บทที่6
ชายหนุ่มที่ขี่ม้าเข้ามาในชุดของแม่ทัพช่างเป็นภาพที่ลู่จื้อไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็น หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวระยับแต่กลับต้องสงสัยเมื่อไม่ห่างกันมีม้าอีกตัวขี่แทบจะตีคู่กันมาม้าตัวนั้นมีหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งนั่งอยู่ สีและลายปักบนเสื้อคลุมตัวนอกบ่งบอกฐานะของหญิงสาวผู้นี้ได้พอสมควร นางคงเป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่เหตุใดหญิงสาวผู้นี้ถึงได้ขี่ม้าตามหลังของคนรักของลู่จื้อไม่ห่างเช่นนี้กัน กองทัพมีหญิงสาวเดินทางไปร่วมศึกได้ด้วยหรือ ยิ่งแววตาที่หญิงสาวผู้นั้นมองตามแผ่นหลังของหลิวเหว่ยยิ่งทำเอาใจลู่จื้อกระตุก
มิหน่ำซ้ำ แววตาของชายหนุ่มที่หันมาเจอนางก็ไม่ได้แสดงท่าทางคิดถึงเหมือนอย่างที่นางเป็นเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนู” เสียงของสาวใช้ที่พาคุณหนูของตนมาหันมองไปยังหญิงสาวที่น้ำตาไหลพรากแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก และหากลู่จื้อเงยหน้าขึ้นมามิได้เอาแต่ก้มปาดน้ำตาก็จะเห็นแววตาเจ็บปวดจากชายคนที่นางรักเช่นเดียวกัน
หลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อรายงานเรื่องต่าง ๆ และได้รับรางวัลที่ควรจะได้รับแล้วหลิวเหว่ยก็กลับมาพักที่จวนหยุนที่เขาเพิ่งได้กุญแจกลับมา
“แน่ใจหรือว่านี่คือสิ่งเดียวที่เจ้าจะขอ” ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเอ่ยถาม
“เท่านี้ก็กรุณาหม่อมฉันมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ
“เจ้าเป็นคนที่ทำให้ศึกครั้งนี้ได้ชัย ทั้งยังช่วยเหลือแม่ทัพและไพร่พลของเราได้มากมายแต่เรากลับช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลยแม้แต่นิด”
หลิวเหว่ยยิ้มจาง ๆ “เพียงแค่ให้กระหม่อมอยู่ตำแหน่งนี้จนถึงวันสุดท้ายก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เช่นนั้นแล้วก็ไปพักผ่อนเถอะ แล้วเรื่องเจ้ากับบุตรสาวของท่านราชครู จะให้เราแจ้งกับทางนั้นหรือไม่”
หลิวเหว่ยมีสีหน้าเศร้าลงกว่าเดิม “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจัดการเรื่องนั้นเอง” หลิวเหว่ยกลับไปที่เรือนของตนด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว แม้จะได้รางวัลมากมาย สาวใช้รวมถึงคนงานแล้วอย่างไร ในเมื่อคนที่จะดูแลจวนแห่งนี้นางจะไม่ได้มาอยู่กับเขาแล้ว
“ท่านพี่หลิวเหว่ย” ชายหนุ่มมองไปยังหญิงสาวที่วิ่งออกมารับเขา
“ซูจิน มีอะไรหรือ” คำถามที่ไร้เรี่ยวแรงถูกเอ่ยออกจากปาก
“มีแม่นางคนหนึ่งมาขอพบท่าน ข้าบอกว่าท่านพี่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้นางก็ยังไม่ยอมฟังรั้นที่จะรอข้าจึงพานางไปนั่งรออยู่ที่สวนกลางเรือน ที่อื่นล้วนยังรับแขกไม่ได้ สกปรกไปเสียทุกแห่ง”
หลิวเหว่ยพยักหน้า เพื่อให้หญิงสาวหยุดพูด
“ข้าเข้าใจแล้วเดี๋ยวข้าไปหานางเอง” ปากก็บอกกับซูจินไปเช่นนั้น แต่ในใจหลิวเหว่ยรู้ดีว่าใครกันที่จะมารอเขา
“พี่หลิวเหว่ย” ใบหน้าสวยที่เขาแสนคิดถึงยิ้มทั้งน้ำตา นางลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงมาอย่างเร็วและถ้าเขาไม่ยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ ร่างนุ่มนิ่มที่เขาจำได้คงโถมทั้งร่างของนางเข้าใส่เขาแล้วกระมัง
“ทำไมหรือ” ใบหน้าสวยเอียงอย่างสงสัยเมื่อถูกปฏิเสธ หลิวเหว่ยจับมือของนางที่กุมมือเขาออก
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ลู่จื้อ”
ดวงตาสวยหม่นลงอีกเมื่อได้ยินคำที่หลิวเหว่ยเรียกขานตนเรียก
“ลู่จื้อเช่นนั้นหรือ พี่หลิวเหว่ย ท่านทำให้ข้ากลัว”
หลิวเหว่ยมองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ “ยามนี้ข้าเป็นแม่ทัพแล้ว เจ้ามิควรเรียกข้าเฉย ๆ เช่นนั้น”
ลู่จื้อได้ฟังก็อยากจะค้าน “แต่เราเป็นคู่หมายกัน มิใช่สิคู่หมั้นเสียด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็ขบกรามแน่นก่อนจะล้วงเข้าไปในอกของตน ในนั้นมีของสองสิ่งสิ่งหนึ่งอยากให้คนตรงหน้ามาก ๆ แต่กลับทำไม่ได้ และอีกสิ่งคือของที่เขาไม่อยากจะคืนนางไปเลยแม้แต่นิด แต่ก็ต้องคืนเสียวันนี้เพื่อไม่ให้ชีวิตของอีกคนต้องยุ่งยาก
ซองสีแดงที่มีรอยเลือดซึมบางเป็นบางจุดถูกส่งคืนให้กับลู่จื้อ
“สัญญาหมั้นหมายที่ว่า ข้าคงทำมันไม่ได้แล้ว ส่วนวันเดือนปีเกิดของข้าที่อยู่กับเจ้าข้าจะให้คนไปรับมันคืนทีหลัง”
ดวงตาสวยคลอด้วยน้ำใสทันทีที่ได้ยิน
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร” ยังไม่ทันที่หลิวเหว่ยจะตอบ เสียงใสของแม่นางอีกคนที่อยู่ในจวนแห่งนี้คนที่ลู่จื้อเจอตั้งแต่เมื่อครู่ก็ดังขึ้น
“ท่านพี่ ท่านพี่หลิวเหว่ยข้าเตรียมอาหารเอาไว้พร้อมแล้ว ท่านจะรับอาหารเลยหรือไม่ หรือยังคุยธุระไม่เสร็จ”
หลิวเหว่ยหลบตาลู่จื้อก่อนจะเอ่ยออกมา “ธุระคุยเสร็จแล้ว แม่นางเหลียงเชิญกลับจวนท่านราชครูเถอะ มืดค่ำอันตราย”
แม้ลู่จื้อจะอยากดึงอีกฝ่ายมาถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แต่นางทำไม่ได้
ความเสียใจที่เห็นท่าทางที่เย็นชาที่ไม่เคยเห็นเลยทั้งชีวิตมันทำให้นางรับไม่ไหวอีกต่อไป
หญิงสาววิ่งออกจากเรือนไปโดยมีสายตาของชายหนุ่มที่นางรักมองตาม “มีใครอยู่แถวนี้บ้าง” พลทหารคนสนิทที่คอยช่วยเหลือหลิวเหว่ยจนตัวเองกลายเป็นนายกองและหลิวเหว่ยเป็นแม่ทัพเดินออกมา
หลิวเหว่ยเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้านางมาปลอบใจ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจชักฝ่ามือกลับ ชีวิตลู่จื้อที่ไม่มีเขาคงจะมีความสุขยิ่งกว่านี้เป็นแน่ ขอให้นางเสียน้ำตาเพราะเขาครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตัวเขาเองไม่ดีพอที่จะรั้งนางเอาไว้ได้อีกต่อไป รั้งแต่จะทำให้นางเสียใจ
“ข้าขอโทษเสี่ยวจื้อ สัญญาที่เคยให้กันไว้ข้าไม่อาจรักษามันเอาไว้ได้” ดวงตาคมมองแผ่นหลังบอบบางสั่นเทาเดินจากไปจนลับตา เสียงของหลิวเหว่ยแหบพร่า เขาพยายามข่มความรู้สึกภายในใจเอาไว้ ยิ่งรู้ว่านางรักและยอมทำทุกอย่างเพื่อเขามากเพียงใด เขาก็ยิ่งเอาเปรียบนางเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ให้นางได้แต่งกับคนที่คู่ควรกับความรักของนางจะดีเสียกว่าแต่งให้เขาเพราะเขาไม่อาจกลับไปแก้ไขสิ่งที่ทำพลาดได้ และนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำเพื่อนางได้เป็นครั้งสุดท้าย…
