เข้าสู่ระบบหลังจากสั่งงานเสนาบดีคลังเรื่องนายน้อยแห่งหอเหว่ยตี้เรียบร้อย บุรุษที่ถูกเรียกขานว่านายท่านจึงเอ่ยเรื่องที่ฉู่ปิน จู่ๆก็ทิ้งจดหมายไว้บอกว่าต้องไปทำธุระด่วนให้ทางบ้าน ซึ่งเขาทราบข่าวนี้จากสาส์นที่เยี่ยนอ๋องส่งมา ฉู่ซิวหมิงและชุนซื่อมองหน้ากันด้วยความงวยงง พวกเขาไม่ทราบเรื่องที่ฉู่ปินไม่ได้อยู่ที่เมืองคังจิง ณ ตอนนี้ “พวกเราไม่ได้ใช้เขาไปทำอะไรที่ไหนนะขอรับนายท่าน เมื่อไม่กี่วันก่อนอาปินยังเขียนจดหมายมารายงานว่า ธุระที่เมืองคังจิงเรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไรอยู่เลย” เสนาบดีคลังกล่าวรายงานด้วยท่าทีสับสน พร้อมกับลุกไปหยิบจดหมายที่บุตรชายส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มายื่นให้นายท่านของตนดู ดวงตาของของบุรุษในชุดสีเข้มปรากฏระลอกคลื่น เรื่องที่ฉู่ปินหายตัวไปจากเมืองคิงจังชักไม่ชอบมาพากล ฉู่ปินกุมความลับไว้มากและหากผู้ไม่ประสงค์ดีได้ตัวเขาไป นั่นนับว่าเป็นอันตรายต่อแผนการของพวกเขา “ส่งคนตามหาตัวฉู่ปินให้พบโดยเร็ว” “ขอรับนายท่าน ข้าน้อยจะส่งคนตามหาอาปินให้พบโดยเร็วที่สุด” ฉู่ซิวหมิงเหงื่อเย็นไหลซึมทั่วกรอบหน้า การหายตัวไปของบุตรชายเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาและภรรยา ชุนซื่อหน้าซีดเผือ
ค่ายทหารหวงเป่าเว่ย ภายในห้องสอบสวนของคุกทหาร ชายวัยฉกรรจ์อายุราวสามสิบต้นๆแววตาดูดุร้ายและหยิ่งผยอง ถูกโยงไว้กับกำแพงห้องสอบสวนตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลดูน่าสยดสยอง กริชในมือของเฟิ่งเสวียนจีอาบไล้ด้วยของเหลวสีแดงข้น “จะยอมพูดออกมาดีๆว่าใครเป็นคนมอบเสบียงและอาวุธให้พวกเจ้า หรือต้องให้ข้าแล่เนื้อเจ้าออกมาเพิ่มอีกสักหน่อย” เชลยชาวกู่เถี่ยร่างกายสั่นระริกจากความเจ็บปวดที่ได้รับทว่าก็ยังไม่ยอมปริปาก เขาเหยียดยิ้มเย้ยหยันก่อนถุยน้ำลายลงพื้น “อยากรู้ก็ไปถามมารดาเจ้าในปรโลกดูสิ!” “บังอาจ!” ซ่งเฉินซีตวาดเสียงกร้าวหันมามองสหายที่นั่งแผ่ไอสังหารดำทะมึน อดีตฟ่านซูเฟยพระมารดาของฉีอ๋อง หาใช่บุคคลที่ชาวกู่เถี่ยจะล่วงเกินได้ ทว่าเฟิ่งเสวียนจีหาได้บันดาลโทสะอย่างที่หลายคนกลัว เจ้าตัวเอียงคอมองเชลยฝีปากกล้าด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เปิ่นหวางชักอยากรู้แล้วสิว่าระหว่างปากกับกระดูกของเจ้าสิ่งไหนจะแข็งกว่ากัน หานเย่ ไปเอาโถแมลงกินกระดูกมาข้าให้ที” ไม่นานต่อจากนั้น… อ๊ากกก!!!เสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานแสนสาหัสดังลั่นห้องสอบสวน เชลยคนนั้นสลบเหมือดเพียงไม่กี่ลมหายใจ ทว่าสลบได้ไม่กี่อึดใจก็ถูกน้ำเย็นเฉีย
