เสียงก้าวเท้าของบ่าวคนสนิทค่อย ๆ เลือนหายไปตามระเบียงยาวที่ทอดสู่ความมืด ลู่หยางยังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องหนังสือ เงาไฟจากตะเกียงบนโต๊ะเต้นระริกสะท้อนในดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยเพลิงแค้นและความมุ่งมั่นที่ไม่อาจดับได้
เขาไม่อาจเดินบนเส้นทางแห่งการปกครองที่เงียบสงบอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนคือบาดแผลที่ไม่เคยสมาน จนบัดนี้กลายเป็นไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกเงามืดที่ขวางหน้า
เหวินซางคือสหายร่วมเป็นตายในสนามรบ ชายผู้ยอมสละตำแหน่งแม่ทัพสูงสุดเพราะไม่อาจทนเห็นการเมืองที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย เขาคือคนเดียวที่ลู่หยางยังคงไว้ใจอย่างเต็มหัวใจ
“สิบปี ข้าปล่อยให้เจ้าลี้ภัยอยู่ในหุบเขา... แต่ครั้งนี้ ข้าจำเป็นต้องพึ่งเจ้าแล้ว” ลู่หยางพึมพำเบา ๆ ราวกับฝากความหวังไปกับสายลมที่ลอดเข้าหน้าต่าง
เขาเงยหน้ามองเพดานสูง ความเงียบของราตรีเหมือนจะโอบล้อม แต่เบื้องลึกของจิตใจ เขารู้ดีว่าการขยับครั้งนี้คือการเดินเข้าสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ
ยามรุ่งสาง แสงแรกแห่งวันค่อย ๆ ทะลุผ่านม่านหมอกที่คลุมทั่วเมือง เสียงไก่ขันดังระงมประสานกับเสียงพ่อค้าแม่ค้ากำลังตั้งร้านรับเช้าวันใหม่ แต่ภายในเรือนเจ้าเมืองกลับเงียบสงบผิดปกติ ราวกับอากาศยังคงกดทับด้วยความหนักอึ้งจากราตรีที่ผ่านมา
บ่าวหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งเร่งรีบมาตามระเบียงยาว หยุดหน้าห้องหนังสือ ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า เขาเอ่ยด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยเพราะรีบเร่งและเกรงกลัวอำนาจของเจ้านาย
“ท่านเจ้าเมือง... ท่านเหวินซางมาแล้วขอรับ”
เสียงเรียบที่เปี่ยมด้วยแรงกดดันดังขึ้นจากด้านใน
“นำตัวเขาเข้ามา”
ประตูไม้ถูกเลื่อนออกอย่างช้า ๆ เสียงบานไม้เสียดสีกันก้องสะท้อนในห้องที่เงียบสงัด เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของเหวินซาง เขาสวมอาภรณ์นักรบสีหม่นเรียบง่าย สายตาคมแต่สงบ เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ในใจ เขาก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดลง ทำความเคารพพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่พบกันนาน เจ้ายังคงเหมือนเดิมเลยนะ ลู่หยาง”
ลู่หยางทอดสายตามองเพื่อนเก่า ดวงตาทั้งคู่สะท้อนความหลังอันยาวนานที่ผ่านร่วมกัน ทั้งรอยยิ้มและเสียงร้องไห้ในสนามรบ ทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ที่เคยแบ่งปันกันมา
“เหวินซาง ที่ข้าเรียกเจ้ามาในครั้งนี้... ข้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา”
เหวินซางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปรึกษา? เรื่องใดกัน ที่ถึงขั้นต้องให้ข้าลงจากหุบเขามาแต่เช้า”
ลู่หยางมิได้ตอบด้วยคำพูดในทันที เขาก้าวไปหยิบม้วนจดหมายบนโต๊ะ ยื่นส่งไปตรงหน้าเพื่อนเก่า
“เจ้าลองดูสิ่งนี้ด้วยตาตนเองเถิด”
เหวินซางรับจดหมายมาอย่างระมัดระวัง สายตาไล่ไปตามลายอักษรทีละบรรทัด เพียงไม่กี่อึดใจ สีหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับแปรเปลี่ยนไปทันที แววตาแข็งกร้าวสั่นสะท้านด้วยโทสะ
“เจ้า... ได้จดหมายฉบับนี้มาจากที่ใด”
“ข้าไม่รู้ที่มาแน่ชัด” ลู่หยางตอบเสียงต่ำ “บ่าวของข้าบอกเพียงว่า ผู้ที่นำมันมาส่งนั้นปิดบังหน้าตามิดชิด แต่ลายมือในจดหมาย ข้าจำได้แม่น... มันคือลายมือของนาง”
เหวินซางเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาคมไหวระริกด้วยอารมณ์ที่เก็บกด
“ใช่... นี่คือลายมือของนาง หากข้อความในจดหมายเป็นความจริง คืนวันนั้นนางถูกใส่ร้ายใช่หรือไม่”
