หมิงหลันปรายตามองหน้าของหลี่เจ๋อฮั่นเมื่อเขากล่าวจบ
ที่ท่านเจ๋อฮั่นกล่าวมา นั่นก็ไม่เกินความจริง เพราะว่าใบหน้าของท่านเจ๋อฮั่นเหมือนท่านจอมมารอยู่หลายส่วน “ท่านเจ๋อฮั่นเก็บใบหน้าอันล้ำค่าของท่าน เอาไว้ให้สตรีที่ท่านรักสัมผัสเถอะเจ้าค่ะ ข้ามิควรจะแตะต้องใบหน้าที่หล่อเหลาของท่าน” “ในเมื่อรู้ว่าหล่อเหลาแล้วเหตุใดถึงไม่หวั่นไหว ข้าดีไม่พองั้นหรือ?” หมิงหลันยกยิ้ม นางยกมือขึ้นมาวาดในอากาศฝนดอกไม้พลันตกโปรยปรายลงมาเบาๆ หมิงหลันเก็บดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมาไปประดับในแจกันอย่างปราณีต “ในหัวใจของข้ามิอาจปันไปให้ผู้ใดได้อีกแล้ว กว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาข้าหลงรักท่านเจ๋อเชี่ยนจนเต็มหัวใจ วันนี้ได้มีวาสนาเข้ามาอยู่ใกล้เขาถึงเพียงนี้ ก็ถือว่าข้ามีความสุขมากแล้ว..” เป็นครั้งแรกที่เจ๋อฮั่นรู้สึกอิจฉาท่านพี่ หมิงหลันสารภาพรักท่านพี่ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ยามที่นางกล่าวคำว่าจอมมารออกมาจากริมฝีปากบางนั้น ใบหน้าของนางจะมีความสุข ที่นางบอกว่าหลงรักท่านพี่…เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง แต่คนเช่นเขาหาใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เวลาที่เก็บลูกท้อ เขาจะเก็บแต่ลูกที่อยู่บนสุดเท่านั้น เพราะการได้มากอย่างยากลำบาก มันถึงคู่ควรกับคนอย่างเขา “จะว่าไปเจ้าสามารถไปที่ห้องของท่านพี่ได้นะ ในคืนนี้” ใบหน้างดงามฉายแววดีใจ ดวงตาของหมิงหลันเป็นประกายขึ้นมาในทันที “จริงหรือเจ้าคะ หากว่าข้าเข้าไปในนั้นมิใช่ว่าจะถูกท่านจอมมารไล่ออกมา..” “หากว่าท่านพี่ไล่ ก็แค่เดินออกมา เขามิกล้าจะทำร้ายเจ้าหรอกน่า แต่หากว่าเขาไม่ไล่เจ้าออกมามันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงไม่ใช่รึไง?” ตามคำกล่าวของท่านเจ๋อฮั่น มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงจริงๆ เพียงแค่นางได้เข้าไปในห้องของท่านจอมมาร เท่านั้นก็คุ้มค่าแล้ว!! “หากว่าเจ้าตกลง เช่นนั้นตอนหัวค่ำ ข้าจะมารับ” หมิงหลันพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง ในใจพลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกมากมายก่อเกิดเป็นความคาดหวังขึ้นมา เพียงแค่ได้พบหน้าเขา..แค่ให้ดวงตาสีนิลของเขาจับจ้องมาที่นางเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ตอนเย็นท่านเจ๋อฮั่นมารับพร้อมกับชุดในมือ “ใส่ชุดพวกนี้สิ ชุดธรรมดาเช่นนั้นจะดึงดูดใจของท่านพี่ได้อย่างไรกัน” หมิงหลันก้มมองชุดที่สวมอยู่ นางอุตส่าห์เลือกชุดที่งดงามที่สุดตั้งครึ่งค่อนวัน แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยื่นมือไปรับชุดในมือของท่านเจ๋อฮั่นมาเปลี่ยน ให้ตายเถอะ!! นี่มันชุดอันใดกัน? บางเช่นนี้จะเดินออกจากห้องไปได้อย่างไร!! “หมิงหลันเจ้าลืมเสื้อคลุม!” เจ๋อฮั่นพาดเสื้อคลุมเอาไว้ที่ฉากกั้น มือที่สั่นเทาด้วยความอับอายของหมิงหลันรีบคว้าเสื้อคลุมมาใส่ทันที