LOGINเช้าวันรุ่งขึ้น พอบานประตูห้องนอนชั้นบนเปิดออก แทมแทมที่ยังอยู่ในชุดนอนก็ร้องเสียงหลง
“หอมจัง!”
กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ โชยกลิ่นยั่วไปทั่วบ้านพักหลังเล็ก
“แทมแทมระวังลูกอย่าวิ่ง” กิดากานต์รีบวิ่งตามร่างเล็กๆ ที่วิ่งตึงตังลงบันไดไปอย่างว่องไว กว่าจะตามกันทัน เด็กน้อยก็ไปยืนเกาะโต๊ะอ่านหนังสือเล็กๆ ซึ่งปริญญ์เพิ่งจะถือวิสาสะดึงออกมาจากมุมห้องโถง
ซึ่งภาพที่ทำให้คนเพิ่งมาถึงต้องยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างอ่อนใจ ก็คือการจ้องตากันแบบไม่มีใครยอมใคร คนเมานั่งชันเข่าข้างหนึ่งบนเก้าอี้ที่นั่ง ความร้อนระอุของชามบะหมี่ที่ยังอยู่ในท่าคีบเส้นบะหมี่เป็นสายยาว
อาหารแก้แฮงก์ ซึ่งแต่ก่อนจะมีกิดากานต์ลุกมาทำให้ แต่คราวนี้ นิสัยเดิมก็ไม่คิดจะเปลี่ยน...เปลี่ยนแค่ลุกขึ้นมาทำเองเท่านั้น
“กินอะไรอ่ะ” แทมแทมถามตาแข็ง หากแต่ลำคอนั้นกำลังกลืนน้ำลายอึกๆ
“ไม่อร่อยหรอก มันร้อน”
“หนูรู้ ป่าป๊าก็ชอบกินแบบนี้ หนูเคยกินเยอะกว่านี้อีก”
“เยอะเท่าไหนล่ะ”
“สิบชาม!”
“แต่มันก็ไม่อร่อยหรอกเนาะ”
“ใช่ แต่เคยกินแล้ว เนี่ยรสอะไรอ่ะ” แทมแทมถามตาไม่กะพริบ เพราะเอาแต่จ้องเส้นบะหมี่ที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมกระเทียมเจียว ของโปรดของเธอ
“หมูสับ น้าคีย์ว่าแทมแทมต้องไม่ชอบแน่ๆ เลย”
“ไม่เอาแทมแทม ไม่กวนน้าเค้านะลูก แล้วเวลาคุยกับผู้ใหญ่ต้องมีหางเสียงด้วยนะคะ” กิดากานต์เดินมาถึงตัว ก็พยายามจะยกขึ้นอุ้ม แต่อีกคนกลับเกาะโต๊ะแน่นกว่าเก่า
“เอางี้...น้าให้กินได้นะ แต่ขอเป่าให้หายร้อนก่อนได้ป่ะ”
กิดากานต์ได้ยิน แต่ไม่แทรกอะไร ได้แต่พูดไม่มีเสียงออกมาว่า ‘นั่งดีๆ’
นั่นล่ะ เข่าที่เคยชันโด่เด่ถึงหดกลับลงให้เรียบร้อย
“แทมแทมไม่กินหรอก ของไม่มีประโยชน์”
แล้วพอกิดากานต์พูดออกมาที ก็พากันหน้าซีดสลดไปทั้งคู่ แต่เจ้าตัวน้อยก็ยังจะยืนเกาะนิ่งอยู่ที่เดิม
“ให้กินนิดนึง เส้นเดียว อยากรู้ว่าจะเคยกินยี่ห้อนี้มั้ย”
“ด๊ายยยยย”
เจ้าตัวน้อยทำท่าเหมือนจะไม่อยากกิน วางท่าขึงขังว่าแค่ชิม นาทีนี้ไม่มีใครสนใจแม่อูนเลยสักคนเดียว!
แต่กิดากานต์ก็ไม่คิดจะใส่ใจ เพราะรู้ว่ามันไม่เกินคาดสำหรับสิ่งที่ทั้งคู่ชอบเหมือนๆ กัน เลยปล่อยเอาไว้อย่างนั้น แล้วบอกออกมาว่า “เดี๋ยวแม่อูนไปทำข้าวต้มนะ ของหนูมีอยู่แล้ว อย่าไปแย่งน้าเค้ากิน เดี๋ยวน้าเค้าไม่อิ่มนะลูก”
“ค่า...” ขานรับเสียงหวาน ทั้งรอยยิ้มแฉ่งดีใจ พอๆ กับคนตัวโตที่ดึงเข่าขึ้นมานั่งท่าเดิม แล้วก็ค่อยๆ ป้อนเส้นที่ถูกเป่าจนเย็นเข้าปากน้อยๆ ที่อ้ารับทีละคำทั้งเสียงหัวเราะชอบใจ
เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลง ก็กลายเป็นเสียงลากสลิปเปอร์ดังแซ๊ดๆ เข้ามาในห้องครัว
“หม้อต้มมาม่าเสร็จทำไมไม่รู้จักล้างฮะ” กิดากานต์บ่นขึ้นมาทันทีที่อีกคนเดินเข้ามา
“เดี๋ยวล้างน่า จะล้างพร้อมถ้วยนี้ไง”
“แล้วลูกล่ะ”
“นั่งดูการ์ตูน”
“ให้กินเยอะป่ะเมื่อกี้”
“ไม่อิ่มเลยอ่ะ คีย์ได้กินแต่น้ำ”
“สม”
“แล้วทำไมให้คนอื่นเรียกแม่” ปริญญ์ถามจริงจัง ขณะเดินมายืนขนาบข้างคนที่กำลังคนข้าวในหม้อเดือด
“แม่แกเสียละ อุบัติเหตุทั้งคู่ แกได้คาร์ซีทช่วยเอาไว้ ช็อกๆ น่ะ พอเจอพี่เลยขอให้เป็นแม่ให้หน่อย”
“ใจดีจัง”
“เข้าใจคนรถคว่ำน่ะ”
“เหมือนกัน...”
แล้วกว่านาทีหลังจากนั้นก็มีแต่ความเงียบ ความรู้สึกอันทุรนทุรายต่อเหตุการณ์ณ์เฉียดตายได้ถูกรื้อฟื้น แล้วอารมณ์ต่างๆ ในครานั้นที่เคยรักกันปานจะกลืนก็วนกลับมา
ความหวาดกลัวสำหรับเรื่องราวเช่นนั้นมันโหดร้ายนัก แล้วเด็กตัวเท่านั้น เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ...
หากแต่แล้ว ในความเงียบนั้น หลังต้นคอของกิดากานต์ก็อุ่นร้อนขึ้นมาด้วยฝ่ามือของคนที่เคยผ่านชะตากรรมร้ายๆ นั้นมาด้วยกัน
“ไม่ใส่เฝือกแล้วเหรอ”
“หมอให้เอาออกได้แล้ว” กิดากานต์ตอบหน้านิ่ง มือยังคงเคลื่อนไหวคนข้าวที่เริ่มแตกเม็ด เธอพยายามจะวางเฉย เพื่อที่จะให้อีกฝ่ายหยุดไปเอง ทั้งที่สิ่งที่กำลังเกิด การแตะต้องที่เกินพอดี มันกำลังทำให้เธอสับสน
“ไม่ยอมใส่ของคีย์เลยนะ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่จำเป็น”
“เป็นห่วง...”
“หายดีแล้ว แล้วก็เอามือออกไปซะ คีย์กำลังพยายามจะทำอะไรอยู่ หมดรักกันแล้ว ปฏิเสธพี่แล้ว ต่างคนต่างอยู่ได้มั้ย” กิดากานต์ที่ทนไม่ไหว ก็เป็นฝ่ายหันไปสะบัดมือนั้นออกห่างตัว
“แล้วทำไมพี่แทคไม่ต่างคนต่างอยู่บ้างล่ะ”
“พวกเธอมันก็ไม่มียางอายเหมือนกันนั่นแหละ”
“แล้วยังไง กับพี่แทคนี่กลับมาคบกันเหรอ”
“คีย์! ชีวิตพี่จะเป็นยังไงก็อย่ามาทำแบบนี้ใส่ได้มั้ย อย่าลืมว่าเคยทำอะไรไว้สิ ตอนนี้พี่จะไปรักใครชอบใคร จะเปิดโอกาสให้ใคร เธอก็ไม่มีสิทธิ์มาทำเหมือนเป็นเจ้าของแบบนี้ แค่คำว่าหวงก้างเธอยังไม่มีสิทธิ์ มันทุเรศ!”
“ทุเรศแล้วไง ถ้าตอนนี้พี่ยังไม่มีใคร พี่ก็เป็นของคีย์อยู่ดี”
เพี๊ยะ!
“ฉันไม่ใช่ของเธอ!” กิดากานต์ว่าตาขวาง ไร้ความรู้สึกผิดแม้สักนิด
ให้ตายเถอะ...ฝ่ามือยังรู้สึกเจ็บขนาดนี้ แล้วใบหน้าแดงๆ นั้นจะรู้สึกขนาดไหน!
วันทั้งวัน กิดากานต์ก็ไม่เอาตัวเข้าใกล้ปริญญ์อีกเลย...ปล่อยให้โดดเดี่ยว เอาแต่นอนพลิกไปพลิกไปมาอยู่บนเตียงในห้องนอน
แล้วในเย็นวันนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ของคนจากชั้นบน ก็ทำเอาคนบนเตียงเอาหูแนบกับผนังติดบันได
“เดินดีๆ เดี๋ยวไม่ไปส่งนะ”
เสียงเบากริบที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้คนที่นอนอยู่ได้ลุกขึ้นจากเตียง และรีบเปิดประตูออกไปทันสองแม่ลูกกำมะลอที่เพิ่งลงจากบันไดพอดี
“จะไปไหนกันเหรอคะ”
“จะไปเซเว่นค่ะน้าคีย์” แทมแทมบอกตาหวานเขินอายจมูกบาน เพราะสิ่งที่เธอโปรดปราน เพิ่งจะได้รับการอนุญาต
“ไปด้วยสิ กำลังอยากได้ของพอดีเลย...”
พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด เพราะสายตาเซ็งจัดของกิดากานต์ มันใกล้ๆ คำว่ารังเกียจและรำคาญ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันทำอะไรปริญญ์ไม่ได้เลย เพราะยังจะบอกเหตุผลออกมาอีกว่า “สบู่ยาสระผมยังไม่ได้ซื้อ เหอะน่า คอพี่ยังไม่หายดี ให้คีย์ขับให้นะ”
“แน่ใจเหรอ เสร็จแล้วก็จะเลยไปส่งแทมแทมที่บ้านนะ”
“ป่าป๊ากลับมาแล้ว!” เด็กตัวน้อยตะโกนพลางกระโดดหยองแหยงดีใจ
และสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ก็พลันพาใบหน้าสวยนั้นซีดเผือดโดยไว หากแต่ก็ยังจะฮึดบอกว่าทั้งรอยยิ้มแห้งแล้งว่า
“ยิ่งต้องไปใหญ่เลย อย่าเพิ่งขับรถ เอารถคีย์ไปนะ”
“เรามาไปกันเล้ย!”
แทมแทมรีบเดินเข้าไปจับมือปริญญ์ และนั่นก็กลายเป็นการตัดบทที่ทำให้กิดากานต์คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“ไม่ไปได้ยังไงคะป๊า ตั๋วเค้าก็จองให้หมดแล้ว แล้วอูนก็แค่ไปช่วยงาน ยังไม่ได้ย้ายสักหน่อย”“หนูไม่ต้องมาใช้คำว่าสักหน่อยกับป๊า แค่หนูป่วยแค่นิดเดียว หัวใจป๊าก็เจ็บปวด...”พูดยังไม่ทันจะจบ ลูกสาวขี้วีนก็สวนกลับทันที“อย่ามาลิเกค่ะป๊า”“ป๊าไม่ได้ลิเก แต่คราวนี้ป๊ายอมไม่ได้”“ก็บอกแล้วว่าแค่ไปช่วยงาน”“อูนเอาคำว่าแค่ช่วยงานมาอ้างให้ป๊าตายใจ ไปลาออกเลย ลูกสาวคนเดียวป๊าเลี้ยงได้ ไม่ต้องทำงานเป็นหมอแล้ว ป๊านอนไม่หลับสักวันเพราะเรื่องหนูนี่แหละ”“ป๊าลองเป็นช้างสิ ถ้าป่วยมาแล้วไม่มีหมออย่างอูน ป๊าจะรู้สึก”“หนูอย่ามาแช่งป๊านะ”“ไม่ได้แช่ง แต่ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่เลี้ยงหนูมาให้รักสัตว์ ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่ชอบช้างมากที่สุด หนูก็เดินตามทางที่ป๊าเคยขีดไว้ให้แล้วไง หนูจะสี่สิบแล้ว หนูถึงขอให้เลิกยุ่งกับชีวิตหนูสักที”“ก็หนูทำตัวน่าเป็นห่วง ให้ตายยังไงป๊าก็ไม่ยอมให้หนูไปลำปาง”“งั้นป๊าก็ต้องช่วยหนูแล้ว
“กวนประสาท...ฮือ ทำไงดี เด็กต้องตกใจแน่ๆ ตาพี่แดงไปหมดเลย”ว่าแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด มันก็ดันมาเกิดกลางทาง และหากจะพากันไปทั้งสภาพนี้ มันคงแย่พอๆ กับการไม่ไปร่วมขบวน ดังนั้นคนทั้งคู่เลยพากันกลับไปล้างหน้าที่บ้านอีกรอบ“แว่นคีย์ที่พี่เคยซื้อให้อยู่ไหนอ่ะ ใส่อันนั้นพรางตาได้ดีนะ” ปริญญ์บอกคนที่ยืนล้างหน้าอยู่ในครัว“อยู่บนห้องอ่ะ หยิบให้หน่อย”และเมื่อปริญญ์เดินกลับลงมาอีกครั้ง เธอก็เดินเข้าไปสวมกอดผ่านแผ่นหลังกันไปอย่างอ่อนโยน“เลิกเกลียดคีย์เรื่องเพลงน้า”“คนพูดน่ะพูดง่าย”“คีย์ขอโทษ ตอนนี้คีย์อยากเห็นคุณมีความสุข เพลงพวกนั้นมันแค่ข้ออ้างของคนปากเสีย ไม่ได้ขอให้คุณให้อภัยนะคะ แต่อยากให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่สิ่งที่คีย์คิดจริงๆ เพราะเพลงที่คีย์ไม่ชอบจริงๆ อ่ะคือเพลงเพื่อชีวิต พี่ก็น่าจะรู้ตั้งแต่เราคบกันแรกๆ”“ไม่ใช่แค่นี้ใช่มั้ยที่โกหกพี่”“มันนานมากแล้วอ่ะ จำไม่ค่อยได้...”“แล้วที่ทำน่ะ เพราะเข้าใจว่าพี่ยังรั
จริงดั่งที่เข้าใจมาตลอด ยิ่งปริญญ์พยายามทำให้อีกคนเจ็บมากเท่าใด แต่หัวใจของเธอกลับเจ็บยิ่งกว่า เธอมองเห็นความอ่อนล้าเหล่านั้นก็อยากจะโผเข้าไปกอด แต่หากจะทะเล่อทะล่าแสดงออกไปเช่นนั้น คนที่มีปมแน่นในใจ คงไม่ยอมเปิดใจให้กันง่ายๆเธอเลยทำได้แค่แสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจ หญิงสาวไม่พูดอะไร นอกจากการเดินเข้าไปหา แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนหนุนตักคนที่รักสุดหัวใจนั้นไปเงียบๆ“อืมม์...คีย์คะ คือจริงๆ ไม่ต้องพาไปก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปเองก็ได้”นั่นไงล่ะ ปริญญ์คิดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าจะต้องได้ยินอะไรแบบนี้ ดังนั้นจากที่เคยนอนหงาย ก็ค่อยๆ พลิกตัวเข้าไปกอดกันเอาไว้เพียงหลวมๆ ศีรษะได้รูปทำท่าส่ายหน้า ไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น ก่อนจะงึมงำบอกออกมาว่า“ของีบสักห้านาทีนะ แค่ห้านาที หมดเวลาแล้วปลุกเลย”“เหนื่อยเหรอคะ”“ค่ะ ปีนขึ้นปีนลง มาหลายตัวด้วย”“ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปช่วย”“ถึงพี่อยู่คีย์ก็ไม่ยอมให้พี่ทำหรอก”“งั้นนอนพักดีกว่ามั้ย ไม่ต้องไปหรอกเนาะ”“ไม่เอา ขอแค
และยิ่งกิดากานต์ปฏิเสธกันเท่าใด อีกคนก็ยิ่งอยากฟาดกันให้ราบคาบเสียแต่ตอนนี้ หญิงสาวเอาแต่ยืนหายใจฟืดฟาด จ้องหน้าไม่พอใจอยู่อย่างนั้น“ก็บอกว่าจะเข้าไปส่งไง”“ก็แล้วจะเข้าเมืองไปทำไม”“จะไปส่งเมียตัวเองมันผิดตรงไหน”“เมียไหนกันแน่ ที่แน่ๆ พี่ยังไม่ใช่เมียเธอ ยัยเด็กคนไหนล่ะที่อยากไปหา มันไม่ใช่แค่อยากไปส่งพี่หรอก”และนี่ก็กลายเป็นการยืนยันว่า พวกเธอยังคงไม่เชื่อใจกันอย่างชัดเจน“ไม่อยากเป็นแล้วเหรอ ไหนเมื่อคืน...”พูดยังไม่ทันจบ อีกคนก็ทุบกำปั้นลงไหล่กันไม่เบานัก“เลิกพล่ามถึงตอนนั้นได้ป่ะ”“ความจริงคนเรามันออกมาตอนนั้นไม่ใช่เหรอ”“แล้วมันจะเป็นไปได้ไง ในเมื่อเธอไม่ได้ต้องการฉันจริงๆ”“.........................”เมื่อไม่อยากจะเถียง ปริญญ์ก็ทำเพียงยิ้มเยาะใส่หน้า เป็นท่ากวนประสาทที่อีกฝ่ายอยากจะตะโกนใส่หน้าให้สุดเสียง“ไม่ต้องด้อยค่ากันถึงขนาดนั้นก็ได้”“เปล่
“มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นะอูน”“นี่คีย์เค้าคิดว่าอูนกลับไปมีอะไรกันกับพี่แทคงั้นเหรอคะ ป้าขา...เราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ นะคะ” กิดากานต์พูดเสียงแหบแห้งออกมาจากใจที่อ่อนล้า“ป้าจะไม่ลงรายละเอียดนะ ให้คุยกันเอง”“ไม่ได้มีจริงๆ นะคะ”“ไปคุยกันเอาเอง เพราะเจ้าปริญญ์มันก็ไม่ฟังใคร มันเชื่อที่ตามันเห็น”“ก็หนูอธิบายเค้าตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้ทำๆ ถึงว่าสิ พอพูดถึงพี่แทคเมื่อไหร่แล้วคีย์จะกลายเป็นคนบ้าไปเลย”หลังจากวางสาย กิดากานต์ก็เพิ่งจะมานั่งคิดทบทวนว่า ปริญญ์เริ่มเปลี่ยนแปลงแหนงหน่ายกันตั้งแต่เมื่อไร และก็ถึงกับน้ำตาซึมว่ามันเกิดหลังจากสาเหตุนั้นจริงๆ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเธอมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงแม้กฤษกรจะทรงแบดดูกินไม่เลือกในเวอร์ชั่นผู้ชาย แต่เขาจะให้เกียรติเธอเสมอ จนกระทั่งตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขายังดีอยู่ ก็เพราะเขาไม่เคยหาจังหวะรังแกกันเลยสักครั้งแต่แล้วในขณะที่นั่งไล่เรียงไทม์ไลน์อย่างรวดเร็ว พลันอีกหนึ่งความสงสัยก็ผุดขึ
“โอเค คีย์อาจจะขอผิดเวลา แต่ขอให้มั่นใจกับอะไรกว่านี้อีกสักหน่อย คีย์จะกลับมาขอคบอีกครั้ง”“มั่นใจเรื่องอะไรคะ”“ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอกค่ะ”“เรื่องที่พี่เคยถามน่ะเหรอ”ทันทีปริญญ์ก็แสยะยิ้มเครียดออกมา ทำเอาอีกคนยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก“นอนเถอะ...จะได้หายเร็วๆ ไว้หายแล้วค่อยคุยกัน”“ค่ะ”แล้วตอนนี้เราเป็นอะไรกัน เป็นเรื่องน่าปวดหัวที่ไม่มีใครกล้าตั้งมันขึ้นมาเป็นคำถาม...ตั้งแต่ที่ปริญญ์เดินเข้ามาจุ๊บหน้าผากก่อนออกไปทำงาน กิดากานต์ก็กลับไปเป็นคนคลั่งรักได้อย่างเงียบๆ สมองมันแล่นแปลบปลาบ ฉายแต่ภาพซ้ำๆ ที่ทำเอานอนหน้าร้อนเป็นสีระเรื่อปริญญ์เป็นเพียงคนเดียวในชีวิต ที่รู้จักร่างกายเธอดียิ่งกว่าผู้ใด การเคลื่อนไหวอย่างรู้ใจและแสนจะช่ำชอง มันพร้อมจะหลอมละลายกายที่เกร็งสั่น ให้ปวดมวนไปทั่วร่างด้วยความกำซาบฝ่ามือเจ้าเล่ห์ปาดฉวัดเฉวียนเฉียดผ่าน แต่ไม่แตะต้องเพชรเม็ดงามที่ฉ่ำลื่นจนเจ้าตัวต้องถอนหายใจซ้ำซากด้วยความอึดอัด เพราะ