บทที่5
ยิ่งเปิดอ่านจดหมายไปแต่ละแผ่นดวงตากลมโตก็ยิ่งบวมแดง
ในจดหมายไม่ได้เอ่ยหยอกเย้าหรือเกี้ยวพานางเหมือนดั่งเช่นจดหมายช่วงแรก ๆ ที่ส่งมานี่เป็นเพียงจดหมายที่หลิวเหว่ยแค่เพียงตอบในเรื่องต่าง ๆ ที่นางเอ่ยถามออกไปในจดหมายที่ส่งให้ชายหนุ่มก่อนหน้าก็เท่านั้น
แม้ทุกอย่างจะถูกตอบกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดีในทุก ๆ คำถามที่นางเคยได้เขียนถามเขาไป แต่คำตอบเหล่านั้นกลับเป็นเพียงคำตอบห้วน ๆ ราวกับไม่ต้องการจะตอบเสียอย่างนั้นทุกตัวอักษรแข็งทื่อราวกลับคนเขียนทำเพียงตวัดปลายพู่กันส่ง ๆ มา
ลู่จื้อพยายามบอกกับตนเองว่าหลิวเหว่ยไม่มีเวลาจึงได้ทำเช่นนี้ แม้จะไม่อยากน้อยใจอะไรไร้สาระกับเรื่องเล็กน้อย แต่เพราะประโยคที่ไม่เหมือนเคยอีกทั้งระยะทางก็ห่างไกลมันก็มีอยู่บ้างเหมือนกันที่นางคิดว่าอีกหลิวเหว่ยอาจจะมีคนอื่นหรือเปล่า แต่ไม่หรอกนางคงคิดฟุ้งซ่านไปเองเพราะความกังวล นางและเขาเติบโตมาด้วยกันความนึกคิดเขาเป็นเช่นไรนางย่อมรู้ดีกว่าใครยังมิเอ่ยปากนางก็เดาได้ว่าเขาต้องการสิ่งใด อีกทั้งเขารักนางขนาดนั้นและยังให้คำมั่นกับนางนางต้องเชื่อใจหลิวเหว่ยมากกว่านี้ ลู่จื้อลอบโทษตัวเองที่ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าเขามีหญิงอื่นมาแทนที่นาง
เป็นไปมิได้ ไม่มีวันเสียหรอก
ตอนนี้จึงกลายเป็นความกังวลในใจมีทั้งเรื่องที่หลิวเหว่นต้องเผชิญอันตรายมากมายที่ชายแดนและยังรวมถึงเรื่อง...ความรักระหว่างกัน แต่เมื่อคิดแล้วก็พยายามสะบัดหน้ามิคิดมากพยายามให้ตนเองลืมความคิดแย่ ๆ เหล่านั้น
“ต้องเชื่อใจพี่หลิวเหว่ยสิ ไม่มีทางที่พี่เขาจะมีคนอื่น” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่ในใจกลับหวิวพิกล
“เสี่ยวจื้อ พ่อเข้าไปได้หรือไม่” คนเป็นพ่อเอ่ยถาม
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบออกไปมือทั้งสอบปาดน้ำตาของตนทิ้ง
“หากต้องเสียน้ำตาให้เขาถึงเพียงนี้ หรือเจ้าจะให้พ่อยกเลิกสัญญาหมั้นหมายดี” ที่เอ่ยออกไปเช่นนั้นเป็นเพราะบุตรสาวยึดติดกับความสัมพันธ์ครั้งนี้จนเกินไป มากไปจนลืมนึกถึงตนเองเขาเองด้วยอายุอานามขนาดนี้ก็พอจะเข้าใจหนุ่มสาว ยามรักก็มักจะหลงทางใช้หัวใจนำทางมากว่าสมอง
ลู่จื้อไม่ได้ตอบบิดา นางทำเพียงแค่ร้องไห้ออกมา และพยายามคิดว่าเรื่องที่มันเป็นเช่นนี้เพราะนางนั้นหวั่นไหวจนคิดมากไปเอง หรือแท้จริงแล้วคำหวานความสัมพันธ์ราวกับดอกไม้กับหมู่ภมรของนางและคู่หมายกำลังจะเปลี่ยนไป
แม้เชื่อมั่นว่าหลิวเหว่ยจะไม่มีทางเปลี่ยนใจไปจากตนเองได้ง่าย ๆ แต่คำของชาวบ้านก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางคิด
เพราะถึงจะบอกว่าไปอยู่ด่านหน้าไปอยู่ชายแดน แต่ที่นั้นก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง มีหลายคู่ไปที่เลิกราหรือยกเลิกสัญญาหมั้นหมายที่มีเพียงเพราะเจอคนที่จริงใจที่นั่น ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันจึงเอนเอียงไปหาคนใกล้ตัว
คงด้วยเหตุนี้กระมั้งที่ทำให้ลู่จื้อแอบวิตกกังวลอยู่ตลอด