ค่อยยังชั่วที่เสื้อคลุมนี้สามารถคลุมร่างของนางได้มิด หมิงหลันเดินออกมาด้านนอกก็พบท่านเจ๋อฮั่นที่ยืนส่งยิ้มให้ ในมือของเขาถือโคมไฟกระดาษเอาไว้ “เราต้องรีบแล้ว พี่ใหญ่กำลังจะกลับ…” เขาพานางเดินมาด้านหลังของตำหนักท่านจอมมาร พอเปิดประตูไม้เข้าไปก็พบห้องขนาดใหญ่ที่มีเตียงและโต๊ะทำงานพร้อมทั้งม้วนตำรามากมาย หมิงหลันยืนอยู่หน้าเสื้อคลุมที่ท่านจอมมารแขวนเอาไว้ เธอยกมือขึ้นไปจับที่แขนเสื้อก่อนจะยกขึ้นมาแนบที่ใบหน้าอย่างรักใคร่ ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นของท่านจอมมาร เสื้อคลุมตัวนี้ท่านจอมมารก็ต้องใส่บ่อยแน่ๆ เลยเขาจึงมาแขวนเอาไว้เช่นนี้ หมิงหลันหลับตาลงพร้อมทั้งโอบกอดเสื้อคลุมอย่างมีความสุข “นั่นเจ้ากำลังทำอะไร?” “ขอเวลาให้ข้าสักพักนะเจ้าคะ ข้าเพียงอยากได้กลิ่นของท่านหลี่เจ๋อเชี่ยน…” “นั่นเสื้อคลุมท่านพ่อข้า จะมีกลิ่นพี่ใหญ่มาจากไหน!!” เจ๋อฮั่นยกมือขึ้นมาปิดปากก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดัง หมิงหลันปล่อยเสื้อคลุมตัวนั้นด้วยความตกใจ นางเม้มปากแน่นอย่างเขินอาย “ฮะ..ฮ่า ดูเจ้าทำหน้าเข้า!! ข้าหลอกเล่น เป็นเสื้อคลุมของพี่ใหญ่จริงๆ นั่นแหละ ฮะฮ่า!” หมิงหลันวิ่งเข้าไปหาเจ๋อฮั่นก่อนจะตีที่แขนของเขาอย่างแรง “ท่าน!! กล้าหลอกข้า!” “ฮะ..ฮ่า โอ๊ย!! เจ้ากล้าตีข้างั้นเรอะ!!” เจ๋อฮั่นดึงหมิงหลันเข้ามาในอ้อมกอด เขาถือโอกาสนี้พาเธอล้มลงไปบนเตียง ตอนนี้กลายเป็นเขาคล่อมทับเหนือร่างของนางอยู่ อ่า..นี่มันออกจะน่าหงุดหงิดเกินไปสักหน่อย ตรงที่สายตาและใบหน้าของหมิงหลันไม่มีแววของความหวั่นไหวหรือหัวใจเต้นแรงกับการกระทำของเขาเลย ทั้งๆที่เราใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ บนใบหน้าที่งดงามของนาง..มีเพียงแววตาของความไม่พอใจเท่านั้น ด้วยประสบการณ์เรื่องสตรีที่โชกโชนของเจ๋อฮั่น เขารู้ดีว่าควรจะล้ำเส้นแค่ไหน…เขาลุกขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้หมิงหลัน “ข้าขอโทษ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปชมดอกท้อดีไหม?” ใบหน้าของหมิงหลันพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันที นางพยักหน้าและส่งยิ้มให้เขา “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าควรจะออกไปได้แล้ว ถอดเสื้อคลุมมาสิ” แววตาของหมิงหลันมีความลังเล เพราะชุดด้านในมันบางมากๆ หากว่าเธอถอดเสื้อคลุมออก มันก็จะ…อีกทั้งหลี่เจ๋อฮั่นอาจจะเห็นส่วนที่ไม่สมควรให้เขามองเห็นอีกด้วย “ซุกตัวลงไปในผ้าห่มแล้วถอดเสื้อคลุมออกมา พี่ใหญ่ไม่มีทางที่จะไล่เจ้าออกจากห้องในสภาพเช่นนี้หรอกน่า…” หมิงหลันนั้นยังอ่อนประสบการณ์เรื่องเช่นนี้ นางจึงยอมถอดเสื้อคลุมออกส่งให้เจ๋อฮั่น เขายื่นมือมารับเสื้อด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ ก่อนจะเดินจากไป มือของหมิงหลันกำผ้าห่มเอาไว้แน่นด้วยความตื่นเต้น หัวใจของนางมันกำลังเต้นแรงอีกทั้งเตียงนี้ก็มีแต่กลิ่นของท่านจอมมารเต็มไปหมด.. เจ๋อเชี่ยนเดินเข้ามาในห้องนอน