“รู้ว่ามันลำบากและอันตราย แล้วนายจะพาฉันเข้าไปได้ยังไง”
“ถ้าคุณอยู่เฉยๆ ไม่เอะอะโวยวาย ไม่ถามมากแบบนี้ ผมพาคุณเข้าไปได้แน่ๆ”
จันทร์ดาราจำต้องหุบปากฉับ ไม่ถามอะไรอีก แต่ยังหวั่นใจระคนสงสัยว่านายราหูจะพาเธอเข้าไปในนั้นได้ยังไง
สุริยะเปิดกระเป๋าเป้ทหารที่สะพายมาตลอด และหยิบเชือกเส้นใหญ่ออกมา ก่อนจะผูกเป็นบ่วงและเงยหน้ามองหาหลัก ชะง่อนหินเล็กๆ ที่ยื่นออกมานั้นเป็นหลักให้สุริยะเหวี่ยงบ่วงขึ้นไปหาอย่างแม่นยำในคราเดียว เขาทดสอบความแข็งแรงของชง่อนเล็กๆ นั่นจนรู้ว่ามันแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักตัวของคนทั้งคู่ไหว ก็ใช้ปลายเชือกอีกข้างผูกลำตัวของทั้งคู่เอาไว้
“นี่...ทำไมต้องผูกเชือกให้ตัวติดกันด้วยล่ะ นายอย่าบอกนะว่าจะใช้เชือกเส้นนี้โหนเข้าไปในถ้ำนั้นน่ะ”
“ผมบอกให้คุณเงียบไงล่ะ ทำตามที่ผมบอกทุกอย่างก็พอ” เขาสั่งเสียงดุ ดวงตามีแววไม่พอใจ
“แต่...ฉันกลัวนี่” เสียงหวานนั้นสั่น จนสุริยะอดสงสารไม่ได้
“ถ้าตกลงไปก็คงไม่ตายหรอก แต่ที่ผมต้องผูกคุณไว้แบบนี้ เพราะผมขี้เกียจลงไปช่วยคุณ”
เอวบางถูกมัดติดกับเอวหนาแน่นจนไม่มีอะไรลอดผ่านไปได้
“กอดคอผมไว้แน่นๆ ถ้ากลัวก็ซุกหน้ากับอกของผม”
แล้วโดยที่จันทร์ดารายังไม่ทันตั้งตัว สุริยะก็เหวี่ยงตัวเข้าไปใต้สายน้ำ แล้วใช้เท้าเหยียบบนพื้นหินหน้าปากถ้ำ รองเท้าคอมแบ็ตไถลเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มก็ยังทรงตัวได้อย่างปลอดภัย
จันทร์ดาราถอนใจยาวอย่างโล่งอก และอดทึ่งในความสามารถของผู้พันหนุ่มไม่ได้ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาเลือกเขาให้มาช่วยเธอ เพราะฝีมือและความเก่งกาจของเขานี่เอง
สุริยะเห็นร่างบางที่เงยหน้าขึ้นมองเขานิ่งๆ ไม่โวยวายหรือร้องแลกแหกกะเชออะไรเลย ทั้งที่เขาก็ยังไม่ได้แกะเชือกที่ผูกเอวออก ริมฝีปากหนากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนฉกวูบลงจุมพิตแผ่วเบาที่เรียวปากนุ่ม นั่นล่ะที่ทำให้จันทร์ดาราได้สติ
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คนฉวยโอกาส”
“ก็โอกาสมันน่าฉวยนี่นา ผมเห็นคุณมองผมแบบนั้น นึกว่าพิศวาสผมขึ้นมาซะอีก”
“ใครจะไปพิศวาสคนอย่างนายลง นายราหู”
“คำก็ราหู สองคำก็ราหู เห็นทีคืนนี้ราหูจะต้องอมจันทร์ซะหน่อยแล้ว”
พูดไป มือก็แกะปมเชือกไปด้วย ร่างบางก้าวหนีทันทีเมื่อเป็นอิสระ
“แล้วคิดเหรอว่าดวงจันทร์อย่างฉันจะยอมให้นายอมน่ะ เชอะ...ฝันไปเถอะ”
“ก็ลองดู ว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมนี้”
“ถ้านายไม่ใช้กำลังบังคับฝืนใจฉันล่ะก็...ชาตินี้ทั้งชาติ ฉันก็ไม่มีวันยอมนายแน่ๆ”
“หึ หึ ผมไม่เคยต้องบังคับฝืนใจใคร มีแต่คนอยากจะทอดกายให้ผมเชยชมทั้งนั้น” สุริยะตรวจดูสิ่งสำคัญที่สุดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ แล้วต้องถอนใจส่ายหน้าแถมด้วยคำบ่นกระปอดกระแปด “เฮ้อ...ราคาก็ออกแพง ทำไมไม่ทำให้มันกันน้ำได้ด้วยวะ”
“บ่นอะไร แล้วนั่นมันอะไรเหรอ” จันทร์ดาราถามอย่างใคร่รู้
“ของสำคัญที่มันจะช่วยเราได้ แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เพราะมันใช้การไม่ได้แล้ว”
“อ้าว...ถ้ามันใช้การไม่ได้แล้วเราจะออกจากป่านี่ได้ยังไงล่ะ”
“ก็คงต้องใช้วิธีอื่น”
จันทร์ดารามองชายหนุ่มดึงเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นออกมาจากเป้ เหมือนเขาจะทิ้งมันเอาไว้ในนี้ ก่อนจะดึงไฟฉายออกมาจากกระเป๋าเป้ เขาลองเปิดแต่ไม่ติด ก่อนเคาะแรงๆ กับฝ่ามือสองสามครั้ง มันก็สว่างวาบขึ้นมา
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าพังซะแล้ว”
“นี่...ถามอะไรหน่อยสินายราหู ทำไมนายต้องทาหน้าดำปิ๊ดปี๋แบบนี้ด้วย ถ้ามีผู้หญิงยอมนอนกับนายง่ายๆ จริงๆ แน่จริงนายก็ล้างหน้าเอาสีดำๆ นั่นออกซะสิ”
“ถ้าล้างออก แล้วคุณวิ่งเข้าใส่ ผมจะทำไงล่ะ”
คำพูดยียวนของคนห่ามๆ ทำให้หญิงสาวอยากกรี๊ด
“อ๊าย...ต่อให้หน้าตานายหล่อเหลาแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันวิ่งเข้าใส่นายหรอก”
จันทร์ดารากระทืบเท้าย่ำกับพื้น ก่อนเดินจ้ำพรวดๆ เข้าไปภายในถ้ำ เธอหายไปไม่นาน สุริยะก็ได้ยินเสียงหวีดร้องและร่างบางก็วิ่งแผล็วออกมา กระโดดกอดคอเขาแน่น
“นายราหู...ในนั้น...มี...กรี๊ดๆๆๆ”
“มีอะไรล่ะคุณ มัวแต่ร้องกรี๊ดๆ แบบนี้ แล้วผมจะรู้มั้ยเนี่ย” สุริยะฉงนกับท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาว แต่ถ้าเขาเดาถึงสาเหตุความกลัวของเธอไม่ผิดล่ะก็ “คุณไปเจอคราบงูมาใช่มั้ย”
“ใช่ๆ มัน...มันต้องไม่ใช่งูธรรมดา เพระมันใหญ่มาก”
จันทร์ดาราเบียดร่างแทบจะกลืนหายเข้าไปในร่างแกร่งอย่างลืมตัว หญิงสาวกลัวสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด โดยเฉพาะงู
“เชิญค่ะ ตามสบาย” “ไม่ทราบว่าเป็นพนักงานใหม่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า แต่เอ...ไม่ยังรู้ว่าเขารับคนท้องเข้าทำงานด้วย” จันทร์ดาราเกือบหัวเราะ นี่เธอดูเหมือนเป็นพนักงานของที่นี่งั้นเหรอ งั้นก็ฟอร์มทำเป็นพนักงานต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาไม้ไหน “ค่ะ ดิฉันโชคดีค่ะ ที่เอส.เอส.เค.รับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่ท้องแก่” “อ๋อ...ที่บริษัทนี้มีสวัสดิการดีมากเลยครับ สงสัยจะไม่เลือกว่าท้องไม่ท้อง แต่คงเลือกที่ความสามารถมากกว่า” “นั่นสิคะ ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ แล้วทำงานในตำแหน่งอะไร” “ผมชื่อวิสุทธิ์ วิชยะชัยเจริญ ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายคิวซีครับ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร ทำงานแผนกไหน” จันทร์ดารานิ่งคิดชั่วครู่ จะบอกเขาดีไหมนะว่าเธอเป็นใคร หรือจะปล่อยให้เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ‘อืม...พี่ยะก็เคยหลอกเรานี่นา อยากรู้จังว่าความรู้สึกหลอกใครบางคนได้นั้น มันเป็นยังไง’ “ดิฉันจันทร์ดารา จักราพิมุขค่ะ ทำงานอยู่...แผนก...เอ่อ...เลขานุการค่ะ” “ห๊า...เลขานุการเหรอ
หัวใจของเธอกลั่นกรองความรู้สึกแล้วส่งไปให้ปลายลิ้นและเรียวปาก ซึ่งกำลังมอบความสุขให้คนรักอย่างตั้งใจ ปลายลิ้นสะบัดกวัดไกวประสานงานกับเรียวนิ้วทั้งห้า ร่างกำยำไหวยะเยือกตัวสั่นสะเทิ้ม มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ที่รักจ๋า พี่...จะขาดใจ...อยู่แล้ว...คนดี” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ความสุขกำลังทะยานจนใกล้จะถึงขีดสุด จันทร์ดาราลุกขึ้นนั่งหันหลังบนตักกว้าง ครอบครองแก่นกายที่กำลังสะท้านเจียนขาดใจรอมร่อ เธอเท้ามือยันที่เท้าแขนแล้วเริ่มห่มสะโพกผายขึ้นลง “จำไว้นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราหูก็ต้องอยู่คู่กับพระจันทร์” ร่างสองร่างขยับสอดคล้องกันบนรถวีลแชร์ ความคับแคบหาได้เป็นอุปสรรค ความรักที่บรรจงมอบให้แก่กันและกันจนรุ่มร้อน ไฟรับโอบล้อมรอบกายของทั้งคู่ จนห้องน้ำนั้นร้อนระอุ เสียงครวญครางไม่เป็นประสาดังสอดประสานกัน เหมือนกับดวงใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน กว่าที่ทั้งคู่จะลงมาจากห้องหอเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง หม่อมหลวงสุริยะ แสงสุรียกานต์ต้องทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่ออีกสองเดือน กว่าที่เ
ร่างหนาโหมสะโพกถาโถมเต็มกำลัง เหมือนเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องเร็วเต็มสปีด เท่าที่พละกำลังทั้งหมดจะเอื้ออำนวย ไฟรักไม่เคยมอดดับตราบใดที่ลมหายใจแห่งรักยังคงดำเนินอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หัวใจสองดวงก็ยังคงเชื่อมต่อกันอย่างโหยหา สุริยะคำรามลั่นเมื่อถึงวินาทีสุดท้าย หยาดรักชโลมอยู่ภายในความคับแน่น และชายหนุ่มก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องได้ลูกหัวปีท้ายปีให้ได้ เขาอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกตัวน้อยวิ่งเล่นกันเต็มบ้าน เวลาไปไหนมาไหนทีเขาก็จะอุ้มลูกหนึ่งคน จูงหนึ่งคน และให้แม่เขาจูงอีกคนหนึ่ง เท่านั้นแหละครอบครัวที่สุริยะต้องการ “โอย...นี่ขนาดยังบาดเจ็บอยู่ พี่ยะยังมีแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ” เสียงหวานของคนในอ้อมกอดสั่นพร่า แต่ดวงตาไหววับล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านม่านลูกไม้โปร่งบาง เธอกับเขายังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ส่งตัวเข้าหอ ป่านนี้คนข้างล่างคงชะเง้อชะแง้รอคอยแล้ว “เรี่ยวแรงพี่ยังคงเหมือนม้าศึกไม่เปลี่ยนหรอกที่รัก ว่าแต่...เราจะต่อกันอีกรอบหนึ่งดีไหม” “ไม่ดีค่ะ ชิ...เห็นหน้าจันทร์เจ้าก็คิดเป็นแต่เรื่องเดียว ลุ
ชายหนุ่มหันไปจูบแก้มเนียนนุ่มหนักๆ แล้วทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความรักและความห่วงหาอาทรในยามที่รู้ว่าคนรักกำลังจะมีลูก แต่คนเป็นพ่อกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนแหม็บอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล แล้วยังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเดินไม่ได้เหมือนปกติ ทำให้เขาอยากลองใจหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ ว่าถ้าเขากลายเป็นคนพิการทั้งหน้าตาและร่างกาย เมียรักจะรับเขาได้ไหมและจะยังรักเขาเหมือนเดิมรึเปล่า “จันทร์เจ้ารังเกียจคนพิการอย่างพี่รึเปล่า” หญิงสาวไม่ตอบ เวลานี้เธออยากใช้ภาษากายบอกเขา ว่าเธอรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน คำว่ารังเกียจตัดทิ้งไปได้เลย ไม่ว่าสุริยะจะกลับมาด้วยร่างกายที่ครบ 32 หรือไม่ เธอก็ยังรักเขาไม่เสื่อมคลาย มือบางปลดกระดุมเสื้อสูทสีขาวเช่นเดียวกับชุดเจ้าสาวของเธอจนหมดแถว และช่วยถอดออกจากร่างหนา ไม่สนใจดวงตาคมกริบซึ่งมองใบหน้างดงามของคนตั้งอกตั้งใจปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออก มองการกระทำอันแสนน่ารักซึ่งทำให้ด้วยความเต็มใจ “ที่รัก...ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าพี่ไปเจอกับอะไรมาบ้าง” “อยากรู้ค่ะ แต่อยากรู้เรื่องอื่นก่อน”
“โอ๊ย! ปล่อยนะ คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้กับฉัน” กลีบปากและจมูกร้อนๆ ซุกไซ้ไปตามลำคอหอมกรุ่ม ไม่สนใจมือบางที่ดันใบหน้าเหวอะหวะเอาไว้แน่น คนตัวโตลืมตัวลืมใจปล่อยให้ความต้องการเข้าครอบงำ ลืมแม้กระทั่งความลับที่ต้องการจะปกปิด แต่คนตัวเล็กนั้นหาได้ลืมตัวไปกับสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น จริงสิ...อ้อมกอดแบบนี้ รวมถึงกลิ่นกายที่คุ้นจมูก ทำไมช่างเหมือนกันนัก มือบางลูบไปตามแผลแห้งกรังนั้น รู้สึกแปลกใจว่าทำไมแผลนั้นมันไม่มีเปียกชื้นจากเลือดหรือน้ำเหลือง ทั้งที่มองไกลๆ ก็เหมือนว่ามันเหวอะหวะดูน่ากลัวนัก แต่ทำไม... หม่อมหลวงตะวันชะงักและดันหน้าออกห่างอย่างรวดเร็ว เมื่อสำนึกได้ว่ามือน้อยกำลังสำรวจไปทั่วใบหน้า “อย่า!” เขาลืมตัวร้องห้ามเสียงหลง ทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ยิ่งได้ใจ ความรู้สึกบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น “ทำไมแผลถึงแห้งแบบนี้ ทั้งที่ดูเหมือนมันเปียกแฉะ” มือใหญ่ตะครุบมือบางไม่ให้แตกถูกไรผม แต่ช้าไปเสียแล้ว กลิ่นหอมจากกายอิ่มทำให้สมองของเขาสั่งงานช้าไปกว่าเธอหนึ่งก้าว จันทร์ดา
“หม่อมหลวงตะวัน แสงสุรียกานต์เหรอคะ” “สวัสดีครับน้องจันทร์เจ้า วันนี้ดูสวยมากจริงๆ” หม่อมหลวงตะวันแย้มยิ้มในขณะพูด แต่ไม่ว่าเขาจะยิ้มกว้างขนาดไหน ความน่ากลัวบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยถดถอยลง “พูดยังกับเราเคยเจอกันงั้นแหละ” “เราเคยเจอกันแล้ว แต่น้องจันทร์เจ้าคงลืมพี่คนนี้ไปนานแล้ว” “เอ่อ...” คุณหญิงชดช้อยเข้ามาห้ามทับ เพราะถ้าขืนยังพูดคุยกันต่อไปแบบนี้ งานแต่งงานคงไม่ได้เริ่มขึ้นแน่ “แม่ว่าเราควรเริ่มงานได้แล้ว อ้อ...นายอำเภอมาถึงพอดี” “คุณแม่คะ” จันทร์ดาราอยากปฏิเสธงานแต่งงานในครั้งนี้เหลือเกิน เธอไม่เคยคิดรังเกียจคนพิการ แต่ก็ไม่เคยคิดจะมีสามีเป็นคนพิการแบบนี้ ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกคนท้องอย่างเธอเป็นเมีย นี่คงหมดสมรรถภาพทางเพศด้วยกระมัง ถึงอยากได้คนที่กำลังท้องเป็นเมีย บิดาหันมาส่งตาดุห้ามปรามบุตรสาว เขารู้ดีว่าจันทร์ดารากำลังจะพูดอะไร แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลานในท้องจะต้องมีพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าสาวแสนสวยถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า แล้วก้าว