“ที่จริงพ่อก็ไม่อยากเอ่ยแต่ในเมื่อมันทำให้เจ้าเศร้าโศกถึงเพียงนี้ก็ยกเลิกการหมั้นหมายเสียแล้วหาคนที่เหมาะสม คนที่ไม่ทำให้เจ้าต้องรอดีหรือไม่”
ลู่จื้อส่ายหน้าราวกับถูกบิดาขักใจ ทั้ง ๆ ที่ต้องแต่เกิดมาบิดาหรือมารดาไม่เคยขัดสิ่งที่นางปรารถนาเลยสักอย่าง แต่ลู่จื้อกลับยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เสี่ยวจื้อเจ้าเป็นเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นฮูหยินของทหารหรอกลูก คิดให้ดี บางทีอาจจะมีขุนนางที่อยู่ในเมือง ไม่ต้องออกเดินทางไปไกลให้ใจเจ้าที่รอคอยต้องทุกข์ทน”
คำพูดของบิดาคงจะจริง บางทีมันอาจจะผิดที่ตัวนางเองที่คิดมาก ตอนนี้พี่หลิวเหว่ยอาจจะกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด แค่เพียงเจียดเวลาส่งของมายืนยันตนได้นางก็ควรจะดีใจแล้วมิใช่กังวล และคิดไปเองขนาดนี้
“ไม่เจ้าค่ะ ลูกจะแต่งกับท่านพี่หลิวเหว่ยเท่านั้น หากไม่ได้เป็นฮูหยินตระกูลหยุนแล้ว ลูกก็ไม่ต้องการจะแต่งกับใครอีก”
ราชครูอยากให้บุตรสาวหายเศร้าใจจึงเอ่ยคำเช่นนั้นออกไป แต่เมื่อนางยังคงยืนยันเช่นเดิมคนเป็นพ่อก็คงทำอะไรไม่ได้
แม้ว่าหลังจากนั้นลู่จื้อจะทำเหมือนกับว่าตนไม่เป็นอะไร แม้จะผ่านไปอีกกี่เดือนจนนานนับปีและไม่มีข่าวอะไรตอบกลับมาอีกเลยแต่หญิงสาวก็ยังมั่นคงที่จะรอ
หากมินับหกเดือนที่นางรอชายหนุ่มแล้วมีข่าวบ้างไม่มีข่าวบ้างตอนนี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากกว่า เพราะหลังจากจดหมายครั้งสุดท้ายนั่นก็ไม่เคยมีอะไรส่งกลับมาอีก
ที่จริงจะบอกว่าชายผ้าของชายหนุ่มและด้ายแดงเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลิวเหว่ยส่งมาก็ได้ จวบจนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้วที่ไร้ข่าวคราว
แต่ลู่จื้อก็ไม่ได้โวยวายหรือเศร้าเสียใจมากมายอะไร คงเป็นเพราะนางรอคอยจนชินชาไปแล้วข่าวเพียงเล็กน้อย ว่าการศึกเป็นอย่างไรบ้างแล้วแค่นั้นก็เพียงพอให้นางรู้สีกดีขึ้นมาได้บ้าง
และถึงจะมีคนรู้บางว่าหญิงสาวหมั้นหมายแล้วกับหยุนหลิวเหว่ยที่ไปชายแดน คนบางคนก็ยังแกล้งทำมึนเข้ามาเกี้ยวพาลู่จื้อ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ชายตามองแม้เพียงนิด เพราะคนเดียวที่นางจะตบแต่งด้วยก็มีเพียงหยุนหลิวเหว่ยเพียงเท่านั้น
จนเมื่อผ่านไปเกือบสองปีกว่าความหวังในการรอคอยก็เริ่มเลือนราง ท่านราชครูกับฮูหยินปวดใจยิ่งนักที่ได้เห็นบุตรสาววัยแรกแย้มอาจจะต้องเป็นม่ายขันหมาก และด้วยนิสัยของลู่จื้อนางคงไม่ยอมที่จะตบแต่งกับใครต้องอยู่เป็นโสดไปชั่วชีวิตแน่ ๆ
การศึกยุติแล้วเหล่าทหารและแม่ทัพทยอยกลับมาเมืองหลวงและหัวเมืองต่าง ๆ แต่ยังคงไร้วี่แววของหยุนหลิวเหว่ยราวกับอีกคนนั้นสิ้นชีพไป แต่ก็มิมีป้ายชื่อใด ๆ ส่งกลับมา แต่ลู่จื้อจึงยังมีความหวัง นางเชื่อว่าคู่หมั้นของนางยังมีชีวิตอยู่
จนวันหนึ่ง เมืองหลวงที่ไม่ได้รื่นเริงเสียนานนับตั้งแต่งานโคมไฟเมื่องสองสามปีก่อนก็มีงานฉลองใหญ่ ขบวนแห่ต้อนรับแม่ทัพใหม่ที่เป็นคนสำคัญที่ทำให้ศึกครั้งนี้ชนะทำให้คนทั้งเมืองหลวงต่างไปดูเพราะแต่ลู่จื้อมิสน มินึกว่า
