มือใหญ่ของลู่หยางกำกระดาษแน่นจนยับยู่ยี่ สายตาที่เคยสงบนิ่งราวหินผากลับสั่นไหวราวกับทะเลคลื่นซัด ความทรงจำที่เขาพยายามฝังลึกในก้นบึ้งหัวใจมาตลอดสิบปีผุดขึ้นมาทันที คืนแห่งความสับสนวุ่นวายที่กลายเป็นตราบาปภายในใจของเขา
“จับนางขึ้นมา!”
เสียงของเจ้ากรมตุลาการดังลั่นในความมืด ร่างของสตรีนางหนึ่งถูกทหารจับขึ้นมาจากพื้นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ผมยาวสยายสีดำขลับที่ปลิวไสวไปตามแรงลมถูกกระชากขึ้นมาอย่างแรง เลือดสีแดงเข้มที่ไหลลงมาจากศีรษะเหนียวเหนอะหนะติดเส้นผมจนพันกันยุ่งเหยิง ร่างของนางถูกฉุดขึ้นกลางอากาศอย่างไม่มีความปราณี ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับศพ ส่วนในดวงตากลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“อวิ๋นซู เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่!” ชายผู้หนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ไม่! ข้าไม่ได้ผิด! เป็นพวกเจ้าที่ใส่ร้ายข้า!” อวิ๋นซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่แฝงไปด้วยความแข็งกร้าว ดวงตาของนางยังคงจ้องมองกลับไปที่ชายผู้ออกคำสั่งอย่างไม่ย่อท้อ
“เจ้าคิดว่าคำพูดเพียงลมปาก จะทำให้ผู้ใดเชื่อได้หรือ?”
เสียงหัวเราะเยาะดังจากฝูงชน ทั้งทหารและขุนนางที่รายล้อมอยู่ในลานประหารแคบ ๆ เบื้องหลังตำหนักเย็น ทุกสายตาเต็มไปด้วยความชิงชังราวกับเห็นนางเป็นปีศาจร้ายที่มาล่อลวงเจ้าเมือง
“พวกเจ้ามีหลักฐานอะไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นกบฏ!” อวิ๋นซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยว แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและเลือด แต่ดวงตาของนางกลับฉายแววความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
“เจ้ากล่าวหาว่าท่านเจ้าเมืองใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ!” เสียงตวาดก้องสะท้อน ทุกคนในลานต่างเงียบกริบ ราวกับกำลังรอคอยคำตัดสิน
อวิ๋นซูหอบหายใจแผ่ว แต่เสียงของนางยังมั่นคง “ข้าพูดความจริง! จดหมายที่พวกเจ้าถืออยู่มิใช่ลายมือของข้า หากผู้ใดตรวจสอบย่อมเห็นความแตกต่าง!”
“เงียบ!”
เสียงตวาดดังก้องพร้อมแส้หนังที่ฟาดลงบนแผ่นหลังนาง เสียงหวดกระทบเนื้อดังก้องสะท้อนไปทั่ว ความเจ็บปวดทำให้ร่างบอบบางสั่นสะท้าน แต่ริมฝีปากยังเม้มแน่นไม่ยอมร้องขอความเมตตา
“ประหารนางเสีย”
คำสั่งสุดท้ายดังขึ้นอย่างเด็ดขาด คมดาบในมือเพชฌฆาตสะท้อนแสงไฟจากคบเพลิงที่ริบหรี่ ใบหน้าของอวิ๋นซูซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็ยังคงจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดราวกับกำลังจะร่ำลาจากโลกนี้ไปชั่วนิรันดร์
ภาพเหล่านั้นยังคงตรึงแน่นในใจลู่หยาง แม้ผ่านมาสิบปีเต็ม แต่บัดนี้เขาเพิ่งได้รู้ กว่าที่เขาจะมาถึงลานประหารในคืนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับอวิ๋นซูโหดร้ายกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้มาก
มือใหญ่กำกระดาษแน่นขึ้น สายตาคมสะท้อนเพลิงอาฆาต ความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนมาตลอดสิบปีปะทุขึ้นราวภูเขาไม่
“อวิ๋นซู...” เขาพึมพำชื่อด้วยเสียงแหบพร่า แววตาแดงก่ำราวเลือด “เจ้าต้องทนทุกข์เพียงนี้ แต่ข้ากลับมิอาจช่วยเหลือเจ้าได้เลยแม้แต่น้อย ข้าคือเจ้าเมืองผู้มีอำนาจสั่งความเป็นความตายได้ แต่เหตุใดเล่า ข้ากลับไร้ค่าดุจชายโง่เขลาผู้หนึ่งในคืนนั้น”