“อาเฉิงไปส่งนางที อย่าให้นางรู้ตัวแค่ตามไปห่าง ๆ” หลิวเหว่ยบอกเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปยังเรือนของตน เรือนที่เขาเคยพักเมื่อยามเด็กก่อนที่จะเกิดเรื่องทั้งหมดขึ้นกับครอบครัวของเขา
ทั้ง ๆ ที่มันควรจะได้ตกแต่งเป็นเรือนหอ แต่คงไม่มีอีกแล้ว น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทางในความเงียบ เสียงของซูจินที่เอ่ยถามว่าจะกินข้าวไหมเขาก็ไม่สนทั้งก่อนหน้านี้ก็ยังปิดประตูใส่นางไปแล้ว
“ขอโทษ เสี่ยวจื้อ พี่ขอโทษ” หลิวเหว่ยตีอกชกหัวตนเองราวกับคนบ้า เมื่อครู่เขาไม่ได้เพียงแค่ทำร้ายจิตใจตนแต่กลับทำให้นางสูญสลายไปด้วยเพียงแต่มองก็รู้แล้ว แต่อย่างไรก็ต้องทำ
ทุกหยาดหยดน้ำตาของนางทำเขาเจ็บเจียนตาย ยิ่งกว่าคมดาบที่ฟาดฟันลงบนเนื้อของเขาเสียอีก หลิวเหว่ยรู้ดีว่าเรื่องราวระหว่างเขาและลู่จื้อมิอาจเดินหน้าต่อไปได้อีกแล้ว
บทที่30“อี้อัน เออร์หมิง เลิกฝึกดาบแล้วมากินขนมได้แล้ว” ลู่จื้อเดินไปหาสามีที่มีใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงมากนัก ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่ควร ร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ร่างกายกลับเหมือนชายวัยกลางคนแต่ถึงกระนั้นนางก็ยินดีที่สุดแล้วเพราะอย่างน้อย ๆ ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว แต่สามีของนางก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แน่นอนว่าคงไปช่วยงานแม่ทัพหานไม่ได้อย่างแต่ก่อนแต่หลิวเหว่ยฝึกบุตรชายทั้งสองก็ไม่ถือว่าหนักหนาจนเกินไป “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเอ่ยก่อนจะจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นเช็ดไปตามกรอบหน้าของสามี“ท่านแม่มิเห็นเช็ดให้ข้าบ้าง” อี้อัน เด็กชายวัยเกือบหกขวบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ให้ข้าเช็ดให้มา ๆ ” น้องชายวันสี่ขวบหัวเราะขำพี่ชายที่ดูคล้ายจะอิจฉาบิดาของตน ต่างกับเออร์หมิงที่ติดท่านตามากกว่า ดาบฝึกได้แต่เจ้าตัวกลับชอบที่จะอ่านเขียนเรียนตำรา สมแล้วที่เป็นหลานที่ได้ใช้แซ่เหลียง หลานชายที่จะสืบสกุลเหลียงของราชครูมิเหมือนบุตรชายคนแรกอย่างอี้อันที่ชื่นชอบการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้อาวุธหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่นี้แต่ความสามารถก็เรียกได
บทที่29หลิวเหว่ยและลู่จื้อกลับเมืองหลวงมาช่วยท่านราชครูจัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวน แต่บางครั้งแม่ทัพหานก็มาขอให้หลิวเหว่ยไปช่วยดูการฝึกเหล่านายทหารใหม่ ไม่ได้ให้ไปออกกำลังฝึกทหาร เพียงแค่ให้ไปนั่งดูการซ้อมเพื่อขวัญกำลังใจ อย่างไรหลิวเหว่ยก็เปรียบเสมือนวีรบุรุษสงครามในศึกคราก่อนงิ้วเรื่องเดิมเกี่ยวกับความรักที่น่าสงสารระหว่างหนึ่งแม่ทัพหนึ่งบุตรสาวของราชครู ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่จนเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งหัวเมืองเรื่องความรักมั่น และเชื่อใจในคนรักของตน จับใจหนุ่มสาวยิ่งนัก แม้จะเป็นเรื่องเล่าในโรงงิ้ว แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คาดเดาได้ว่าแม่ทัพและคุณหนูผู้นั้นคือใคร จึงมักมีเสียงนินทากระทบกระเทียบอยู่เสมอยามงิ้วเรื่องนั้นเล่น หญิงสาวบางคนว่างิ้วเรื่องนั้นประโลมโลกจนเกินพอดี บุตรสาวราชครูในงิ้วช่างโง่งมเหลือเกิน เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับหลงใหลชายหนุ่มที่ใกล้ตาย ลู่จื้อฟังคำนินทานั้นก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ใครจะว่านางโง่งม นางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะท้ายที่สุดเป็นนางที่ได้รักแท้เอาไว้ในกำมือคนที่จับกลุ่มนินทาชีวิตรักของผู้อื่น หาความรักได้ดีเท่าครึ่งที่นางมีหรือไม่ ก็ไม่ สา
บทที่28ความเจ็บปวดในร่างกายและความร้อนแบบที่เคยเป็นตอนที่โดนพิษเข้าไปช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลิวเหว่ยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ลู่จื้อเห็นมากนัก เพราะเขากลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลมิใช่ว่าเคยเป็นอย่างนี้ครั้งแรกเสียหน่อย และถ้าหากทนไม่ไหวจริง ๆ ยาแก้เจ็บแก้ปวดที่นางว่าก็คงไม่ต้องหรอก เพราะร่างกายจะทำให้เขาหมดสติไปเอง เหมือนเมื่อตอนที่โดนครั้งแรกลู่จื้อมองสามีก็รู้ว่าอีกคนกำลังอดทน นางไม่เอ่ยอะไรเพราะไม่ว่าคำไหนก็พูดออกไปยากทั้งนั้น หญิงสาวทำเพียงแค่เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ให้กับคนเป็นสามีก็เท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้างอาการมาครบแล้วหรือยัง” เหมือนหมอเทวดาจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังพยายามอดทนต่อหน้าภรรยาของตน “ขอรับท่านหมอ” มือที่เหี่ยวย่นลูบเคราตนเองก่อนจะใช้เข็มแทงเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายหลิวเหว่ย พอดึงออกมาปลายเข็มเป็นสีดำขึ้นมาทันที“น่าจะได้เวลาแล้ว” คนมีอายุพูดก่อนจะเดินไปหยิบยามาให้กับหลิวเหว่ย ชายหนุ่มรีบรับไปกินในทันที เขารู้มาหลายวันแล้วว่าลิ้นของตนเองไม่รับรู้รสชาติไปแล้ว แต่เพราะอย่างอื่นในร่างกายยังคงดีจึงไม่ได้พูดอะไร จะเสียดายก็แค่จะไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารที่ลู่จื้อทำ แม้
บทที่27“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือคนที่เจ้ารักษาไม่ได้ในรอบหลายปีสินะตาเฒ่า” หลิวเหว่ยมองชายสูงอายุสองคนคุยกันราวกับเขาและลู่จื้อมิได้อยู่ตรงนี้“ใช่ข้ารักษาไม่ได้เพราะไม่มีว่านตู๋” เสียงหัวเราะดังลั่นหลุดออกมาจากคนที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าอาจจะรักษาเขาได้ เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่” ทั้งสองพูดคุยเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายของตนเองแต่สำหรับลู่จื้อไม่ใช่“ท่านหมอเทวดา ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ช่วยสามีของข้าได้ ก็ได้โปรดช่วยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะยอมทำทุกอย่างเอง” ยังไม่ทันจะจบประโยคของหญิงสาวผู้เป็นสามีก็เอ่ยขึ้น “ไม่นะเสี่ยวจื้อ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้”ดวงตาของผู้เฒ่าทั้งสองมองไปยังคนตรงหน้า “เจ้าจะแลกเปลี่ยนอะไรก็เอามา แต่ชีวิตของเขามิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาทำเป็นเล่น พวกเราในเมืองนี้ทุกคนล้วนเป็นหนี้เขา” หมอเทวดาเห็นท่าว่าการเย้ากันระหว่างสหายจะเลยเถิดจนทำให้ภรรยาของคนป่วยคิดมาก จึงรีบตัดบทเสียงจิ๊ปากดังจากผู้เฒ่าที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “ข้ามีโสมที่ปลูกใกล้กับว่านตู๋ คนที่ให้ข้ามาบอกว่ามันจะมีสรรพคุ
บทที่26ลู่จื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีของนาง ทั้ง ๆ ที่หมอเทวดาบอกว่าอาการเช่นนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางสุดท้ายไข้ของชายหนุ่มก็ขึ้น ในการพักโรงเตี๊ยมที่สอง โชคยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีบ่อน้ำแร่ร้อนซึ่งทำให้สมุนไพรที่ใช้แช่อาบตัวนั้นได้ผลดีขึ้นกว่าเก่าอาการไข้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อได้ ลู่จื้อไม่ได้พูดถึงความลำบากที่ต้องดูแลสามี มันไม่ได้ลำบากเลยสักนิด แต่มันหนักใจเสียมากกว่าที่เห็นเขาต้องเจ็บป่วยและทรมาน“พ้นเขาลูกนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านของอาเฉิงแล้ว” ลู่จื้อมองตามไปอย่างยิ้ม ๆ “สวยจังนะเจ้าคะ”“อื้อสวยพี่ก็เพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่อาเฉิงอยู่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ต้องไปรบ” แม้ว่าจะเป็นหน้าที่แต่บางครั้ง ลู่จื้อก็อยากตัดพ้อสวรรค์บ้างเหมือนกันที่ต้องให้พี่หลิวเหว่ยของนางนั้นรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียวและสำหรับลู่จื้อแล้วชื่อเสียงที่หลิวเหว่ยได้มาจากการกระทำครั้งนี้นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด ที่จริงเป็นหลิวเหว่ยคิดไปเองว่ามันสำคัญ แน่นอนมันสำคัญสำหรับคนอื่นไม่ใช่ในสายตาของนาง“ท่านพี่มาเช่นนี้ไม่ได้บอกก่อนเขาจะอยู่หรือไม่เจ้าคะ หมู่บ้านก็ดูเงียบ ๆ พิกล” หลิว
บทที่25“พี่มีเพื่อนบ้านอยู่นอกเมืองเห็นว่าเป็นเขาที่งดงามเจ้าอยากจะไปหรือไม่” ลู่จื้อไม่ปฏิเสธอีกคนอยู่แล้ว หญิงสาวมองคนรักที่แม้จะดูคล้ายกับคนปกติไม่ได้เป็นอะไรแต่เหงื่อที่ซึมอยู่น้อย ๆ ที่ขมับก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้างเหมือนกันมือเรียวยกผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อนั่นออก “หากท่านพี่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกข้าทันทีนะเจ้าคะ ห้ามฝืนเด็ดขาด” แม้แต่เอ่ยคำเช่นนั้นออกไปแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนดื้อรั้นอย่างหลิวเหว่ยจะยอมเชื่อฟังนางไหมเพราะพี่หลิวเหว่ยที่นางรู้จักที่จริงก็ดื้ออยู่พอควร “ถ้าไม่บอกเจ้าแล้วพี่จะบอกใครกัน” ลู่จื้อหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาเย้าข้าเลย ก่อนหน้านี้ถ้าข้าไม่ดึงดันคงไม่มีทางรู้ ว่าแต่บนเขาที่ว่ามีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” หลิวเหว่ยส่ายหน้า “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เขามาเยือนแถวนั้นจึงอยากจะไปเยี่ยมเขาบ้าง เขาเป็นคนที่พี่ไว้ใจตอนที่ไปรบน่ะ”“จะต้องเป็นสหายที่ดีของท่านพี่แน่ ๆ แต่ว่าหนทางยังอีกยาว ท่านพี่เล่าเรื่องที่สนามรบให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” หลิวเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “ในบันทึกพวกนั้นเจ้ายังอ่านไม่เต็มที่อีกหรือ” ลู่จื้อทำหน้างอน “ก็นั่งรถม้าไปตั