจปล่อยให้ความต้องการเข้าครอบงำ ลืมแม้กระทั่งความลับที่ต้องการจะปกปิด แต่คนตัวเล็กนั้นหาได้ลืมตัวไปกับสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น จริงสิ...อ้อมกอดแบบนี้ รวมถึงกลิ่นกายที่คุ้นจมูก ทำไมช่างเหมือนกันนัก มือบางลูบไปตามแผลแห้งกรังนั้น รู้สึกแปลกใจว่าทำไมแผลนั้นมันไม่มีเปียกชื้นจากเลือดหรือน้ำเหลือง ทั้งที่มองไกลๆ ก็เหมือนว่ามันเหวอะหวะดูน่ากลัวนัก แต่ทำไม... หม่อมหลวงตะวันชะงักและดันหน้าออกห่างอย่างรวดเร็ว เมื่อสำนึกได้ว่ามือน้อยกำลังสำรวจไปทั่วใบหน้า “อย่า!” เขาลืมตัวร้องห้ามเสียงหลง ทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ยิ่งได้ใจ ความรู้สึกบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น “ทำไมแผลถึงแห้งแบบนี้ ทั้งที่ดูเหมือนมันเปียกแฉะ” มือใหญ่ตะครุบมือบางไม่ให้แตกถูกไรผม แต่ช้าไปเสียแล้ว กลิ่นหอมจากกายอิ่มทำให้สมองของเขาสั่งงานช้าไปกว่าเธอหนึ่งก้าว จันทร์ดา
“หม่อมหลวงตะวัน แสงสุรียกานต์เหรอคะ” “สวัสดีครับน้องจันทร์เจ้า วันนี้ดูสวยมากจริงๆ” หม่อมหลวงตะวันแย้มยิ้มในขณะพูด แต่ไม่ว่าเขาจะยิ้มกว้างขนาดไหน ความน่ากลัวบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยถดถอยลง “พูดยังกับเราเคยเจอกันงั้นแหละ” “เราเคยเจอกันแล้ว แต่น้องจันทร์เจ้าคงลืมพี่คนนี้ไปนานแล้ว” “เอ่อ...” คุณหญิงชดช้อยเข้ามาห้ามทับ เพราะถ้าขืนยังพูดคุยกันต่อไปแบบนี้ งานแต่งงานคงไม่ได้เริ่มขึ้นแน่ “แม่ว่าเราควรเริ่มงานได้แล้ว อ้อ...นายอำเภอมาถึงพอดี” “คุณแม่คะ” จันทร์ดาราอยากปฏิเสธงานแต่งงานในครั้งนี้เหลือเกิน เธอไม่เคยคิดรังเกียจคนพิการ แต่ก็ไม่เคยคิดจะมีสามีเป็นคนพิการแบบนี้ ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกคนท้องอย่างเธอเป็นเมีย นี่คงหมดสมรรถภาพทางเพศด้วยกระมัง ถึงอยากได้คนที่กำลังท้องเป็นเมีย บิดาหันมาส่งตาดุห้ามปรามบุตรสาว เขารู้ดีว่าจันทร์ดารากำลังจะพูดอะไร แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลานในท้องจะต้องมีพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าสาวแสนสวยถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า แล้วก้าว