เรื่องความผิดปกติที่นางและลี่อิ่งไปพบทางป่าทิศใต้ใกล้สุสานไร้ญาติถูกบอกกล่าวอย่างไม่ตกหล่น คิ้วเข้มของเฟิ่งเสวียนจีขมวดมุ่นขณะรับฟังเรื่องราวจากปากคนตัวเล็ก “เจ้าแน่ใจนะว่าคนพวกนั้นไม่ใช่ผู้อพยพเหมือนเช่นทุกปี” “แน่ใจเพคะ ถึงคนเหล่านั้นจะแต่งตัวเหมือนชาวต้าเฟิ่งแต่ภาษาที่พวกเขาใช้กลับไม่ใช่ หากข้าเดาไม่ผิดนั่นเป็นภาษาของชาวกู่เถี่ย” นางเดินทางค้าขายไปทั่วทุกสารทิศจึงคุ้นเคยกับภาษาของชนเผ่าต่างๆพอสมควร ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก้าวผ่านร่างบางตรงไปยังประตูห้อง “จะทรงไปไหนเพคะ” เสียงหวานถามสามีที่กำลังจะเดินถึงประตู “ไปฆ่าคนระบายอารมณ์นิดหน่อย” เฟิ่งเสวียนจีตอบกลับมาโดยไม่ต้องหยุดคิดก่อน คนฟังถึงกับเงิบยามได้ยินคำตอบจากปากสามี เพียงแต่นางหาใช่หญิงสาวปกติจึงไม่ตื่นตกใจกับถ้อยคำของเขา “ให้ซินเอ๋อร์ไปช่วยดีหรือไม่เพคะ” พานางไปด้วยนางอยากเห็นตอนสามีกวัดแกว่งอาวุธต้องเท่ห์มากแน่ๆเลย ร่างแกร่งที่รอบกายแผ่ไอสังหารเย็นยะเยือกหยุดกึกที่หน้าประตูห้อง หมุนตัวกลับมาอย่างช้าๆจ้องดวงหน้างามล้ำของชายาเขม็ง “ไม่ต้อง! เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ หากข้ากลับมาแล้วไม่พบก็อย่ามาหาว่าข้าแล้งน้ำใจ!” รับส
สุรเสียงทุ้มต่ำสุดแสนคุ้นหูทำร่างบางที่กำลังดิ้นรนขัดขืนชะงักงันทันที ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด หัวใจหล่นตุ๊บลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ตระหนักแล้วว่าที่แท้ตนถูกสามีล่อซื้อ! ฮือ พลาดท่าเสียทีฉีอ๋องจนได้ ความแตกในที่สุดงานใหญ่จะเข้าไหมเนี่ย ลี่มี่ช่วยข้าด้วย…!! เมื่อเห็นว่าร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนหยุดดิ้นเพราะได้ยินเสียงของเขา เฟิ่งเสวียนจีแค่นเสียงขึ้นจมูก หึ! ดวงเนตรคมกล้าจ้องเข้าไปในดวงตาภายใต้หน้ากากสีดำ แววตาสุกสกาวราวดวงดาราที่เขาหลงใหลกำลังสั่นระริกด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ดิ้นต่อแล้วหรือพระชายามู่ซูซิน หรือข้าควรเรียกเจ้าว่านายน้อยเหว่ยซินดี” เขาดึงผ้าปิดหน้าสีดำของตนลง ตามด้วยปลดหน้ากากของคนตัวเล็กออก ใบหน้างามสะคราญของมู่ซูซินแดงก่ำจากการออกแรง สีหน้าและแววตาของนางยามนี้ยังดูตกใจไม่หาย “สามี ซินเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจปกปิดท่าน เพียงแต่…” เสียงของนางแผ่วเบาขณะพยายามแก้ตัว ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบเสียงของคนตัวโตก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เพียงแต่อะไร ปั่นหัวข้าได้เจ้าคงสนุกมากสินะ!” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองระคนน้อยใจ “ไม่จริงนะเพคะ ซินเอ๋อร์ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยสักน
สถานการณ์ในเมืองหลวงยังเงียบสงบ ประชาชนทั้งมั่งคั่งและยากจนต่างใช้ชีวิตกันตามปกติ มิได้รับรู้ถึงความวุ่นวายที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเงียบงันในวังหลวง และรอยต่อระหว่างแดนตะวันออกกับแดนเหนือ ก่อนฤดูหนาวกำลังจะมาเยี่ยมเยือนในอีกไม่นาน พระชายาฉีอ๋องได้จัดตั้งโรงทานข้างตำหนักเว่ยจง ทำการแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้งให้ชาวบ้านผู้ยากไร้ เพื่อให้มีพอประทังชีวิตในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน เงินทองทุกอีแปะทุกตำลึง นางใช้สินเดิมของตนมาใช้จ่ายทั้งสิ้น คนอื่นๆจะได้ไม่กล้าพูดว่านางเป็นพวกบ้านนอก พอมีวาสนาได้แต่งกับอ๋องก็ผลาญทรัพย์สมบัติของเขาเพื่อเอาหน้า มู่ซูซินไม่อยากจะอวดว่านางน่ะสวยและรวยมากเลยนะ เผลอๆรวยกว่าฮ่องเต้สุนัขนั่นด้วยซ้ำ ฉีอ๋องเองก็หอบสังขารมานั่งหน้าซีดด้วยชาดแต่งหน้า ดูพระชายาคนงามแจกจ่ายอาหารแห้งให้กับชาวบ้านยากไร้ด้วยรอยยิ้มในดวงเนตร การได้ใช้ชีวิตร่วมกับมู่ซูซินมาระยะหนึ่ง ทำให้หัวใจที่เคยเหน็บหนาวและโดดเดี่ยว ค่อยๆสัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยน และความเอาใจใส่จากชายาตัวน้อยแสนงดงามของตน กำแพงสูงตระหง่านในจิตใจที่เคยมีไว้ปกป้องความรู้สึก ถูกคนตัวเล็กร่างนุ่มนิ่มทำลายลงด้วยการเคา
เมื่อก้าวขาลงจากรถม้าได้ร่างสูงก็พาพระชายาตรงเข้าห้องบรรทมทันที สั่งให้องครักษ์ที่ยืนเฝ้าออกไปยืนไกลๆ ในที่สุดเฟิ่งเสวียนจีก็ได้รับคำตอบ ว่าชายาตัวน้อยชอบการปรนนิบัติของเขาบนรถม้าหรือไม่ เสียงหอบกระเส่าเคล้าเสียงครางหวานผสานกับเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นอยู่เกือบสองชั่วยาม คนตัวเล็กที่ถูกคนตัวโตจับกินราวผีหิวโหย นอนเกยแผ่นอกแกร่งด้วยความเหนื่อยอ่อนจนผล็อยหลับไป เฟิ่งเสวียนจีหลุบตามองร่างนุ่มนิ่มบนอก ดวงเนตรคู่คมวูบไหว หญิงสาวบอบบางน่าทะนุถนอมราวตุ๊กตากระเบื้องเช่นนี้ จะใช่นายน้อยเหว่ยซินผู้ทรงอิทธิพลรายนั้นหรือไม่ และหากไม่ใช่… ‘ลูกแมวน้อย เจ้าซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่’ มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเนียนนุ่มของชายาตัวน้อยแผ่วเบา ก่อนประคองนางลงจากอก ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงคว้าเสื้อคลุมมาสวม เดินออกจากห้องไปพบหานเย่ที่รออยู่ด้านนอก หานเย่ไม่รอให้นายเหนือหัวเอ่ยถาม รีบรายงานเรื่องรถม้าของนายน้อยเหว่ยซิน “วิ่งหายเข้าไปในตรอกข้างจวนเหว่ยตี้ แต่พอไปถามพ่อบ้านกลับบอกว่านายน้อยไม่อยู่จวน ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหนอย่างนั้นรึ” นี่นับเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่นายน้อยเหว่ยซินปรากฏตัวในช่วงเวลาเดีย