เขาพึ่งจัดการเรื่องเขตแดนของเผ่ามารและเมืองมนุษย์ที่มีปัญหากันเสร็จเรียบร้อย และวันนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของเขามันจะเหนื่อยมากๆ แต่ทว่าท้าวที่กำลังก้าวเดินของหลี่เจ๋อเชี่ยนพลันหยุดลง เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกไม้ที่หอมหวานและคุ้นเคยอยู่พอสมควร พอเขาปรายตามองไปที่เตียง ก็เป็นเช่นที่เขาคิดเอาไว้ “ข้ามิคิดว่าเจ้าควรจะเข้ามาที่นี่…” หมิงหลันยกยิ้ม ในตอนนี้เธอนั้นมิได้สวมชุดคลุมด้านนอก เธอสวมเพียงเสื้อด้านในตัวบางเท่านั้น “ข้าลงมาจากสวรรค์ก็เพื่อให้กำเนิดลูกของท่าน…” หลี่เจ๋อเชี่ยนเลิกคิ้วมองไปที่ใบหน้าของสตรีที่กล่าวเรื่องพวกนั้นออกมาโดยมิมีท่าทีกระดากอาย “มิใช่วันนี้ เราจะร่วมหอกันในวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น ส่วนวันอื่นข้าจะไม่แตะต้องเจ้า” หมิงหลันมองที่ใบหน้าของท่านจอมมารอย่างไม่พอใจ “วันพระจันทร์เต็มดวงกว่าจะถึงก็อีกนานหลายเดือน แถมหนึ่งปีมีเพียงไม่กี่ครั้ง เรื่องพวกนี้หากมิทำบ่อยๆ แล้วเมื่อไหร่ข้าถึงจะให้กำเนิดลูกของท่านได้” ไม่ว่าอย่างไร หมิงหลันก็จะลองเอาแต่ใจดูสักหน่อย เพราะท่านเจ๋อฮั่นบอกกล่าวเอาไว้แล้วว่าท่านจอมมารไม่มีทางทำร้ายนางอย่างเด็ดขาด “ข้าจะมิพูดซ้ำ..กลับห้องของเจ้าไปเสีย” หมิงหลันกำมือแน่น นางลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความโมโห ดวงตาของหลี่เจ๋อเชี่ยนพลันเข้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว หลังจากที่เขาเห็นชุดที่เทพบุปผาสวมมา ใบหน้าของเขาก็นิ่งอึ้งราวกับกำลังทำอะไรไม่ถูก เป็นอย่างที่ท่านเจ๋อฮั่นบอกเอาไว้จริงๆ ด้วยสินะ…ว่าชุดนี้มันมีประโยชน์ ท่านจอมมารโยนเสื้อคลุมของเขาให้คลุมทับร่างของหมิงหลันเอาไว้ “นี่เจ้าเดินมาในสภาพที่สวมชุดเช่นนี้งั้นหรือ?” หมิงหลันส่ายหน้า “ตอนที่ข้าเดินมาท่านเจ๋อฮั่นมาส่งเจ้าค่ะ…” ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้าระรื่นของท่านเจ๋อฮั่น “ขออภัยท่านพี่ด้วย ข้าลืมของเอาไว้ที่นี่…” “เจ้าควรจะทำตัวให้เหมาะสมกับเทพบุปผาไป๋หมิงหลันด้วย!!” เขารู้ถึงนิสัยเรื่องสตรีของเจ๋อฮั่นดีว่าเจ้าน้องชายตัวดีคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องสตรีมากแค่ไหน “….หากจะนับกันจริงๆ นางยังมิได้เป็นภรรยาของท่านพี่ด้วยซ้ำ นางคือเทพบุปผาที่ลงมาเพื่อให้กำเนิดองค์รัชทายาทของเผ่าจอมาร ใครจะไปรู้นางอาจให้กำเนิดลูกของข้าก็ได้!!” “เจ๋อฮั่น!!” หลังจากนั้นท่านจอมมารก็ไล่ท่านเจ๋อฮั่นออกไป ตอนนี้ในห้องก็เลยเหลือเพียงเธอและเขา “เจ๋อฮั่นมิใช่คนที่เจ้าควรยุ่งเกี่ยว หากว่าเด็กที่เจ้าให้กำเนิดคือลูกของเจ๋อฮั่นมันก็จะไร้ประโยชน์ เพราะข้าก็จะต้องไปพาตัวเทพบุปผาคนใหม่มาให้กำเนิดลูกของข้า….” “เช่นนั้นแล้วท่านก็ควรจะร่วมหอกับข้าสิเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงต้องรอเวลาวันพระจันทร์เต็มดวงที่เนิ่นนานเช่นนั้น….” “เจ้า คือเทพบุปผาที่เดินทางมาให้กำเนิดลูกของข้า หน้าที่ของเจ้ามีเพียงเท่านั้น ข้ามิใช่สามีของเจ้า และเจ้าก็มิใช่ภรรยาของข้า!! การแอบเข้ามาให้ห้องของข้าเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน!!”วันเวลาที่หลี่เจ๋อเชี่ยนรอคอยในที่สุดก็เดินทางมาถึงเสียที เขารอคอยมาเนิ่นนานมากทีเดียวจนกว่าจะถึงวันที่เราได้แต่งงานกัน เขาจะได้ประกาศก้องออกไปให้ดังไกลไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนว่าเทพบุปผาหมิงหลัน นางคือภรรยาของจอมมารผู้นี้“ข้ามิคิดว่าภรรยาจะสามารถงดงามได้มากยิ่งขึ้นไปอีก..”เมื่อกล่าวจบหลี่เจ๋อเชี่ยนก็หอมแก้มหมิงหลันแรงๆ ท่ามกลางพิธีแต่งงานที่พวกเขากำลังคำนับฟ้าดินท่านอดีตจอมมารถึงกับกระแอมออกมาเสียงดัง“เจ๋อเชี่ยน..ทำพิธีให้เสร็จก่อนสิเจ้าลูกคนนี้!!"เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในทันที แขกในงานไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพของท่านจอมมารที่ดูอ่อนโยนและทนุถนอมท่านเทพบุปผาเช่นนี้หมิงหลันร้องไห้อยู่สามวันสามคืนเลยทีเดียว ยิ่งใกล้ถึงกำหนดแต่งงานนางยิ่งรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่เรามีเจ้าตัวน้อยซึ่งเป็นพยานรักตั้งสองคนแล้ว แต่หมิงหลันก็ยังอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้ทุกที“อย่าร้องสิ ในวันแต่งานของเราเจ้าควรจะยิ้มเยอะๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมงานลือให้ไกลเป็นพันลี้ว่าท่านจอมมารเป็นคนดียิ่งนัก เขาทำให้ภรรยาแย้มยิ้มได้ตลอดงาน..”เมื่อได้ฟังดังนั้นหมิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ“คำสาบานของข้านั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ถึงแม
เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เดินหน้าแล้วมักจะไม่มีวันย้อนกลับ และตัวเขา..ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสียเวลาในชีวิตไปนานมากเลยทีเดียว“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณชาย..เชิญนั่งรอที่ชั้นบนได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการนำชาเลิศรสและขนมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านน้ำชาเราไปส่งให้ท่านถึงที่โต๊ะเลย..”ท่านเทพดวงชะตาบอกกับเขาว่าเขาควรจะทำอะไรที่เป็นการไถ่โทษที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ชีวิตของสตรีผู้หนึ่งพังลง และในยามนี้จงจิ้งโหวกำลังกระทำการไถ่โทษนางในแบบของเขาอยู่ครั้งหนึ่งเราทั้งสองคนคือสารเลว แต่ทว่าในครั้งนี้เขาจะสอนเสวียนม่านด้วยตัวเอง ว่าการทำความดีมันง่ายดายยิ่งกว่าการว่าร้ายผู้อื่น..“ข้ามาที่ร้านน้ำชาแห่งนี้บ่อยมากทีเดียว แต่กลับไม่เคยเห็นสามีของเถ้าแก่เนี้ยเลย..”เขาถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่านางคือหญิงหม้าย แต่ถึงอย่างนั้นจงจิ้งโหวคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นการสนทนาที่ค่อนข้างดีมากทีเดียวระหว่างเขาและนาง“ข้าไม่มีสามีเจ้าค่ะ จะเรียกว่ายังไม่มีสามีก็ยังไงอยู่ เพราะว่าข้าคือหญิงหม้ายที่พึ่งผ่านการหย่าร้างมา..คุณชายท่านนี้สนใจในตัวหญิงหม้ายผู้นี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”จงจิ้งโหวมองหน้าของเสวียนม่าน เขายกมุมปากขึ้นสูงเล็
หลี่เจ๋อเชี่ยนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผาพร้อมๆ กับกลิ่นไอของแสงแดดนี่เขากำลังฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร เผ่ามารถึงได้ดูแปลกตาเช่นนี้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ไอขุ่นมัว แสงของดวงตะวันสามารถส่องกระทบมาบนพื้นหญ้าได้อย่างชัดเจน และบนพื้นดินที่เคยเป็นสีดำสนิท ยามนี้มันกลับเขียวขจีไปทั่วทั้งดินแดนมวลบุปผาชูช่ออวดโฉมเบ่งบาน มุมปากของหลี่เจ๋อเชี่ยนหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ฝังแน่นในใจ มิใช่ว่ายามนี้หมิงหลันอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินออกไปจากห้อง หมิงหลันก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับถาดน้ำชาในมือ สาวใช้ที่เดินตามนางเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าพวกนางพยายามอย่างมากในการห้ามท่านเทพบุปผาไม่ให้นางทำงานแต่ด้วยนิสัยของหมิงหลันแล้ว นางไม่ถนัดเรื่องการมีคนรับใช้..เขาส่งยิ้มให้กับภรรยาผู้งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในสี่ทะเลแปดดินแดน หลี่เจ๋อเชี่ยนเดินเข้าไปหาหมิงหลันโดนที่นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำเขาโอบกอดและฝังใบหน้าลงไปบนเรือนผมด้วยความคำนึงถึง“ภรรยา..ข้าหลับไปนานพอสมควรเลยอย่างนั้นหรือ?”หมิงหลันหลับตาลงช้าๆ นางยกมื
“ตามกฎแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพแห่งดวงชะตาแต่ทว่าข้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวของเหล่าเซียนได้เลย..”สีหน้าของท่านเทพดวงชะตานั้นเต็มไปด้วยสีหน้าขมขื่น จงจิ้งโหวปรายตามองไปยังสวนที่แสนกว้างใหญ่ของเขา“แต่ท่านก็แหกกฎนั้นเพื่อบอกท่านแม่ของข้านี่”เทพซื่อมิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มขึ้นมาจางๆ“ข้าไม่เคยเข้าหาเจ้าเพียงเพราะว่าในอนาคตเจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทหรือว่าองค์เง็กเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ตำหนักดวงชะตาของข้านั้น ข้ามักจะชอบนั่งทำงานที่ริมหน้าต่างและเมื่อมองทอดสายตาออกมาด้านนอกหน้าต่างนั้น มันทำให้ข้าได้เห็นเด็กชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบๆ หน้าสระบัว..ในยามนั้นข้าเพียงคิดว่านั่นคือเรื่องราวที่แปลกพอสมควรเพราะว่าเด็กในวัยเดียวกันควรจะวิ่งเล่นหรือไม่ก็ท่องเที่ยวไปทั่วสวนของแดนบุปผาแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับไม่กระทำการที่เด็กในวัยเด็กกันทำ ข้ามองเด็กคนนั้นมานานหลายสิบปี จนข้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยเพราะข้าอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เด็กน้อยผู้นั้นดูเศร้าหมองได้ถึงเพียงนั้น การพูดคุยของข้านั้น เป็นการท้าทายความอดทนของข้ามากทีเดียวเพราะว่าเขามิได้ยินยอมพูดกับข้าในทันทีที่ข้าเอ