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ คุณชายหยุนกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
บทที่30“อี้อัน เออร์หมิง เลิกฝึกดาบแล้วมากินขนมได้แล้ว” ลู่จื้อเดินไปหาสามีที่มีใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงมากนัก ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่ควร ร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ร่างกายกลับเหมือนชายวัยกลางคนแต่ถึงกระนั้นนางก็ยินดีที่สุดแล้วเพราะอย่างน้อย ๆ ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว แต่สามีของนางก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แน่นอนว่าคงไปช่วยงานแม่ทัพหานไม่ได้อย่างแต่ก่อนแต่หลิวเหว่ยฝึกบุตรชายทั้งสองก็ไม่ถือว่าหนักหนาจนเกินไป “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเอ่ยก่อนจะจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นเช็ดไปตามกรอบหน้าของสามี“ท่านแม่มิเห็นเช็ดให้ข้าบ้าง” อี้อัน เด็กชายวัยเกือบหกขวบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ให้ข้าเช็ดให้มา ๆ ” น้องชายวันสี่ขวบหัวเราะขำพี่ชายที่ดูคล้ายจะอิจฉาบิดาของตน ต่างกับเออร์หมิงที่ติดท่านตามากกว่า ดาบฝึกได้แต่เจ้าตัวกลับชอบที่จะอ่านเขียนเรียนตำรา สมแล้วที่เป็นหลานที่ได้ใช้แซ่เหลียง หลานชายที่จะสืบสกุลเหลียงของราชครูมิเหมือนบุตรชายคนแรกอย่างอี้อันที่ชื่นชอบการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้อาวุธหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่นี้แต่ความสามารถก็เรียกได
บทที่29หลิวเหว่ยและลู่จื้อกลับเมืองหลวงมาช่วยท่านราชครูจัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวน แต่บางครั้งแม่ทัพหานก็มาขอให้หลิวเหว่ยไปช่วยดูการฝึกเหล่านายทหารใหม่ ไม่ได้ให้ไปออกกำลังฝึกทหาร เพียงแค่ให้ไปนั่งดูการซ้อมเพื่อขวัญกำลังใจ อย่างไรหลิวเหว่ยก็เปรียบเสมือนวีรบุรุษสงครามในศึกคราก่อนงิ้วเรื่องเดิมเกี่ยวกับความรักที่น่าสงสารระหว่างหนึ่งแม่ทัพหนึ่งบุตรสาวของราชครู ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่จนเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งหัวเมืองเรื่องความรักมั่น และเชื่อใจในคนรักของตน จับใจหนุ่มสาวยิ่งนัก แม้จะเป็นเรื่องเล่าในโรงงิ้ว แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คาดเดาได้ว่าแม่ทัพและคุณหนูผู้นั้นคือใคร จึงมักมีเสียงนินทากระทบกระเทียบอยู่เสมอยามงิ้วเรื่องนั้นเล่น หญิงสาวบางคนว่างิ้วเรื่องนั้นประโลมโลกจนเกินพอดี บุตรสาวราชครูในงิ้วช่างโง่งมเหลือเกิน เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับหลงใหลชายหนุ่มที่ใกล้ตาย ลู่จื้อฟังคำนินทานั้นก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ใครจะว่านางโง่งม นางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะท้ายที่สุดเป็นนางที่ได้รักแท้เอาไว้ในกำมือคนที่จับกลุ่มนินทาชีวิตรักของผู้อื่น หาความรักได้ดีเท่าครึ่งที่นางมีหรือไม่ ก็ไม่ สา
