ไป๋หมิงหลันยกมือขึ้นมาเท้าคาง นางนั่งอยู่ริมสระบัว ในสระน้ำมีดอกบัวสีหวานกำลังบานสะพรั่ง ถึงแม้ว่าในเผ่ามารจะมิได้งดงามเทียบเท่าเมืองสวรรค์ แต่ทว่าทิวทัศน์ภูเขาและในน้ำก็ล้วนน่ามอง
แพรขนตางอนงามกะพริบถี่ๆ ทอดสายตามองไปยังสระบัวเบื้องหน้า ดวงหน้างามงอง้ำ หลังจากที่หมิงหลันกล่าวไปเช่นนั้นทั้งท่านจอมมารหลี่เจ๋อเชี่ยนและท่านหลี่เจ๋อฮั่นก็ตกใจกันไปตามๆ กัน สุดท้ายท่านจอมมารก็เดินจากไปโดยที่ไม่มองใบหน้าของนางแม้แต่หางตา หรือว่าข้าจะทำผิดพลาดสิ่งใดไป ทว่าในตำราปกขาวได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าการเอ่ยปากขอร่วมหออย่างตรงไปตรงมาถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจที่ดีที่สุด หากเป็นเรื่องความจริงใจและความตรงไปตรงมา นางก็แสดงออกไปอย่างชัดเจนแล้ว เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนั้น หมิงหลันถอนหายใจก่อนจะล้มตัวนอนลงบนพื้น เรือนผมดำเงางามสยายลงไปกับพื้นหญ้า พระจันทร์ดวงน้อยลอยเด่นอยู่บนท้องนภา ส่องแสงอ่อนๆไปทั่วทั้งบริเวณ หมิงหลันคิดว่าค่ำคืนแรกในเผ่ามาร จะได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษที่ถวิลหามาตลอดหลายร้อยปี แต่ดูจากสายตาที่เขามองมาที่นางแล้ว เห็นทีจะยากเย็น หมิงหลันยกไหสุรานารีแดงขึ้นมาดื่ม บรรยากาศที่เผ่ามารนั้นเงียบสงบมากกว่าที่คิดเอาไว้ ดูไปแล้วก็คล้ายกับเมืองมนุษย์ อากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย ส่วนในยามกลางวันจะอบอุ่น เพียงแต่ผู้คนที่นี่ดูจะเคร่งขรึมไปสักหน่อย แต่หมิงหลันมั่นใจว่านางจะสามารถอยู่ที่นี่ได้แน่นอน! หากท่านพี่ไป๋เฉียนกำลังคิดถึงข้าอยู่ เทพบุปผาหมิงหลันผู้นี้ขอฝากเทพีจันทราไปบอกกล่าวแก่ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ ว่ามิต้องเป็นห่วงน้องสาวผู้นี้… ไหสุราที่ว่างเปล่าทั้งสามไหกองรวมกันอยู่โคนต้นไม้ ส่วนใบหน้าที่งดงามจนยากจะละสายตาก็กำลังนอนหลับพริ้มด้วยฤทธิ์ของสุรานารีแดง หลี่เจ๋อเชี่ยนนั่งลงข้างๆ เทพบุปผาคนงดงาม ดวงตาสีนิลของเขากำลังทอดสายตามองร่างบางที่กำลังหลับใหล เหตุใดถึงได้ดื่มสุรามากมายเช่นนี้ บนสวรรค์มิได้สอนเรื่องมารยาทอย่างนั้นหรือ? พบหน้ากันครั้งแรกก็เอ่ยปากขอร่วมหอ เห็นว่าเขาเป็นจอมมารมากราคะหรืออย่างไร? เทพบุปผาคือเทพแห่งหมู่มวลดอกไม้ ทว่าดอกไม้ที่งดงามก็ยังมีงดงามไม่เทียบเท่ากับใบหน้าที่กำลังเมามายนี้เลย เขาถอนหายใจก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา สิ่งที่ดึงดูดเจ๋อเชี่ยนมิใช่แค่เพียงหน้าตาที่งามงด หากแต่เป็นกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งออกมาจากร่างกายของหมิงหลัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของบุปผาในยามเช้าที่ต้องแสงของดวงตะวัน เจ๋อเชี่ยนอุ้มนางเพื่อจะพาเดินกลับตำหนัก เขาวางหมิงหลันไว้บนเตียงพร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ ท่าทางจะต้องหาข้ารับใช้เอาไว้ให้นางเสียแล้ว ถึงเผ่ามารและสวรรค์จะมิถูกกันแต่นางก็ถือเป็นสตรีที่จะมาให้กำเนิดลูกของเขา เขาไม่อยากให้ใครมาตราหน้าว่าเขาเลี้ยงดูเทพบุปผาอย่างอดๆ อยากๆ …… หมิงหลันค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าคือห้องนอนที่ไม่ค่อยคุ้นตาสักเท่าไหร่ แต่ทว่านางจำบรรยากาศรอบๆห้องได้ว่านี่คือห้องนอนของนางที่ท่านจอมมารประทานมาให้ อ่า..