ท่านเทพซื่อมิ่งเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ในมือของเด็กน้อยผู้นั้นถือถ้วยน้ำชาเอาไว้และมันยิ่งกำถ้วยในมือเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ครั้งหนึ่งเมื่อยามที่นางยังอยู่บนแดนสวรรค์ นางพบเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารมากกว่าใครๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นหนึ่งในโอรสของสวรรค์แต่ทว่ากลับมิได้รับความเคารพจากผู้ใดเลย จงจิ้งโหวเป็นเด็กที่เก็บตัวเงียบอยู่ในมุมมืดเพียงผู้เดียว ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นดังเช่นเด็กคนอื่น เนื่องจากหอดวงชะตาอยู่ไม่ไกลจากตำหนักชมจันทร์ที่จงจิ้งโหวอาศัย เมื่อมองเด็กน้อยผู้นี้นานๆ เข้า ท่านเทพซื่อมิ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา“เหตุใดถึงมีเพียงองค์ชายผู้เดียวที่มานั่งชมสระบัวอยู่ตรงนี้เพคะ”นางตามตื๊ออยู่นานทีเดียวกว่าจงจิ้งโหวจะยินยอมพูดด้วย“นี่คือบันทึก..เกี่ยวกับดวงชะตาอย่างนั้นหรือขอรับ”เขาใช้มือลูบไล้ลงไปบนแผ่นไม้ที่จารึกดวงชะตาของเหล่ามนุษย์เอาไว้ด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มน้อยๆ ของเด็กที่ไม่เคยพบเจอสิ่งใดนอกจากสระบัวและดวงจันทร์ข้างๆ ตำหนัก มันทำให้ท่านเทพซื่อมิ่งอดรู้สึกเวทนามิได้“พระองค์..อยากอ่านหรือไม่เพคะ”ในแววตาที่ไร้เดียงสาปรากฏร่องรอยค
“ครั้งหนึ่งยามเมื่อหมู่มวลวสันต์ผลิบาน แสงแรกของดวงตะวันฉายชัดลงมา บรรยากาศบนแดนสวรรค์นั้นทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น อ้อมกอดแรกของสตรีที่มิใช่มารดาโอบกอดลงมาบนร่างกายเล็กๆ ของข้า ในครั้งที่ข้าเป็นเด็ก เพราะว่าข้าคือโอรสที่เกิดจากพระสนมจึงมิมีใครคอยดูแล ยกเว้นเทพที่แสนใจดีผู้หนึ่ง นางสอนข้าเดินหมาก อ่านเขียน แต่งกลอน..”แววตาในยามที่จงจิ้งโหวกล่าวถึงสตรีผู้นั้นมันช่างดูเศร้าหมองจนหมิงหลันอดจะรู้สึกสงสารเขาไม่ได้เลย“ข้าที่ไม่มีใคร รู้สึกดีใจและขอบคุณมากๆ เมื่อท่านเทพผู้นั้นปฏิบัติกับข้าดีเหมือนกับว่าข้าคือบุตรชายของนาง..”คล้ายหัวใจของจงจิ้งโหวถูกทุบจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหลับตาลงช้าๆ เพื่อข่มความเจ็บปวดเอาไว้“แล้ว..ยามนี้ท่านเทพผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่าเพคะ”“...นางมิได้อยู่บนแดนสวรรค์ ข้าถูกช่วงชิงนางไปเพราะอดีตจอมมารหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ หมิงหลันข้าน่ะไม่เคยมีใครเลยในชีวิต ข้ามีนางที่นับถือราวกับมารดาแท้ๆ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทว่าเรื่องน่าตลกมันเริ่มฉายชัดในยามที่ข้าเติบใหญ่ เมื่อพี่น้องทยอยล้มตายอย่างไร้สาเหตุและมีข้าเพียงผู้เดียวนั้นที่มีชีวิตรอด ข้าที่เป็นเพียงโอรสที่เกิด