บทที่28ความเจ็บปวดในร่างกายและความร้อนแบบที่เคยเป็นตอนที่โดนพิษเข้าไปช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลิวเหว่ยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ลู่จื้อเห็นมากนัก เพราะเขากลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลมิใช่ว่าเคยเป็นอย่างนี้ครั้งแรกเสียหน่อย และถ้าหากทนไม่ไหวจริง ๆ ยาแก้เจ็บแก้ปวดที่นางว่าก็คงไม่ต้องหรอก เพราะร่างกายจะทำให้เขาหมดสติไปเอง เหมือนเมื่อตอนที่โดนครั้งแรกลู่จื้อมองสามีก็รู้ว่าอีกคนกำลังอดทน นางไม่เอ่ยอะไรเพราะไม่ว่าคำไหนก็พูดออกไปยากทั้งนั้น หญิงสาวทำเพียงแค่เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ให้กับคนเป็นสามีก็เท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้างอาการมาครบแล้วหรือยัง” เหมือนหมอเทวดาจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังพยายามอดทนต่อหน้าภรรยาของตน “ขอรับท่านหมอ” มือที่เหี่ยวย่นลูบเคราตนเองก่อนจะใช้เข็มแทงเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายหลิวเหว่ย พอดึงออกมาปลายเข็มเป็นสีดำขึ้นมาทันที“น่าจะได้เวลาแล้ว” คนมีอายุพูดก่อนจะเดินไปหยิบยามาให้กับหลิวเหว่ย ชายหนุ่มรีบรับไปกินในทันที เขารู้มาหลายวันแล้วว่าลิ้นของตนเองไม่รับรู้รสชาติไปแล้ว แต่เพราะอย่างอื่นในร่างกายยังคงดีจึงไม่ได้พูดอะไร จะเสียดายก็แค่จะไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารที่ลู่จื้อทำ แม้
บทที่27“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือคนที่เจ้ารักษาไม่ได้ในรอบหลายปีสินะตาเฒ่า” หลิวเหว่ยมองชายสูงอายุสองคนคุยกันราวกับเขาและลู่จื้อมิได้อยู่ตรงนี้“ใช่ข้ารักษาไม่ได้เพราะไม่มีว่านตู๋” เสียงหัวเราะดังลั่นหลุดออกมาจากคนที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าอาจจะรักษาเขาได้ เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่” ทั้งสองพูดคุยเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายของตนเองแต่สำหรับลู่จื้อไม่ใช่“ท่านหมอเทวดา ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ช่วยสามีของข้าได้ ก็ได้โปรดช่วยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะยอมทำทุกอย่างเอง” ยังไม่ทันจะจบประโยคของหญิงสาวผู้เป็นสามีก็เอ่ยขึ้น “ไม่นะเสี่ยวจื้อ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้”ดวงตาของผู้เฒ่าทั้งสองมองไปยังคนตรงหน้า “เจ้าจะแลกเปลี่ยนอะไรก็เอามา แต่ชีวิตของเขามิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาทำเป็นเล่น พวกเราในเมืองนี้ทุกคนล้วนเป็นหนี้เขา” หมอเทวดาเห็นท่าว่าการเย้ากันระหว่างสหายจะเลยเถิดจนทำให้ภรรยาของคนป่วยคิดมาก จึงรีบตัดบทเสียงจิ๊ปากดังจากผู้เฒ่าที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “ข้ามีโสมที่ปลูกใกล้กับว่านตู๋ คนที่ให้ข้ามาบอกว่ามันจะมีสรรพคุ