หัวใจเขาราวถูกฉีกกระชาก ความทรมานทับถมจนหายใจติดขัด ความทรงจำคืนวันนั้นย้อนเข้ามาไม่หยุด วันที่เขาพบร่างไร้วิญญาณของนางนอนนิ่งในลานหิน สายลมหนาวพัดพาเสียงคร่ำครวญดุจเสียงสวรรค์ร่ำไห้ แต่เขามิทันได้ยินเสียงร้องสุดท้ายของนาง มิทันได้รู้ว่าความจริงถูกปิดบังไว้อย่างโหดร้ายเพียงใด
“สิบปี... สิบปีแล้วที่ข้าดำรงตนในฐานะเจ้าเมือง ผู้คนน้อมรับคำสั่งข้าโดยไม่กล้าปริปากขัด แต่ทุกครั้งที่ยามราตรีมาเยือน ข้ากลับถูกดวงตาของเจ้า... ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังคู่นั้น ตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืนวัน”
ลู่หยางยกมือสั่นเทาขึ้นปิดหน้า ความแข็งแกร่งที่สร้างมานานหลายปีพังทลายลงในชั่วขณะ เขาคือผู้ปกครองแคว้น แต่หัวใจกลับถูกพันธนาการด้วยตราบาปเพียงหนึ่งเดียว
“ข้าควรอยู่ที่นั่น... ข้าควรปกป้องเจ้า แต่ข้ากลับมาถึงช้าเกินไป”
หยดน้ำใสคลออยู่ที่หางตา เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานสูง ความสว่างจากเปลวเทียนสะท้อนในดวงตาแดงก่ำ
“อวิ๋นซู... หากสวรรค์มีจริง ข้าขอแลกทุกเกียรติยศและตำแหน่ง เพื่อย้อนเวลาเพียงคืนเดียว เพียงเพื่อจะได้ยืนเคียงข้างเจ้าในยามสุดท้าย”
เสียงคำรำพันแผ่วเบา หากแต่หนักแน่นด้วยความสิ้นหวัง ราวกับเป็นคำสาบานที่ฝากไว้กับฟากฟ้า
เขากำกระดาษแน่นจนแทบขาด ข้อความบันทึกความจริงที่เพิ่งปรากฏ หลักฐานที่อวิ๋นซูถูกใส่ร้าย ตอกย้ำถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้น เบื้องหลังเงามืดคือผู้ใดกันแน่ที่บงการ
ริมฝีปากหนาสั่นไหวอีกครั้ง ก่อนเปล่งเสียงต่ำ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องพบกับความอยุติธรรม ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ข้าจะลากตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมารับโทษอย่างสาสม”
เสียงนั้นไม่ใช่เพียงคำรำพัน หากคือคำประกาศอาฆาตที่สะท้านไปถึงแก่นจิตวิญญาณ
มือใหญ่ค่อย ๆ วางกระดาษลง เขาหันไปยังมุมห้องที่ปิดตายมานาน ตู้ไม้โบราณที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนา
ลู่หยางลุกขึ้น ก้าวเท้าอย่างหนักแน่น ราวกับทุกย่างก้าวคือการปลดโซ่ตรวนในใจ เมื่อเขาเอื้อมมือไปแตะบานตู้ ความเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมา
“อวิ๋นซู... จงมองดู ข้าจะไม่เป็นเจ้าเมืองผู้ขลาดเขลาอีกต่อไป”
มือหนาเปิดบานตู้ เสียงไม้เสียดสีกันดังสะท้อนในห้องเงียบงัน ภายในปรากฏกล่องเหล็กปิดผนึกแน่นหนา สิ่งที่เขาซ่อนไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
ภายในคือดาบคู่ใจที่เขาเก็บงำไว้นานนับสิบปี ใบดาบยังคงเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เสียงชักดาบออกจากฝักดังแหลมคมสะท้อนในความมืด
ลู่หยางจ้องคมดาบ แววตาแน่วแน่เปี่ยมด้วยโทสะและความมุ่งมั่น เขาจะสืบหาความจริง เขาจะลากผู้ที่อยู่เบื้องหลังการป้ายสีออกมาสู่แสงสว่าง และเขาจะไม่หยุดจนกว่าความยุติธรรมของอวิ๋นซูจะถูกชำระ
ลู่หยางนั่งลง เขียนจดหมายสั้น ๆ ด้วยลายมือของตนเองบนกระดาษสีหม่น ก่อนพับใส่ซองปิดผนึกด้วยตราประจำตัวของเจ้าเมือง
“ส่งไปให้เหวินซาง แล้วอย่าให้ใครจับได้ล่ะ”
“ขอรับ”
บ่าวชายรับคำก่อนจะเก็บจดหมายที่ได้มาไว้ในสาบเสื้อแล้วถอยหลังออกไปจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง