Masuk“ทำไม หรือมีใครอีก!?” คนเมายืนโงนเงนถามกวนๆ แล้วรีบถอยออกไปดูโรงจอดรถ เห็นมีอยู่คันเดียว ก็น่าจะเป็นของกิดากานต์
“ก็ไม่เห็นมีใครหนิ”
“.....................”
กิดากานต์เลือกที่จะไม่สนใจ เพราะมัวแต่ค่อยๆ จับกระเป๋าทีละใบของอดีตคนรัก เพื่อลำเลียงเข้าไปในห้องนอนชั้นล่าง ที่เพิ่งเปิดไฟสว่างขึ้น
แต่ทว่าพอกระเป๋าใบแรกถูกวางลงกับพื้นห้องนอน ทันทีแผ่นหลังของกิดากานต์ก็ถูกสวมกอดจากด้านหลังค่อนข้างแรง
“ไอ้หื่น! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” กิดากานต์ตวาดพลางดึงเอาท่อนแขนแข็งเป็นเหล็กนั้นเป็นพัลวัน
“วัดไซส์!”
“ไอ้บ้า! เดี๋ยวลูกตื่น” คนถูกกอดกัดฟันบอกด้วยความเจ็บใจที่โดนจู่โจมอย่างหยาบคาย และทันทีเลยทีเดียว ที่คนมีปมเรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยร่างกันให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย
“ลูกพี่แทค...มันหมายความว่ายังไงอาภา คุณอธิบายซิ”
ได้ยินดังนั้น...กิดากานต์กลับไม่ได้มีสายตาประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเรื่องที่คนในละแวกนี้รู้อยู่แล้วว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของนายแพทย์กฤษกร ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาคือเพื่อนในสายตาคนอื่น ท่ามกลางความกังขายังไม่ได้รับคำอธิบายจากทั้งสองฝ่าย และตอนนี้กิดากานต์ก็ไม่อยากจะอธิบายใครทั้งนั้น ยิ่งกับผู้หญิงที่ยืนหายใจหอบด้วยความโกรธอยู่ตรงนี้ เธอยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะเสียเวลาให้สักนิด เพราะปริญญ์ทิ้งสิทธิ์ที่ควรจะมีไปหมดสิ้นแล้ว!
“อธิบายก็เท่านั้น สมองโง่ๆ ของเธอไม่มีทางเข้าใจหรอก”
“ชอบกินของเก่าเหรอ ถ้างั้นคีย์ก็ดูจะไม่ปลอดภัยซะแล้วสิ” ปริญญ์ยื่นหน้าเข้าไปกล่าวหาทั้งท่าทียียวน จนอีกคนตั้งท่าวางมือจะฟาดเข้าใส่หน้าแดงๆ นั้นเต็มเหนี่ยว หากแต่กิดากานต์ก็พยายามระงับอารมณ์ ทำได้เพียงกำมือแน่นสั่นไว้กลางอากาศเท่านั้น
“ห้ามใจตัวเองให้มันได้เหอะ!”
“นี่กำลังห้ามตัวเองอยู่เหรอ”
“ฉันเตือนเธอต่างหาก” กิดากานต์กัดฟันบอกด้วยความโมโห เมื่ออีกคนยิ่งก้าวเข้าชิด
“มันเป็นความคิดในสมองพี่ต่างหากล่ะ ถึงขั้นต้องห้ามใจตัวเองเลยเหรออาภา”
พลั่ก!
มือนั้นมันเลือกที่จะผลักกันออกห่างทั้งสายตาแข็งกร้าว
“ถ้าจะชอบของเก่า ฉันก็ไม่มีทางชอบของเก่าเน่าๆ อย่างเธอแน่”
“ไมไม่ตบอ่ะ ตบแล้วโดนแน่ คิดว่าจะรอดมั้ย”
“เธอเมามากแล้ว...” กิดากานต์บอกกันทั้งแววตาเจ็บปวด ก่อนจะเอียงหน้าไปทางบันไดด้านนอกที่เพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงมาทีละขั้น
“แทมแทมกำลังมา พี่ขอร้อง อย่าทำอะไรต่อหน้าลูกเลยนะ”
เสียงอ้อนวอนอย่างปุบปับ มันกลับทำให้อีกคนเจ็บเจียนคลั่ง อยากจะดึงร่างคุ้นเคยนั้นเข้ามากอดให้สมกับความคิดถึง ที่แม้นว่าจะหักหลังเธออีกเป็นสิบครั้ง แต่ปริญญ์ก็เพิ่งจะกระจ่างว่ายังรู้สึกรักได้ และรักอยู่
บรมโง่...
คนเมารู้สึกเกลียดตัวเองจับใจ และเปลี่ยนเอาความเจ็บปวดนั้น มากดดันคนที่เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน ด้วยข้อต่อรองที่ว่า
“ก็ได้ แต่คืนนี้จะขึ้นไปนอนด้วย ไม่งั้นบ้านพังแน่”
“ฉันไม่เคยท้อง พอใจยัง!?” กิดานกานต์กดเสียงต่ำหนักแน่น
ทว่ามันกลายเป็นคำเพราะหูที่สุดเท่าที่อีกคนอยากจะได้ยิน ปริญญ์ฉีกยิ้มกว้างโลกสว่างสร่างเมาขึ้นมาในบัดดล แต่ไม่ทันจะตั้งตัว ฝ่ามือน้อยของอดีตคนรักก็เคาะตบแก้มดังแป๊ะ ให้พอหน้าสั่น
“ตั้งสติ! แล้วให้เกียรติพี่ด้วย”
“ค่ะ...”
คำอ้อยสร้อย พร้อมกิริยาอ่อนเป็นผักต้ม มันฟ้องทุกอย่างว่าใครเหนือกว่า และเหตุการณ์ก็พลันพลิกผันได้ทัน เพราะแค่ไม่กี่อึดใจ เด็กน้อยที่เดินขยี้ตาเลี้ยวมาตามมุม ก็มาโผล่หน้าห้องนอนใหม่ของปริญญ์
“จ๊ะเอ๋ สวัสดีค่ะน้องแทมแทม น้าปริญญ์เองน้า น้าขอโทษ น้าเสียงดังให้หนูตื่นเหรอคะ” ปริญญ์ยอบตัวลงไปหาเด็กหญิงที่ยังงัวเงียมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที
“อี๋เหม็น...กลิ่นเหมือนป่าป๊าเลย”
กลิ่นเหล้าคลุ้งจากตัวคนเมา พอเจอคำนั้นเข้าก็หน้าเจื่อนรีบถอยห่าง
“น้าปริญญ์ไปฉลองกับเพื่อนมาค่ะ” กิดากานต์พยายามแก้ต่างให้ด้วยความอ่อนโยน แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปอุ้มเอาเด็กตัวน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด
“แล้วป่าป๊าก็จะเดินเซ แล้วมาหอมแก้มหนู มันเหม็นมาก” แทมแทมเอาหน้าซุกไหล่ผู้หญิงคนที่เธอรักและไว้ใจ
“เดี๋ยวหนูมารอด้านนอกนะคะ นั่งรอบนเก้าอี้นี้ แม่อูนขอเวลาไม่ถึงสิบนาที ขอช่วยน้าปริญญ์ปูผ้าปูที่นอนจัดห้องก่อน แล้วเราสองคนค่อยขึ้นไปนอนพร้อมกันนะคะ”
ปริญญ์ได้ยินดังนั้น ก็แอบเหวอเบาๆ แต่ไม่มีทางที่เธอจะโวยวายอะไรทั้งสิ้น เพราะในคืนนี้มันเพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่ตำใจมาหลายชั่วโมง
จากนั้นไม่นานนัก ผ้าปูเตียงก็ถูกดึงจนตึงครบทั้งสี่มุม หมอนสองใบ หมอนข้างสองอัน มันเป็นสิ่งที่ปริญญ์เตรียมมาเองทั้งสิ้น ทว่าแววตาที่มีคำถามของกิดากานต์ยามไม่รู้ตัว ก็ทำให้เจ้าของห้องคนใหม่รีบอธิบายลิ้นพันออกมา
“มันหนึ่งแถมหนึ่งไง”
“ไม่ได้ถาม”
“อยากให้รู้”
“งั้นขอยืมหมอนข้างอันนึงสิ จะเอาให้แทมแทม แค่คืนนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาคืน”
“ได้ๆ ว่าแต่พี่อยากยืมตัวคีย์ขึ้นไปกอดเป็นหมอนข้างบ้างก็ได้นะ จะไม่ดื้อไม่ซน”
“ไม่ตลก! เอามา” กิดากานต์ว่าหน้านิ่งพลางยื่นแขนออกไปรอรับหมอนข้างที่วางอยู่ข้างตัวคนรักเก่า
“อ๊ะ...เอาไป”
คนหน้าเป็น ว่าแล้วเขยิบทีละก้าวชิดๆ ก็พาตัวมาชนมือคนที่พร้อมฟาดเพี๊ยะใส่อย่างหมั่นไส้
“ไม่เล่นคีย์!”
ตวาดหน้ายักษ์ใส่ แล้วสะบัดตัวออกห่าง หญิงสาวรีบก้าวไวๆ ไปหยิบเอาหมอนข้างมาถือไว้เสียเอง
“ทำไมไม่ให้เค้าไปนอนด้วย” ปริญญ์ยังจะแกล้งวอแวเอาตัวเข้าหา จนต้องเจอฤทธิ์หมอนข้างฟาดซ้ำๆ ลงสีข้างไปหลายที
“ก็มันเป็นซะอย่างเนี้ย ถอยไป๊!”
คนเคืองก็เต็มแม็ค คนสนุกก็เต็มที่ ปริญญ์รู้สึกราวกับถูกปลดปล่อยจากอะไรสักอย่าง...ลูกคนนั้นไม่ใช่ของกิดากานต์
ไม่ได้คาดคิด ไม่อยากคาดหวัง แต่มันมีความสุขเป็นบ้า...ผู้หญิงอบอุ่นคนนั้น กำลังจูงมือเด็กที่เป็นลูกของแฟนเก่า เธอตั้งใจดูแลปกป้องราวกับเป็นลูกของตัวเอง
และปริญญ์ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่จะเข้าใจกฤษกรว่า ทำไมถึงยังมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้
“ไม่ไปได้ยังไงคะป๊า ตั๋วเค้าก็จองให้หมดแล้ว แล้วอูนก็แค่ไปช่วยงาน ยังไม่ได้ย้ายสักหน่อย”“หนูไม่ต้องมาใช้คำว่าสักหน่อยกับป๊า แค่หนูป่วยแค่นิดเดียว หัวใจป๊าก็เจ็บปวด...”พูดยังไม่ทันจะจบ ลูกสาวขี้วีนก็สวนกลับทันที“อย่ามาลิเกค่ะป๊า”“ป๊าไม่ได้ลิเก แต่คราวนี้ป๊ายอมไม่ได้”“ก็บอกแล้วว่าแค่ไปช่วยงาน”“อูนเอาคำว่าแค่ช่วยงานมาอ้างให้ป๊าตายใจ ไปลาออกเลย ลูกสาวคนเดียวป๊าเลี้ยงได้ ไม่ต้องทำงานเป็นหมอแล้ว ป๊านอนไม่หลับสักวันเพราะเรื่องหนูนี่แหละ”“ป๊าลองเป็นช้างสิ ถ้าป่วยมาแล้วไม่มีหมออย่างอูน ป๊าจะรู้สึก”“หนูอย่ามาแช่งป๊านะ”“ไม่ได้แช่ง แต่ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่เลี้ยงหนูมาให้รักสัตว์ ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่ชอบช้างมากที่สุด หนูก็เดินตามทางที่ป๊าเคยขีดไว้ให้แล้วไง หนูจะสี่สิบแล้ว หนูถึงขอให้เลิกยุ่งกับชีวิตหนูสักที”“ก็หนูทำตัวน่าเป็นห่วง ให้ตายยังไงป๊าก็ไม่ยอมให้หนูไปลำปาง”“งั้นป๊าก็ต้องช่วยหนูแล้ว
“กวนประสาท...ฮือ ทำไงดี เด็กต้องตกใจแน่ๆ ตาพี่แดงไปหมดเลย”ว่าแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด มันก็ดันมาเกิดกลางทาง และหากจะพากันไปทั้งสภาพนี้ มันคงแย่พอๆ กับการไม่ไปร่วมขบวน ดังนั้นคนทั้งคู่เลยพากันกลับไปล้างหน้าที่บ้านอีกรอบ“แว่นคีย์ที่พี่เคยซื้อให้อยู่ไหนอ่ะ ใส่อันนั้นพรางตาได้ดีนะ” ปริญญ์บอกคนที่ยืนล้างหน้าอยู่ในครัว“อยู่บนห้องอ่ะ หยิบให้หน่อย”และเมื่อปริญญ์เดินกลับลงมาอีกครั้ง เธอก็เดินเข้าไปสวมกอดผ่านแผ่นหลังกันไปอย่างอ่อนโยน“เลิกเกลียดคีย์เรื่องเพลงน้า”“คนพูดน่ะพูดง่าย”“คีย์ขอโทษ ตอนนี้คีย์อยากเห็นคุณมีความสุข เพลงพวกนั้นมันแค่ข้ออ้างของคนปากเสีย ไม่ได้ขอให้คุณให้อภัยนะคะ แต่อยากให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่สิ่งที่คีย์คิดจริงๆ เพราะเพลงที่คีย์ไม่ชอบจริงๆ อ่ะคือเพลงเพื่อชีวิต พี่ก็น่าจะรู้ตั้งแต่เราคบกันแรกๆ”“ไม่ใช่แค่นี้ใช่มั้ยที่โกหกพี่”“มันนานมากแล้วอ่ะ จำไม่ค่อยได้...”“แล้วที่ทำน่ะ เพราะเข้าใจว่าพี่ยังรั
จริงดั่งที่เข้าใจมาตลอด ยิ่งปริญญ์พยายามทำให้อีกคนเจ็บมากเท่าใด แต่หัวใจของเธอกลับเจ็บยิ่งกว่า เธอมองเห็นความอ่อนล้าเหล่านั้นก็อยากจะโผเข้าไปกอด แต่หากจะทะเล่อทะล่าแสดงออกไปเช่นนั้น คนที่มีปมแน่นในใจ คงไม่ยอมเปิดใจให้กันง่ายๆเธอเลยทำได้แค่แสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจ หญิงสาวไม่พูดอะไร นอกจากการเดินเข้าไปหา แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนหนุนตักคนที่รักสุดหัวใจนั้นไปเงียบๆ“อืมม์...คีย์คะ คือจริงๆ ไม่ต้องพาไปก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปเองก็ได้”นั่นไงล่ะ ปริญญ์คิดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าจะต้องได้ยินอะไรแบบนี้ ดังนั้นจากที่เคยนอนหงาย ก็ค่อยๆ พลิกตัวเข้าไปกอดกันเอาไว้เพียงหลวมๆ ศีรษะได้รูปทำท่าส่ายหน้า ไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น ก่อนจะงึมงำบอกออกมาว่า“ของีบสักห้านาทีนะ แค่ห้านาที หมดเวลาแล้วปลุกเลย”“เหนื่อยเหรอคะ”“ค่ะ ปีนขึ้นปีนลง มาหลายตัวด้วย”“ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปช่วย”“ถึงพี่อยู่คีย์ก็ไม่ยอมให้พี่ทำหรอก”“งั้นนอนพักดีกว่ามั้ย ไม่ต้องไปหรอกเนาะ”“ไม่เอา ขอแค
และยิ่งกิดากานต์ปฏิเสธกันเท่าใด อีกคนก็ยิ่งอยากฟาดกันให้ราบคาบเสียแต่ตอนนี้ หญิงสาวเอาแต่ยืนหายใจฟืดฟาด จ้องหน้าไม่พอใจอยู่อย่างนั้น“ก็บอกว่าจะเข้าไปส่งไง”“ก็แล้วจะเข้าเมืองไปทำไม”“จะไปส่งเมียตัวเองมันผิดตรงไหน”“เมียไหนกันแน่ ที่แน่ๆ พี่ยังไม่ใช่เมียเธอ ยัยเด็กคนไหนล่ะที่อยากไปหา มันไม่ใช่แค่อยากไปส่งพี่หรอก”และนี่ก็กลายเป็นการยืนยันว่า พวกเธอยังคงไม่เชื่อใจกันอย่างชัดเจน“ไม่อยากเป็นแล้วเหรอ ไหนเมื่อคืน...”พูดยังไม่ทันจบ อีกคนก็ทุบกำปั้นลงไหล่กันไม่เบานัก“เลิกพล่ามถึงตอนนั้นได้ป่ะ”“ความจริงคนเรามันออกมาตอนนั้นไม่ใช่เหรอ”“แล้วมันจะเป็นไปได้ไง ในเมื่อเธอไม่ได้ต้องการฉันจริงๆ”“.........................”เมื่อไม่อยากจะเถียง ปริญญ์ก็ทำเพียงยิ้มเยาะใส่หน้า เป็นท่ากวนประสาทที่อีกฝ่ายอยากจะตะโกนใส่หน้าให้สุดเสียง“ไม่ต้องด้อยค่ากันถึงขนาดนั้นก็ได้”“เปล่
“มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นะอูน”“นี่คีย์เค้าคิดว่าอูนกลับไปมีอะไรกันกับพี่แทคงั้นเหรอคะ ป้าขา...เราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ นะคะ” กิดากานต์พูดเสียงแหบแห้งออกมาจากใจที่อ่อนล้า“ป้าจะไม่ลงรายละเอียดนะ ให้คุยกันเอง”“ไม่ได้มีจริงๆ นะคะ”“ไปคุยกันเอาเอง เพราะเจ้าปริญญ์มันก็ไม่ฟังใคร มันเชื่อที่ตามันเห็น”“ก็หนูอธิบายเค้าตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้ทำๆ ถึงว่าสิ พอพูดถึงพี่แทคเมื่อไหร่แล้วคีย์จะกลายเป็นคนบ้าไปเลย”หลังจากวางสาย กิดากานต์ก็เพิ่งจะมานั่งคิดทบทวนว่า ปริญญ์เริ่มเปลี่ยนแปลงแหนงหน่ายกันตั้งแต่เมื่อไร และก็ถึงกับน้ำตาซึมว่ามันเกิดหลังจากสาเหตุนั้นจริงๆ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเธอมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงแม้กฤษกรจะทรงแบดดูกินไม่เลือกในเวอร์ชั่นผู้ชาย แต่เขาจะให้เกียรติเธอเสมอ จนกระทั่งตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขายังดีอยู่ ก็เพราะเขาไม่เคยหาจังหวะรังแกกันเลยสักครั้งแต่แล้วในขณะที่นั่งไล่เรียงไทม์ไลน์อย่างรวดเร็ว พลันอีกหนึ่งความสงสัยก็ผุดขึ
“โอเค คีย์อาจจะขอผิดเวลา แต่ขอให้มั่นใจกับอะไรกว่านี้อีกสักหน่อย คีย์จะกลับมาขอคบอีกครั้ง”“มั่นใจเรื่องอะไรคะ”“ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอกค่ะ”“เรื่องที่พี่เคยถามน่ะเหรอ”ทันทีปริญญ์ก็แสยะยิ้มเครียดออกมา ทำเอาอีกคนยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก“นอนเถอะ...จะได้หายเร็วๆ ไว้หายแล้วค่อยคุยกัน”“ค่ะ”แล้วตอนนี้เราเป็นอะไรกัน เป็นเรื่องน่าปวดหัวที่ไม่มีใครกล้าตั้งมันขึ้นมาเป็นคำถาม...ตั้งแต่ที่ปริญญ์เดินเข้ามาจุ๊บหน้าผากก่อนออกไปทำงาน กิดากานต์ก็กลับไปเป็นคนคลั่งรักได้อย่างเงียบๆ สมองมันแล่นแปลบปลาบ ฉายแต่ภาพซ้ำๆ ที่ทำเอานอนหน้าร้อนเป็นสีระเรื่อปริญญ์เป็นเพียงคนเดียวในชีวิต ที่รู้จักร่างกายเธอดียิ่งกว่าผู้ใด การเคลื่อนไหวอย่างรู้ใจและแสนจะช่ำชอง มันพร้อมจะหลอมละลายกายที่เกร็งสั่น ให้ปวดมวนไปทั่วร่างด้วยความกำซาบฝ่ามือเจ้าเล่ห์ปาดฉวัดเฉวียนเฉียดผ่าน แต่ไม่แตะต้องเพชรเม็ดงามที่ฉ่ำลื่นจนเจ้าตัวต้องถอนหายใจซ้ำซากด้วยความอึดอัด เพราะ