นี่ข้าเมาจนเดินกลับห้องมาไม่รู้ตัวเลยงั้นหรือ? ทว่าพอหมิงหลันลุกขึ้นมาจากเตียงขึ้นก็พบสาวใช้ราวสี่นางกำลังยืนก้มหน้าอยู่…เมื่อวานมีสาวใช้เพียงนางเดียวเหตุใดวันนี้มีมาเพิ่มถึงสี่นาง “ท่านเทพบุปผาจะอาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ หรือว่าจะล้างหน้าก่อน” เมื่อหวนคิดไปถึงยามหัวค่ำ นางนอนบนพื้นหญ้าในสภาพที่เมามาย เช่นนั้นเห็นทีจะต้องอาบน้ำเสียแล้ว สาวใช้ที่มาใหม่ ดูแลหมิงหลันได้เป็นอย่างดีทั้งอาบน้ำ แต่งตัว รวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ “หมิงหลัน! ข้ามาแล้ว!!” หลี่เจ๋อฮั่นเดินเข้ามาพร้อมกับลูกท้อมากมายในมือ “นี่ท่านไปเก็บมางั้นหรือ เหตุใดถึงไม่พาข้าไปด้วยเล่า!” เจ๋อฮั่นมิได้กล่าวคำใดเขาเพียงส่งยิ้มให้หมิงหลันเท่านั้น “ข้าผ่านไปทางนั้นพอดี กินสิ กินเยอะๆ เลย” “มีลูกท้อมากมายเช่นนี้ แสดงว่าตรงป่าที่ท่านไปเก็บมาจะต้องเป็นป่าท้อแน่ๆเลย ข้าอยากเห็นดอกท้อที่กำลังเบ่งบาน เอาไว้ครั้งหน้าท่านพาข้าไปด้วยได้ไหมเจ้าคะ…” การร้องขอด้วยใบหน้าเช่นนั้น เขาจะกล่าวปฏิเสธออกไปได้เช่นไร มิใช่ว่าหลี่เจ๋อฮั่นมิเคยพบเจอสตรีมาก่อน เขาเป็นคนเจ้าสำราญที่ชอบท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ สตรีในโลกมนุษย์เขาร่วมเตียงมาแล้วนับไม่ถ้วน นิยามคำว่างามล่มเมืองของเมืองมนุษย์นั้น ใช้มิได้กับความงดงามบนใบหน้าของสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขาเลย เจ๋อฮั่นพึ่งเข้าใจคำกล่าวว่า งดงามราวกับเหล่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ งดงามราวกับไม่มีอยู่จริง ยามที่นางแย้มยิ้มมันทำให้หัวใจของเขารู้สึกคันยุบยิบ ยามที่นางมองมาที่เขา ราวกับดวงตาที่กลมโตของนางกำลังสะกดเขาเอาไว้…นี่สินะความงดงามล้ำเลิศของเทพบุปผา “ท่านเจ๋อฮั่น ท่านยังมิได้รับปากข้า..” “อืม..ได้สิ เอาไว้ว่างๆ ข้าจะพาเจ้าไป” อ่า..นางยิ้มอีกแล้ว รอยยิ้มที่สะเทือนเข้าไปในหัวใจของเขา “ข้าอยากรู้อีกอย่าง เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้เข้าหอกับท่านจอมมาร..” ราวกับหลี่เจ๋อฮั่นที่กำลังฝัน ถูกปลูกให้ตื่นขึ้นมาด้วยการสาดน้ำเย็นๆเข้ามาที่ใบหน้า เขาหรี่ตามองไปที่หมิงหลันอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงอยากร่วมหอกับคนเช่นนั้น พี่ใหญ่มิได้ดีอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ!” “ข้าเคยพบกับท่านจอมมารมาก่อนค่ะ ท่านจอมมารมาช่วยข้าไว้โดยบังเอิญ….” อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่า!! นางคือสตรีคนแรกที่เดินเข้าเผ่ามารด้วยรอยยิ้ม ปกติแล้วสตรีนางอื่นจะต้องเดินร้องไห้เข้ามา… คำกล่าวขานเกี่ยวกับพี่ใหญ่นั้นน่ากลัวเกินกว่าความจริงไปมาก ไม่แปลกที่สตรีพวกนั้นจะร่ำร้องอย่างหวาดกลัว แต่กับหมิงหลันนั้นไม่ใช่ นางเคยพบพี่ใหญ่มาก่อนแล้วนี่เอง “เจ้าชอบท่านพี่งั้นหรือ? …มาที่นี่ก็ไม่ได้โดยบังคับมา?” หมิงหลันยกยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้า “ข้าอาสามาเองเจ้าค่ะ ในใจได้แต่หวังว่า ข้าจะได้ยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของท่านจอมมารสักครั้ง…” ดวงตาของหมิงหลันเหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างเพ้อฝัน ใบหน้าที่ขาวนวลขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ นางยกมือขึ้นมาประสานกันที่หน้าอกพร้อมกับขยับรอยยิ้มพรายที่แสนงดงามในสายตาของหลี่เจ๋อฮั่น ท่าทางเช่นนี้ราวกับภาพวาดยังไงอย่างนั้นเลย ในใจราวกับมีขนนกปัดผ่าน เขาอยากให้บุรุษที่ทำให้นางแย้มยิ้มเป็นเขามิใช่พี่ชาย.. “มีคำกล่าวว่าข้ากับพี่ใหญ่หน้าตาเหมือนกันอยู่หลายส่วน เหตุใดเจ้าไม่ลองสัมผัสใบหน้าของข้าดูก่อนล่ะ?”วันเวลาที่หลี่เจ๋อเชี่ยนรอคอยในที่สุดก็เดินทางมาถึงเสียที เขารอคอยมาเนิ่นนานมากทีเดียวจนกว่าจะถึงวันที่เราได้แต่งงานกัน เขาจะได้ประกาศก้องออกไปให้ดังไกลไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนว่าเทพบุปผาหมิงหลัน นางคือภรรยาของจอมมารผู้นี้“ข้ามิคิดว่าภรรยาจะสามารถงดงามได้มากยิ่งขึ้นไปอีก..”เมื่อกล่าวจบหลี่เจ๋อเชี่ยนก็หอมแก้มหมิงหลันแรงๆ ท่ามกลางพิธีแต่งงานที่พวกเขากำลังคำนับฟ้าดินท่านอดีตจอมมารถึงกับกระแอมออกมาเสียงดัง“เจ๋อเชี่ยน..ทำพิธีให้เสร็จก่อนสิเจ้าลูกคนนี้!!"เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในทันที แขกในงานไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพของท่านจอมมารที่ดูอ่อนโยนและทนุถนอมท่านเทพบุปผาเช่นนี้หมิงหลันร้องไห้อยู่สามวันสามคืนเลยทีเดียว ยิ่งใกล้ถึงกำหนดแต่งงานนางยิ่งรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่เรามีเจ้าตัวน้อยซึ่งเป็นพยานรักตั้งสองคนแล้ว แต่หมิงหลันก็ยังอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้ทุกที“อย่าร้องสิ ในวันแต่งานของเราเจ้าควรจะยิ้มเยอะๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมงานลือให้ไกลเป็นพันลี้ว่าท่านจอมมารเป็นคนดียิ่งนัก เขาทำให้ภรรยาแย้มยิ้มได้ตลอดงาน..”เมื่อได้ฟังดังนั้นหมิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ“คำสาบานของข้านั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ถึงแม
เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เดินหน้าแล้วมักจะไม่มีวันย้อนกลับ และตัวเขา..ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสียเวลาในชีวิตไปนานมากเลยทีเดียว“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณชาย..เชิญนั่งรอที่ชั้นบนได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการนำชาเลิศรสและขนมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านน้ำชาเราไปส่งให้ท่านถึงที่โต๊ะเลย..”ท่านเทพดวงชะตาบอกกับเขาว่าเขาควรจะทำอะไรที่เป็นการไถ่โทษที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ชีวิตของสตรีผู้หนึ่งพังลง และในยามนี้จงจิ้งโหวกำลังกระทำการไถ่โทษนางในแบบของเขาอยู่ครั้งหนึ่งเราทั้งสองคนคือสารเลว แต่ทว่าในครั้งนี้เขาจะสอนเสวียนม่านด้วยตัวเอง ว่าการทำความดีมันง่ายดายยิ่งกว่าการว่าร้ายผู้อื่น..“ข้ามาที่ร้านน้ำชาแห่งนี้บ่อยมากทีเดียว แต่กลับไม่เคยเห็นสามีของเถ้าแก่เนี้ยเลย..”เขาถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่านางคือหญิงหม้าย แต่ถึงอย่างนั้นจงจิ้งโหวคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นการสนทนาที่ค่อนข้างดีมากทีเดียวระหว่างเขาและนาง“ข้าไม่มีสามีเจ้าค่ะ จะเรียกว่ายังไม่มีสามีก็ยังไงอยู่ เพราะว่าข้าคือหญิงหม้ายที่พึ่งผ่านการหย่าร้างมา..คุณชายท่านนี้สนใจในตัวหญิงหม้ายผู้นี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”จงจิ้งโหวมองหน้าของเสวียนม่าน เขายกมุมปากขึ้นสูงเล็
หลี่เจ๋อเชี่ยนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผาพร้อมๆ กับกลิ่นไอของแสงแดดนี่เขากำลังฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร เผ่ามารถึงได้ดูแปลกตาเช่นนี้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ไอขุ่นมัว แสงของดวงตะวันสามารถส่องกระทบมาบนพื้นหญ้าได้อย่างชัดเจน และบนพื้นดินที่เคยเป็นสีดำสนิท ยามนี้มันกลับเขียวขจีไปทั่วทั้งดินแดนมวลบุปผาชูช่ออวดโฉมเบ่งบาน มุมปากของหลี่เจ๋อเชี่ยนหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ฝังแน่นในใจ มิใช่ว่ายามนี้หมิงหลันอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินออกไปจากห้อง หมิงหลันก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับถาดน้ำชาในมือ สาวใช้ที่เดินตามนางเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าพวกนางพยายามอย่างมากในการห้ามท่านเทพบุปผาไม่ให้นางทำงานแต่ด้วยนิสัยของหมิงหลันแล้ว นางไม่ถนัดเรื่องการมีคนรับใช้..เขาส่งยิ้มให้กับภรรยาผู้งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในสี่ทะเลแปดดินแดน หลี่เจ๋อเชี่ยนเดินเข้าไปหาหมิงหลันโดนที่นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำเขาโอบกอดและฝังใบหน้าลงไปบนเรือนผมด้วยความคำนึงถึง“ภรรยา..ข้าหลับไปนานพอสมควรเลยอย่างนั้นหรือ?”หมิงหลันหลับตาลงช้าๆ นางยกมื
“ตามกฎแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพแห่งดวงชะตาแต่ทว่าข้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวของเหล่าเซียนได้เลย..”สีหน้าของท่านเทพดวงชะตานั้นเต็มไปด้วยสีหน้าขมขื่น จงจิ้งโหวปรายตามองไปยังสวนที่แสนกว้างใหญ่ของเขา“แต่ท่านก็แหกกฎนั้นเพื่อบอกท่านแม่ของข้านี่”เทพซื่อมิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มขึ้นมาจางๆ“ข้าไม่เคยเข้าหาเจ้าเพียงเพราะว่าในอนาคตเจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทหรือว่าองค์เง็กเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ตำหนักดวงชะตาของข้านั้น ข้ามักจะชอบนั่งทำงานที่ริมหน้าต่างและเมื่อมองทอดสายตาออกมาด้านนอกหน้าต่างนั้น มันทำให้ข้าได้เห็นเด็กชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบๆ หน้าสระบัว..ในยามนั้นข้าเพียงคิดว่านั่นคือเรื่องราวที่แปลกพอสมควรเพราะว่าเด็กในวัยเดียวกันควรจะวิ่งเล่นหรือไม่ก็ท่องเที่ยวไปทั่วสวนของแดนบุปผาแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับไม่กระทำการที่เด็กในวัยเด็กกันทำ ข้ามองเด็กคนนั้นมานานหลายสิบปี จนข้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยเพราะข้าอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เด็กน้อยผู้นั้นดูเศร้าหมองได้ถึงเพียงนั้น การพูดคุยของข้านั้น เป็นการท้าทายความอดทนของข้ามากทีเดียวเพราะว่าเขามิได้ยินยอมพูดกับข้าในทันทีที่ข้าเอ