ลู่หยางนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับหินหนักหมื่นชั่งกดทับบนบ่า
“ใช่ เป็นข้าที่ผิดเอง... ข้าไม่สอบสวนให้ดี ปล่อยให้เล่ห์เพทุบายบดบังความจริง กว่าข้าจะไปถึงลานประหาร... นางก็ถูกตัดสินโทษไปแล้ว”
เสียงคำรามต่ำ ๆ หลุดออกมาจากลำคอเหวินซาง เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นที่แขน
“อวิ๋นซู... นางไม่สมควรตายเช่นนั้น!”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอึดอัด มีเพียงเสียงลมหายใจหนักหน่วงของสองสหายที่สะท้อนระหว่างกัน ลู่หยางหลับตาลงเพียงครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
“ดังนั้น ข้าถึงได้เรียกเจ้าลงมาจากหุบเขา ข้าต้องการหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่สูงส่งเพียงใด ข้าก็จะลากมันลงมาให้ได้”
เหวินซางพยักหน้ารับ สีหน้าเข้มแข็งดังเช่นวันวานที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบ
“ผู้ส่งเลือกเวลาส่งจดหมายในยามค่ำคืน แถมยังปิดบังหน้าตา... เห็นชัดว่าไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ว่าตนคือใคร” เหวินซางเอ่ยพลางเคาะโต๊ะเบา ๆ “แต่หากเขากล้าส่งถึงมือท่าน แสดงว่าต้องการให้ท่านเป็นคนเปิดโปงความจริงนี้”
“เช่นนั้นเราควรทำเช่นไร ”
“หอชิงเฟิง”
ลู่หยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หอชิงเฟิง? เจ้าคิดว่าหอนางโลมแห่งนั้นจะเกี่ยวข้องได้อย่างไร?”
เหวินซางเดินไปยังแผนที่เมืองที่แขวนอยู่บนผนัง ใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่ง
“หอชิงเฟิงเป็นมากกว่าหอนางโลมทั่วไป มันเป็นศูนย์รวมข้อมูลและข่าวสาร เป็นที่ที่ผู้คนหลากหลายชนชั้นมาพบปะสังสรรค์ ปล่อยข่าวลือ และแลกเปลี่ยนความลับกัน ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง พ่อค้า หรือแม้แต่พวกกุ๊ยข้างถนน ล้วนไปที่นั่น การที่จดหมายนี้ถูกส่งมาอย่างลึกลับ ยิ่งทำให้ข้าเชื่อว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เราคิด อาจมีเบาะแสบางอย่างที่หอชิงเฟิง”
ลู่หยางครุ่นคิดตาม “หากเป็นเช่นนั้น การเข้าไปสืบในหอชิงเฟิงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าจะทำอย่างไร?”
เหวินซางคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ซึ่งนานแล้วที่ลู่หยางไม่เคยเห็น
“ข้ามีวิธีของข้าเอง ในคราบของนักเลงพเนจรที่รักสุราและสตรีคงไม่มีใครสงสัย ข้าจะเข้าไปสืบข่าวคราวจากภายใน ส่วนเจ้า... จงเตรียมกำลังพลให้พร้อม หากมีเบาะแสใดที่ยืนยันว่าเรื่องนี้เชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจระดับสูง เราจะดำเนินการทันที”
“ดี” ลู่หยางตอบเสียงหนักแน่น “ข้าจะให้คนเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวรอบหอชิงเฟิง หากมีอันตรายใด ๆ เจ้าต้องส่งสัญญาณทันที”
“วางใจเถอะ ใช่ว่าข้าจะพึ่งสืบครั้งแรกเสียเมื่อไหร่” เหวินซางตบไหล่ลู่หยางเบา ๆ “คืนนี้ข้าจะเข้าไปที่นั่น”
พลบค่ำย่างกรายเข้ามา แสงสีส้มแดงของตะวันที่ลาลับขอบฟ้าค่อย ๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดที่เข้าปกคลุม เหวินซางสวมเสื้อผ้าชุดเก่าที่ดูมอซอ คล้ายนักเลงพเนจรธรรมดา ย่างก้าวออกจากเรือนเจ้าเมืองอย่างเงียบเชียบ ราวกับเงาที่กลืนหายไปกับรัตติกาล
หอชิงเฟิงตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ส่งเสียงดนตรีครึกครื้นและแสงโคมไฟสีแดงส้มที่สว่างไสวเชื้อเชิญผู้คนให้เข้ามาสัมผัสกับความบันเทิง เหวินซางเดินเข้าไปภายในอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง กลิ่นหอมของบุปผา ผสมกับกลิ่นสุรา และกลิ่นหอมกรุ่นของแป้งร่ำลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
เขาเลือกนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่ง สั่งสุราหนึ่งไหกับอาหารจานง่าย ๆ สายตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ สังเกตผู้คนหลากหลายที่เข้ามาใช้บริการ ขุนนางในชุดแพรไหมกำลังสนทนากับเหล่านางโลมอย่างออกรส พ่อค้ากำลังเจรจาธุรกิจกันเสียงดัง นักเลงกำลังดื่มเหล้าและส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เหวินซางยกจอกสุราขึ้นจิบช้า ๆ คล้ายไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่หูของเขากลับตั้งใจฟังทุกคำพูด ทุกเสียงกระซิบ เสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากแต่ละโต๊ะ
“ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านเสนาบดีหลิวดูจะมีอำนาจมากขึ้นนะ” เสียงกระซิบจากโต๊ะข้าง ๆ แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเหวินซาง “เห็นว่าเขาจัดการเรื่องที่ดินทางตอนใต้ได้สำเร็จ ได้หน้าไปเต็ม ๆ”
อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา “นั่นสิ ได้ข่าวว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขามากเลยทีเดียว”
เหวินซางขมวดคิ้วเล็กน้อย เสนาบดีหลิว... ชายผู้นี้มีชื่อเสียงเรื่องความโลภและทะเยอทะยาน หากเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของอวิ๋นซูจริง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เขาดื่มสุราไปเรื่อย ๆ แสร้งทำเป็นเมามายเล็กน้อย เพื่อให้ผู้คนไม่ระแวง ในขณะที่จิตใจยังคงจดจ่ออยู่กับการเก็บข้อมูล เขาได้ยินเรื่องราวมากมาย ทั้งข่าวลือเรื่องขุนนางฉ้อโกง การค้าทาสเถื่อน และความขัดแย้งภายในวังหลวง แต่ยังไม่มีเบาะแสใดที่เกี่ยวข้องกับการตายของอวิ๋นซูโดยตรง
จนกระทั่งยามดึก เมื่อผู้คนเริ่มเบาบางลง เหวินซางเห็นร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามาจากทางด้านหลังของหอ หญิงผู้นั้นสวมชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ ใบหน้าซูบผอม ดวงตาหมองเศร้า นางดูไม่เหมือนนางโลมทั่วไป แต่คล้ายกับหญิงรับใช้มากกว่า
นางเดินผ่านโต๊ะของเหวินซางไปโดยไม่ทันสังเกต เหวินซางรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล เขาตัดสินใจเดินตามไปอย่างห่าง ๆ
หญิงผู้นั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของหอชิงเฟิง ซึ่งเป็นทางเชื่อมไปยังตรอกซอยมืด ๆ นางหยิบกุญแจออกมาไขประตูอย่างเร่งรีบ ราวกับกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง
ก่อนที่นางจะหายเข้าไปในเงามืด เหวินซางสังเกตเห็นหยกที่นางพกไว้ที่เอว บนตัวหยกมีลวดลายดอกเหมยที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต ซึ่งเป็นลวดลายเดียวกับหยกที่อวิ๋นซูพกติดตัว
หัวใจของเหวินซางเต้นระรัว นี่อาจเป็นเบาะแสสำคัญ เขาตัดสินใจไม่เข้าประชิดตัวในตอนนี้ แต่จะเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป
รุ่งเช้า เหวินซางกลับมาที่เรือนเจ้าเมือง เล่าเรื่องที่พบเจอให้ลู่หยางฟัง ลู่หยางฟังอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ
“หยกลายดอกเหมย... เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ผิดพลาด?” ลู่หยางถามย้ำ
“ข้าจำไม่ผิด หยกนั้น เหมือนหยกที่เจ้าสั่งให้ทำเพื่อมอบให้นางในเทศกาลชีซี”
“แล้วสตรีนางนั้นอยู่ที่ใดกัน ข้าจะให้คนไปรับนางมาที่จวน ไม่ว่ายังไงข้าก็จะสอบสวนนางให้รู้เรื่อง”
“ข้าว่าเจ้าใจเย็นก่อน ขืนเจ้าหุนหันพลันแล่นในตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เอาเป็นว่าเรื่องนี้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง เจ้าวางใจเถิด”
“ขอบใจเจ้ามาก” ลู่หยางตอบด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยประกายแห่งความหวัง
อวิ๋นซู อีกไม่นาน ข้าจะนำเลือดผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ออกมาล้างมลทินให้เจ้าเอง
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง