“แม่เมจ๋า...”
เสียงลูกน้อยช่วยดึงสติกลับมา เจ้าแก้มยุ้ยเอียงคอมองใบหน้าเธอด้วยดวงตาแป๋วแหววไร้เดียงสา นี่คือแก้วตาดวงใจที่ทำให้เมรีต้องอดทน และเปลี่ยนตัวเองให้แกร่งขึ้น ใครจะนินทาว่าร้ายเธอก็ช่าง แต่หากแตะต้องลูกรัก เธอเอาตาย
“จ๋า...คนเก่งของแม่”
“หนูหิวแล้ว” อารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดถูกเสียงออดอ้อนทำให้ใจอ่อนยวบลืมโกรธไปชั่วขณะ เผลอยื่นปลายจมูกไปชนปลายจมูกเล็กๆ อย่างที่เคยทำเวลามันเขี้ยวเจ้าตัวน้อย
“งั้นเรากลับบ้านไปกินข้าวกับตากับยายกันดีไหมลูก”
“ดีจ้า” เจ้าตัวดียิ้มหวานประจบ ตบมือชอบใจ ก่อนจะยื่นปากเล็กๆ มาจูบแก้มราวกับรู้ว่าแม่กำลังต้องการกำลังใจ
“งั้นเดี๋ยวเมรีกลับก่อนนะคะพี่แนน”
“เดี๋ยวก่อนสิ! อย่าเพิ่งไป...” ชายหนุ่มเผลอเรียกเสียงดังอย่างลืมตัว หากพอเห็นสายตาวาวโรจน์เอาเรื่องคู่นั้น เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม แน่ล่ะ คนตรงหน้าย่อมไม่เหมือนเดิม และเขาก็รู้ด้วยว่ามันคืออะไร
“มีอะไรหรือคะพี่ชิษ”
นันทิกาหันไปมองคู่หมั้นหนุ่มอย่างแปลกใจ
“พอดีเรากำลังจะกินข้าวเช้า แล้วคุณแม่ก็อยากให้น้องเวียงพิงค์ไปกินข้าวด้วยกัน เธอก็ไปด้วยสิ”
“นั่นสิคะ น้องเมรี ทานข้าวด้วยกันก่อนนะ” นันทิกาผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางช่วยเสริม
เมรีแอบมองบน จริงๆ ปกติรจนาก็ชอบให้เธอร่วมโต๊ะด้วยเวลาพ่อแม่สามีมาที่ไร่ และเมรีก็ไม่เคยปฏิเสธเพราะชอบผู้ใหญ่ใจดีทั้งสอง แต่วันนี้เธอกลับรู้สึกไม่อยากร่วมโต๊ะกับพวกท่าน เพราะชังน้ำหน้าใครบางคนจนกลัวจะยั้งมือไม่อยู่ต่างหาก
กำลังจะออกปากปฏิเสธ สวรรค์ก็ดันไม่เข้าข้างเสียนี่
“ยัยเมรี! มาแล้วเหรอ” รจนาเดินตรงเข้ามาพร้อมเจ้าเอริหมาบีเกิ้ลคู่ใจ “อ้าว! คุณแนนกับคุณชิษก็อยู่ด้วย”
“พอดีแม่ให้เอาปิ่นโตมาให้พี่รจน่ะ เมรีเลยว่าจะรับลูกกลับบ้านก่อน คนเยอะกลัวเจ้าแสบจะกวนพวกพี่”
“กวนเกินอะไรกัน พี่ว่าจะโทรไปตามเธอพอดี มาก็ดีแล้วไปกินข้าวด้วยกันสิ พ่อแม่พี่สาธุก็ถามถึงเธอกับยัยตัวเล็กอยู่ ไหนเจ้าเวียงพิงค์หลานป้า มาให้อุ้มหน่อย...”
คนตัวเล็กที่นอนซบซอกคอมารดา พอเห็นคนเป็นป้าก็หัวเราะคิกคักชอบใจ พร้อมโน้มตัวเข้าหาอ้อมแขนอีกฝ่ายอย่างรู้งาน แล้วเมรีจะทำยังไงได้
“คุณแนนกับคุณชิษก็เชิญไปทานข้าวบนบ้านก่อนสิคะ มาตั้งแต่เช้าแบบนี้ คงหิวแย่ ไปค่ะ”
เมรีแอบเห็นประกายตาดุๆ ของใครบางคนที่ลอบส่งมาให้ ก็คอแข็งขึ้นมานิดๆ พร้อมจ้องกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง
ไปก็ไปสิ เธอไม่เห็นต้องกลัวใครสักหน่อย วันนี้เธอไม่ใช่สาวน้อยเมรีคนเก่าแล้ว ความหล่อความเท่ไม่อาจทำให้เธอหวั่นไหวใจสั่นได้หรอกน่า แต่ถ้าคันมือล่ะไม่แน่ อยากต่อยคนโว้ย!
มื้อเช้าที่ควรจะสดชื่นรื่นรมย์เพราะครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แต่คนเป็นส่วนเกินอย่างเมรีกลับฝืดคอเหลือเกิน
รู้งี้อยู่กินแกงขนุน น้ำพริกผักลวกกับพ่อแม่ที่บ้านก็ดีหรอก ไม่ต้องมาทนดูฉากเลี่ยนๆ ของใครบางคนให้หมั่นไส้ระคายลูกตา
“พี่ชิษลองชิมน้ำพริกหนุ่มกับแคปหมูนี่ดูสิคะ อร่อยจัง” ว่าพลางตักน้ำพริกหนุ่มและแคปหมูกรอบๆ ใส่จานของชายหนุ่ม โดยไม่ทันสังเกตสายตาของอีกฝ่ายที่ไม่ได้สนใจจานข้าวตัวเอง เพราะมัวแต่จ้องไปทางที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่มีสองแม่ลูกนั่งอยู่
“แม่เมจ๋า หนูจะกินแคปหมู” ยังไม่ทันที่เมรีจะตอบลูกรัก แคปหมูพองๆ กรอบๆ ชิ้นหนึ่งก็ยื่นมาวางในจานเธอเสียก่อน
ดวงตาเขียวปั๊ดของเมรีตวัดมองคนตัก ใครขอมิทราบ!
เธอพยายามคุมสติ ใช้ปลายช้อนเขี่ยแคปหมูชิ้นนั้นไปข้างจานจนตกขอบ ก่อนจะยื่นมือไปตักชิ้นใหม่ให้ลูกสาวตัวน้อย โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะมัวแต่สนใจลูกชายฝาแฝดของรจนาที่กำลังเล่าเรื่องตลกให้ปู่กับย่าฟังจนทั้งสองหัวเราะร่วน จึงไม่ทันสนใจลูกชายคนเล็กที่นั่งขบกรามแน่นอยู่ฝั่งตรงข้าม
ดวงตาคมจัดลุกวาวไม่พอใจ เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าจงใจทำให้รู้ว่ารังเกียจเขา
“เป็นไงบ้างคะคุณแนน กับข้าวพื้นเมืองบ้านๆ พอทานได้ไหม” รจนาหันไปชวนว่าที่น้องสะใภ้คุย
“ได้สิคะพี่รจ อร่อยทุกอย่างเลย ตอนอยู่กรุงเทพแนนไม่เคยกินแบบนี้ สงสัยต้องขอสูตรไปให้แม่ครัวที่บ้านลองทำให้กินบ้าง”
“นู่นเลยค่ะ ขอกับยัยเมรีเขาเลยจ้า คนนั้นเป็นศิษย์เอกก้นครัวของแม่พี่เอง โดนลากเข้าครัวตั้งแต่เด็ก ฝีมือทำอาหารไม่แพ้แม่พี่เลยล่ะ ใครชิมเป็นติดใจ คราวก่อนเขาลองทำข้าวคลุกน้ำพริกอะไรสักอย่างให้แขกในร้านชิม โหย...เขาติดใจกันใหญ่ โดยเฉพาะพวกลูกค้าหนุ่มๆ แวะมาอุดหนุนกันตรึมแทบทุกวัน จนทำขายแทบไม่ทัน”
“พี่รจก็ว่าไป” เมรีส่งยิ้มเขินให้พี่สาวที่โฆษณาเกินจริง แต่ต้องหุบยิ้มฉับเมื่อหันมาเห็นลูกตาเข้มขรึมคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เธอชวนให้ขนลุก
จ้องขนาดนั้นจะกินหัวเธอหรือไง ตาบ้านี่
“จริงเหรอคะ” นันทิกาตาเป็นประกาย หันไปมองหญิงสาวที่เธอนึกถูกชะตาด้วย “งั้นน้องเมรีต้องสอนพี่แนนทำบ้างแล้วล่ะ พี่จะได้ลองทำให้พี่ชิษชิมดูบ้างไงคะ”
เมรีหนังตากระตุกเมื่อได้ยินคำสุดท้ายของอีกฝ่าย
“เมรีทำได้แค่เมนูง่ายๆ เท่านั้นเองค่ะ ถ้าพี่แนนอยากเรียนจริง เมรีก็พอแนะนำให้ได้ แต่ถ้าทำให้คนอื่นกินแล้วท้องเสีย ห้ามโทษเมรีแล้วกันนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทีเล่นทีจริง แต่ดวงตาแวววาวที่มองแฉลบไปทางใครบางคนที่นั่งข้างกายนันทิกานี่สิชวนให้คนถูกมองขนหัวลุกแปลกๆ เหมือนจะบอกว่าอย่าเผลอไม่งั้นจะเจอดี
“ไม่รักงั้นเหรอ!”“ครับ เราไม่ได้รักกัน ผมมีผู้หญิงที่รักและอยากแต่งงานด้วยอยู่แล้ว”“อ้าว แล้วทำไมลูกไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะ ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ” คุณมาลินีซักด้วยน้ำเสียงพิศวง “หรือเราจะไปขอให้แม่หนูคนนั้นมาเข้าพิธีกับลูกดีไหม”“ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นครับแม่ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกับลูกหนีผมไปอยู่ที่ไหน และถึงตามตัวเจอ เธอก็คงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายอย่างผมอยู่ดี”“อ้าว! นี่แกไปหลงรักแม่หม้ายหรือเมียใครกัน มีลูกติดด้วยเนี่ยนะ โอย...ฉันจะเป็นลม” คนพูดรีบควักยาดมในกระเป๋ามาโบก ร้อนถึงสามีต้องหาพัดมาวีให้“ไม่ใช่ครับแม่ ไม่ใช่ลูกติดของใคร แต่เป็นลูกสาวของผมเองครับ หลานแท้ๆ ของคุณพ่อกับคุณแม่” ยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงง“ว่าไงนะ แล้วนี่แกไปทำลูกสาวใครเขาท้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะตาชิษ ทำไมเพิ่งมาบอกพวกเราเอาตอนนี้”“สี่ปีที่แล้วครับ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูกเมื่อไม่นานมานี้”“โอ๊ย ลูกหนอลูก ทำสาวท้องตั้งสี่ปีเพิ่งมารู้ ก็สมควรแล้วให้เขาพาลูกเต้าหนี แล้วนี่จะยังไง เจ้าสาวก็หนี เมียก็ยังมาหอบลูกหนีอีก งามหน้าไหมลูกชายฉัน”“ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณแม่”
บรรยากาศในไร่สาธุคุณวันนี้คึกคักกว่าปกติ เพราะกำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้น คนงานในไร่ช่วยกันตกแต่งสถานที่กันอย่างขมีขมันเป็นพิเศษ เพราะเจ้าภาพของงานเป็นถึงน้องชายคนเดียวของเจ้าของไร่ แถมมีแม่เลี้ยงรจนาและสามีลงมาคุมงานด้วยตัวเองทุกขั้นตอนในขณะที่ใครต่อใครกำลังวุ่นวายทำหน้าที่ มีเพียงคนเดียวที่ไม่อยากให้งานนี้เกิดขึ้น ว่าที่เจ้าบ่าวของงานยืนทอดสายตามองที่ระเบียงห้องนอนปล่อยใจล่องลอยไปถึงใครบางคนป่านนี้เธอคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหน อยู่กับใครกัน สบายดีหรือเปล่า และจะรู้บ้างไหมว่ามีคนคิดถึงเธอมากแค่ไหน“อ้าว มาอยู่นี่เองเหรอเจ้าบ่าว”เสียงนั้นทำให้คนใจลอยได้สติ หันไปมองต้นเสียงด้วยสายตาที่ทำให้คนเป็นพี่ชายใจหาย เพราะมันคือสายตาของความสิ้นหวัง หม่นหมอง ผิดวิสัยของคนกำลังจะเข้าประตูวิวาห์ที่ควรมีความสุข ดวงตาเป็นประกายแวววาว ไม่ใช่ไร้วิญญาณเช่นนี้“อย่าบอกนะว่านายคิดจะโดดลงจากระเบียงฆ่าตัวตายหนีงานแต่งวันนี้” สาธุคุณแกล้งหยอกแรงๆ“หึ! ผมดูเหมือนคนคิดสั้นขนาดนั้นเลยหรือครับพี่”“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง นายลองไปส่องกระจกดูสิ หน้าตาไม่เหมือนคนจะเข้าหอ แต่เหมือนคนจะโดนประหารยังไงยังงั้น ทำไมวะ ไ
“พี่รจจะมาวันนี้ทำไมเห็นโทรมาบอกเลยล่ะจ๊ะ”“พอดีพี่รีบมากะทันหันน่ะ มีคนบอกว่าอยากเจอเธอ”เมรีชะงักกึก ชะเง้อมองไปข้างหลังที่มีใครอีกคนเพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถก่อนอุทานลั่น“พี่แนน!”นันทิกามองสบตาหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมา“ไม่เจอกันนานเลยนะคะน้องเมรี”“เอ่อ...” เมรีมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างอึดอัดปนอยากรู้ในเจตนาของอีกฝ่าย เธอสู้อุตส่าห์หนีมาหลบกะว่าให้ผ่านพ้นงานแต่งของอีกฝ่ายเพราะเกรงจะเกิดปัญหาตามมา แต่ไม่คิดว่านันทิกาจะอยากพบหน้าเธออีกทำไมไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะตามมาตบเธอหน้าแหกใช่ไหม“เชิญเข้าบ้านก่อนสิคะ เดี๋ยวเมรีไปเอาน้ำมาให้”“อย่าลำบากเลยค่ะ พี่มีเรื่องอยากจะถามน้องเมรีนิดหน่อย ได้คำตอบแล้วพี่ก็จะไป”คำว่าไปของอีกฝ่ายทำให้เมรีแอบฉงน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร“ไปเจ้าลูกหมู ไปดูการ์ตูนกับป้ารจดีกว่า” รจนาพาหลานเลี่ยงไปที่ห้องรับแขก ปล่อยให้สองสาวได้คุยกัน แต่ก็ไม่วายแอบดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆเมื่อได้อยู่ตามลำพังนันทิกาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงตรงเข้าประเด็นทันที“พี่ขอถามน้องเมรีตรงๆ ได้ไหมว่าน้องเมรีรู้สึกยังไงกับพี่ชิษคะ”มาคำถามแรกก็ทำคนถูกถามอึ้งเสียแล้ว เมรีมองสบตาอี
ตึง!ขาเม้าท์ทั้งฝูงสะดุ้งโหยง หันมองต้นเสียงกันเลิ่กลั่ก พอเห็นว่าเป็นใครต่างก็หน้าเสียไปตามๆ กัน“รับอะไรดีจ๊ะพ่อหนุ่ม” เจ้าของร้านเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มรับลูกค้าทันใด“น้ำเย็นขวดหนึ่งครับป้า”“ได้จ้ะ รอเดี๋ยวนะ”“นั่นไงๆ ผัวเก่ายัยเมรี หูย...หน้าอย่างกับมหาโจร หนวดเครางี้ครึ้มเชียว”คนถูกนินทายังคงวางหน้านิ่ง“หน้าโหดแบบนี้ไงเล่าถึงโดนเมียทิ้งหอบลูกหอบเต้าหนีไปกับผัวใหม่”กร๊อบบบบเสียงขวดน้ำดื่มในมือถูกบีบจนแตกยับเยินคามือ ก่อนที่ดวงตาดุเข้มปรายมองฝูงไฮยีนากระหายเลือดอย่างเย็นชาและเหี้ยมเกรียม“ขอโทษนะครับป้า ผมขอแก้ข่าวหน่อย”“จ๊ะ...กะ แก้ข่าวอะไรหรือพ่อหนุ่ม”“ผมชื่อชิษณุกร ไม่ใช่ผัวเก่าของเมรีลูกแม่สีดา แต่เป็นผัวคนปัจจุบัน และผัวคนเดียวของเธอต่างหาก อ้อ! แล้วน้องเวียงพิงค์นั่นก็ลูกผมเอง ไม่ใช่เด็กไม่มีพ่อที่ไหน แล้วถ้าใครอยากเสือก เอ๊ย! สงสัยอยากรู้อะไรก็ไปถามผมได้ทุกเมื่อที่ไร่พี่สาธุ แต่ถ้าผมได้ยินว่ามีคนปากหมามาว่าลูกเมียผมในทางไม่ดีหรือไม่จริงอีกล่ะก็ รอรับหมายศาลถึงบ้านเลยก็แล้วกัน งานนี้ผมรับคำขอโทษเป็นเงินสดหกหลักขึ้นเท่านั้น หวังว่าป้าๆ ทุกคนคงเข้าใจนะครับ”พอพูดจบ ความ
เขาคิดถึงและเป็นห่วงเธอจะแย่แล้ว ไหนจะคิดถึงลูกสาวตัวน้อยที่ไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายวัน หลังจากวันนั้นที่เขาบอกกับแม่ของเธอว่าจะมาหาในวันรุ่งขึ้น แต่พอมาถึงนางสีดาก็บอกว่าเธอไปทำงานแล้ว และหลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้พบหน้าเธอและลูกสาวอีกเลยคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากอีกฝ่ายต้องการหลบหน้ากัน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ยังแอบมาส่องหน้าบ้านเธอทุกคืน ไม่ได้เห็นหน้าขอเห็นหลังคาก็ยังดีแต่วันนี้เขาต้องพบเธอให้ได้ ก่อนที่อกจะแตกตายเพราะความอัดอั้นที่มีจนมากล้น แต่พอชายหนุ่มไปถึงบ้านของเมรีก็พบว่ามันปิดเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่“มีใครอยู่ไหมครับ” ชิษณุกรตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา และไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีใครขานตอบจากในบ้าน ไหนว่าลาป่วย หรือว่าอาการหนักจนต้องไปโรงพยาบาลยิ่งคิดก็ยิ่งห่วง รออยู่นานจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แน่ๆ ชายหนุ่มจึงยอมถอยไปตั้งหลักที่บ้านพี่ชาย แต่ทว่าตอนที่เขากำลังจะเข้าบ้านนั้นเอง ก็มีใครบางคนเดินสวนออกมาเสียก่อน“น้าสีดา น้าแผน”ชิษณุกรเผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจ โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร“ที่แท้ก็มาอยู่นี่เอง เมื่อกี้ผมไปหาที่บ้าน แต่เห็นปิดป
“สะดุดตกคันนามาน่ะแม่ ฉันมันโง่เองน่ะแม่ เดินไม่ระวัง ไม่สิจริงๆก็ระวังแล้วล่ะ แต่ก็ยังอุตส่าห์พลาดอีกจนได้” เมรียิ้มเยาะตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้ขอบตาร้อนผ่าวแต่เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ปล่อยให้ความรู้สึกที่กำลังเอ่อท้นล้นออกมาฟ้องความอ่อนแอให้ใครเห็นเธอไม่ต้องการให้พ่อแม่หรือใครต้องเป็นห่วงหรือสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น“พูดอะไรของแกน่ะ แม่งงไปหมดแล้ว”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่ อย่าสนใจเลย แล้วนี่เจ้าเวียงพิงค์ล่ะ ขึ้นนอนแล้วเหรอ”“อืม งอแงตั้งแต่หัวค่ำ บอกจะให้พาไปหาแกกับพ่อจ๋าที่ไร่โน้น แม่กับพ่อแกทั้งกล่อมทั้งปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะยอมนอนหลับได้”คำว่า ‘พ่อจ๋า’ ทำให้คนฟังสะอึก คงเป็นสายใยผูกพันทางสายเลือดที่ทำให้ลูกเธอติดเขา แม้ว่าจะพบกันไม่กี่หนลูกติดเขายังพออ้างได้ แต่เธอนี่สิหลงเชื่อเขาซ้ำๆ มากี่ครั้งกี่หนแล้วจะอ้างอะไรดี“งั้นฉันขึ้นไปดูลูกก่อนนะแม่”“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอ” คนเป็นแม่มองตามหลังแม่ลูกสาวที่เดินคอตกขึ้นบ้านไปเงียบๆ อย่างแปลกใจ“เป็นอะไรของมันไปอีกล่ะนั่น หรือว่า...”“เมรี! เมรี...” ยังไม่ทันได้คำตอบ ก็มีเสียงเรียกขึ้นที่หน้าบ้านอีกครั้ง“ใครกันมาตะโกนเรียกค่ำๆ มืดๆ” นางสีดา