ท่านเทพซื่อมิ่งเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ในมือของเด็กน้อยผู้นั้นถือถ้วยน้ำชาเอาไว้และมันยิ่งกำถ้วยในมือเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ครั้งหนึ่งเมื่อยามที่นางยังอยู่บนแดนสวรรค์ นางพบเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารมากกว่าใครๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นหนึ่งในโอรสของสวรรค์แต่ทว่ากลับมิได้รับความเคารพจากผู้ใดเลย จงจิ้งโหวเป็นเด็กที่เก็บตัวเงียบอยู่ในมุมมืดเพียงผู้เดียว ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นดังเช่นเด็กคนอื่น เนื่องจากหอดวงชะตาอยู่ไม่ไกลจากตำหนักชมจันทร์ที่จงจิ้งโหวอาศัย เมื่อมองเด็กน้อยผู้นี้นานๆ เข้า ท่านเทพซื่อมิ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา“เหตุใดถึงมีเพียงองค์ชายผู้เดียวที่มานั่งชมสระบัวอยู่ตรงนี้เพคะ”นางตามตื๊ออยู่นานทีเดียวกว่าจงจิ้งโหวจะยินยอมพูดด้วย“นี่คือบันทึก..เกี่ยวกับดวงชะตาอย่างนั้นหรือขอรับ”เขาใช้มือลูบไล้ลงไปบนแผ่นไม้ที่จารึกดวงชะตาของเหล่ามนุษย์เอาไว้ด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มน้อยๆ ของเด็กที่ไม่เคยพบเจอสิ่งใดนอกจากสระบัวและดวงจันทร์ข้างๆ ตำหนัก มันทำให้ท่านเทพซื่อมิ่งอดรู้สึกเวทนามิได้“พระองค์..อยากอ่านหรือไม่เพคะ”ในแววตาที่ไร้เดียงสาปรากฏร่องรอยค
“ครั้งหนึ่งยามเมื่อหมู่มวลวสันต์ผลิบาน แสงแรกของดวงตะวันฉายชัดลงมา บรรยากาศบนแดนสวรรค์นั้นทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น อ้อมกอดแรกของสตรีที่มิใช่มารดาโอบกอดลงมาบนร่างกายเล็กๆ ของข้า ในครั้งที่ข้าเป็นเด็ก เพราะว่าข้าคือโอรสที่เกิดจากพระสนมจึงมิมีใครคอยดูแล ยกเว้นเทพที่แสนใจดีผู้หนึ่ง นางสอนข้าเดินหมาก อ่านเขียน แต่งกลอน..”แววตาในยามที่จงจิ้งโหวกล่าวถึงสตรีผู้นั้นมันช่างดูเศร้าหมองจนหมิงหลันอดจะรู้สึกสงสารเขาไม่ได้เลย“ข้าที่ไม่มีใคร รู้สึกดีใจและขอบคุณมากๆ เมื่อท่านเทพผู้นั้นปฏิบัติกับข้าดีเหมือนกับว่าข้าคือบุตรชายของนาง..”คล้ายหัวใจของจงจิ้งโหวถูกทุบจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหลับตาลงช้าๆ เพื่อข่มความเจ็บปวดเอาไว้“แล้ว..ยามนี้ท่านเทพผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่าเพคะ”“...นางมิได้อยู่บนแดนสวรรค์ ข้าถูกช่วงชิงนางไปเพราะอดีตจอมมารหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ หมิงหลันข้าน่ะไม่เคยมีใครเลยในชีวิต ข้ามีนางที่นับถือราวกับมารดาแท้ๆ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทว่าเรื่องน่าตลกมันเริ่มฉายชัดในยามที่ข้าเติบใหญ่ เมื่อพี่น้องทยอยล้มตายอย่างไร้สาเหตุและมีข้าเพียงผู้เดียวนั้นที่มีชีวิตรอด ข้าที่เป็นเพียงโอรสที่เกิด