บทที่26ลู่จื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีของนาง ทั้ง ๆ ที่หมอเทวดาบอกว่าอาการเช่นนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางสุดท้ายไข้ของชายหนุ่มก็ขึ้น ในการพักโรงเตี๊ยมที่สอง โชคยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีบ่อน้ำแร่ร้อนซึ่งทำให้สมุนไพรที่ใช้แช่อาบตัวนั้นได้ผลดีขึ้นกว่าเก่าอาการไข้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อได้ ลู่จื้อไม่ได้พูดถึงความลำบากที่ต้องดูแลสามี มันไม่ได้ลำบากเลยสักนิด แต่มันหนักใจเสียมากกว่าที่เห็นเขาต้องเจ็บป่วยและทรมาน“พ้นเขาลูกนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านของอาเฉิงแล้ว” ลู่จื้อมองตามไปอย่างยิ้ม ๆ “สวยจังนะเจ้าคะ”“อื้อสวยพี่ก็เพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่อาเฉิงอยู่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ต้องไปรบ” แม้ว่าจะเป็นหน้าที่แต่บางครั้ง ลู่จื้อก็อยากตัดพ้อสวรรค์บ้างเหมือนกันที่ต้องให้พี่หลิวเหว่ยของนางนั้นรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียวและสำหรับลู่จื้อแล้วชื่อเสียงที่หลิวเหว่ยได้มาจากการกระทำครั้งนี้นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด ที่จริงเป็นหลิวเหว่ยคิดไปเองว่ามันสำคัญ แน่นอนมันสำคัญสำหรับคนอื่นไม่ใช่ในสายตาของนาง“ท่านพี่มาเช่นนี้ไม่ได้บอกก่อนเขาจะอยู่หรือไม่เจ้าคะ หมู่บ้านก็ดูเงียบ ๆ พิกล” หลิว
บทที่25“พี่มีเพื่อนบ้านอยู่นอกเมืองเห็นว่าเป็นเขาที่งดงามเจ้าอยากจะไปหรือไม่” ลู่จื้อไม่ปฏิเสธอีกคนอยู่แล้ว หญิงสาวมองคนรักที่แม้จะดูคล้ายกับคนปกติไม่ได้เป็นอะไรแต่เหงื่อที่ซึมอยู่น้อย ๆ ที่ขมับก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้างเหมือนกันมือเรียวยกผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อนั่นออก “หากท่านพี่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกข้าทันทีนะเจ้าคะ ห้ามฝืนเด็ดขาด” แม้แต่เอ่ยคำเช่นนั้นออกไปแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนดื้อรั้นอย่างหลิวเหว่ยจะยอมเชื่อฟังนางไหมเพราะพี่หลิวเหว่ยที่นางรู้จักที่จริงก็ดื้ออยู่พอควร “ถ้าไม่บอกเจ้าแล้วพี่จะบอกใครกัน” ลู่จื้อหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาเย้าข้าเลย ก่อนหน้านี้ถ้าข้าไม่ดึงดันคงไม่มีทางรู้ ว่าแต่บนเขาที่ว่ามีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” หลิวเหว่ยส่ายหน้า “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เขามาเยือนแถวนั้นจึงอยากจะไปเยี่ยมเขาบ้าง เขาเป็นคนที่พี่ไว้ใจตอนที่ไปรบน่ะ”“จะต้องเป็นสหายที่ดีของท่านพี่แน่ ๆ แต่ว่าหนทางยังอีกยาว ท่านพี่เล่าเรื่องที่สนามรบให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” หลิวเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “ในบันทึกพวกนั้นเจ้ายังอ่านไม่เต็มที่อีกหรือ” ลู่จื้อทำหน้างอน “ก็นั่งรถม้าไปตั