/ รักโบราณ / เพียงนางที่ข้าจะรัก / บทที่ 4 โดนแค่นี้ถึงกับหูแดง ตอนปลาย

공유

บทที่ 4 โดนแค่นี้ถึงกับหูแดง ตอนปลาย

last update 최신 업데이트: 2025-10-05 21:58:30

เรือนอู่ถงนับว่ากว้างขวางสะดวกสบาย เครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้ำค่าสมฐานะ สาวใช้ บ่าวชายและองครักษ์ครบตามจำนวนที่ตำแหน่งพระชายาเอกพึงมี

ด้านข้างเรือนทางฝั่งค่อนไปทางทิศใต้ มีสวนดอกไม้ สระบัวและศาลาริมน้ำ มองแล้วร่มรื่นสบายตาน่าพักผ่อน การได้รับความเอาใจใส่เช่นนี้ อยู่เหนือความคาดหมายของมู่ซูซินไปมาก

คราแรกนางคิดว่าเขาจะส่งนางมาอยู่เรือนเล็กๆ ค่อนไปทางทรุดโทรมห่างไกลผู้คนเสียอีก เห็นทีนางต้องประเมินเขาใหม่เสียแล้ว บางทีฉีอ๋องอาจไม่ได้เลวบริสุทธิ์อย่างที่ใครๆ เข้าใจก็เป็นได้

หลังจัดข้าวของเข้าที่ กินมื้อเที่ยงเสร็จ เสร็จมู่ซูซินก็เปลี่ยนมาใส่ชุดทะมัดทะแมงสีแดงเข้ม เดินตรงไปยังคอกม้าอย่างร่าเริง เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายตามสัญญา

ผู้ดูแลม้าทั้งสองคนมารอนางอยู่แล้วตามคำสั่งของนายเหนือหัว พวกเขาความเคารพนางอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงพาเดินดูม้าทั้งสิบสองตัว

ภายในคอกที่ใหญ่ที่สุด อาชาเหงื่อโลหิตคู่หนึ่งถูกเลี้ยงไว้ในนั้น พวกมันรีบรุดมาที่ขอบรั้วอย่างลิงโลด เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายคุ้นเคย ขยับหัวขอให้นางลูบจมูกลูบแผงคอด้วยท่าทางออดอ้อนประหนึ่งเด็กน้อยอ้อนมารดา

พฤติกรรมของม้าทั้งสองตัว สร้างความประหลาดใจให้ผู้ดูแล เป็นเพราะปกติพวกมันมีนิสัยหยิ่งทะนงไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ง่ายๆ แต่เวลานี้กลับแสดงออกว่าดีใจนักหนาเมื่อได้พบพระชายาฉีอ๋อง เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันชอบคนงาม?

พวกเขาจึงบอกกับนางตามความจริง เรื่องที่พวกตนดูม้าทั้งสองตัวนี้มาหลายปี ทว่ายังไม่เคยได้รับการต้อนรับเช่นนี้มาก่อน

มู่ซูซินฟังแล้วระบายยิ้มกว้างจนตาโค้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มปีติ

“จริงหรือ ข้าดีใจที่ม้าของท่านอ๋องชอบข้า แบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย ข้าจะได้ไม่โดนท่านอ๋องตำหนิ คิกๆๆ” เสียงหัวเราะด้วยความสดใสของนาง ลอยเข้าหูร่างสูงที่เพิ่งเดินมาถึง

เฟิ่งเสวียนจีตั้งใจมาแอบดู ว่านางจะดูแลม้าได้จริงเหมือนอย่างที่คุยอวดไว้หรือเปล่า แต่เมื่อได้เห็นอาชาเหงื่อโลหิตที่ปกติหวงตัวหนักหนา กำลังคลอเคลียมู่ซูซินอย่างออดอ้อนจึงอดประหลาดใจไม่ได้

หากจะมองว่าเพราะนางเป็นสตรี อาชาทั้งสองจึงอ่อนโยนด้วยก็คงไม่ใช่ เพราะเขาเคยพาพวกมันออกไปขี่เล่นนอกเมือง โดยชวนฉู่ฟางอิ๋งไปด้วย ทว่าพวกมันไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ ทำท่าจะพยศใส่จนฉู่ฟางอิ๋งหวาดกลัว เขาเลยต้องให้หานเย่กับหานจิ้งพาพวกมันไปวิ่งเล่นแทน

นอกจากเขาและคนดูแลม้า ยังมีอีกหนึ่งคนที่อาชาทั้งสองชอบคลอเคลียด้วย คนผู้นั้นคือ…

นายน้อยแห่งหอเหว่ยตี้!

“น่าสนใจจริงๆ” สุรเสียงทุ้มต่ำรับสั่งขึ้นมาลอยๆ เริ่มสนใจในตัวมู่ซูซินขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ในฉับพลันนั้นความคิดบางอย่างพลันผุดขึ้นในหัว วรกายสูงก้าวเข้ามาในคอกม้า เปล่งเสียงถามคนตัวเล็กในชุดทะมัดทะแมงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ขี่ม้าเป็นรึเปล่า”

สุรเสียงก้องกังวานสะกดทุกคนตรงนั้นให้หันมาตามเสียง ก่อนแสดงความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง

“คารวะท่านอ๋อง”

“ไม่ต้องมากพิธี เปิ่นหวางถามว่าขี่ม้าเป็นรึเปล่า”

มู่ซูซินเงยหน้ามองคนตัวสูงด้วยสีหน้าฉงน ใบหน้าเรียวรูปไข่มีแก้มอิ่มเอิบ ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งจนแทบคั้นน้ำออกมาได้ ดวงตาคู่สวยวามวาวราวลูกกวางน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มแดงเรื่อราวผลอิงเถา* ยิ่งมองยิ่งงดงามจนยากจะละสายตา เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย ชี้นิ้วเรียวเข้าหาตนเอง

“ทรงถามซินเอ๋อร์หรือเพคะ”

เฟิ่งเสวียนจีโดนภาพสาวงามสะกดสายตาอีกครั้ง หัวใจเต้นผิดจังหวะไปคราหนึ่ง ลำคอรู้สึกแห้งผากต้องลอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ก่อนรับสั่งตอบนาง

“ใช่ เปิ่นหวางถามเจ้า ว่าอย่างไร ขี่ม้าเป็นหรือไม่”

“ขะ ขี่เป็นเพคะแต่ไม่เก่ง แค่วิ่งเหยาะๆพอได้ ไม่กล้าให้ม้าวิ่งเร็ว กลัวเพคะ” เสียงหวานตอบกลับมาอ้อมแอ้มท่าทางประหม่าอย่างเป็นธรรมชาติ

สาวใช้สองลี่ก้มหน้างุดยิ่งกว่าเก่า ไม่กล้าเงยขึ้นมาเพราะกลัวโดนจับพิรุธในแววตา ด้วยว่าเจ้านายของพวกนางเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูไม่แพ้บุรุษ ครั้นมาเห็นมู่ซูซินทำตัวอ่อนแอราวตุ๊กตากระเบื้องเยี่ยงนี้เลยไม่ชิน เพราะปกติถึกทนอย่างกับสิงโตหินฮวากั่งฉือ* ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าจวน ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับร้อยนับพันปี!

วรกายสูงใหญ่ก้าวมาใกล้ชายาของตน ยกปลายนิ้วเชยคางมนของมู่ซูซิน เพ่งมองดวงตาคู่งามกลมโตที่กำลังสั่นระริก “ไปขี่ม้าเล่นกับเปิ่นหวางนอกเมือง”

จากนั้นจึงสั่งให้คนดูแลม้าพาอาชาตัวโปรดทั้งสองออกมาใส่อานและบังเหียน เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขายื่นบังเหียนม้าเพศเมียให้นาง “เจ้าขี่เถาฮวาก็แล้วกัน”

มือเรียวรับบังเหียนมาอย่าง งง งง “เอ่อ ท่านอ๋องจะให้ซินเอ๋อร์ขี่ม้าตัวนี้จริงๆหรือเพคะ ไม่กลัวว่าซินเอ๋อร์จะทำให้เถาฮวาเจ็บตัวโดยใช่เหตุหรือเพคะ”

“ถ้าเถาฮวาเป็นอะไรขึ้นมา เปิ่นหวางจะจับเจ้าฝังทั้งเป็น”

ดวงตากลมโตของมู่ซูซินเบิกกว้าง ตกตะลึงในถ้อยคำของเฟิ่งเสวียนจี นี่คงเป็นแผนคิดกำจัดนางแบบแนบเนียนสินะ ไม่มีทางเสียล่ะ

“ถ้าเช่นนั้น ซินเอ๋อร์ขออนุญาตไม่ไปเพคะ ขออยู่กวาดคอกม้าดีกว่า ยังไม่อยากถูกฝังทั้งเป็น”

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งเปิ่นหวาง?” เฟิ่งเสวียนจีกดเสียงต่ำขณะรับสั่งถาม

“มิบังอาจเพคะ แค่ยังไม่อยากถูกฝังทั้งเป็น…ท่านอ๋องปล่อยซินเอ๋อร์ไปเถิดนะเพคะ เดี๋ยวซินเอ๋อร์ลงโทษตัวเองด้วยการไม่กินมื้อเย็นก็ได้” ใบหน้างามสลดหดหู่ รีบเสนอบทลงโทษให้ตัวเอง ดีกว่าให้อีกฝ่ายเป็นคนระบุโทษ

ทว่าการอ้อนวอนของนางกลับไม่เป็นผล คนตัวโตสาวเท้าเขามาใกล้แสยะยิ้มไม่น่าไว้ใจ ก้มช้อนอุ้มร่างนุ่มนิ่มขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ว้าย จะทรงทำสิ่งใดเพคะ” มู่ซูซินร้องเสียงหลงยกแขนคล้องลำคอแกร่งด้วยความตกใจ

*******************

*ผลอิงเถา : ลูกเชอร์รี่

*ฮวากั่วฉือ : หินแกรนิต

이 책을.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • เพียงนางที่ข้าจะรัก   ตอนพิเศษ เมื่อองครักษ์มีรักย่อมต้องทุ่มสุดตัว ~4

    เย่เฟิงคล้ายเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง รีบพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ ผู้ช่วยแม่ครัวจึงคลายมือออก ปล่อยให้ชายหนุ่มเริ่มนวดแป้งด้วยตนเอง ในขณะที่มือก็กำลังนวดแป้ง ในหัวก็จินตนาการไปว่า ตนกำลังนวดต้นขานุ่มๆของลี่เจินไปด้วย และอาจเป็นเพราะตั้งใจมากไปนิดเลยเผลอคิดดังไปหน่อย ”ขาของเจ้าช่างนุ่มนวลเหลือเกินเจินเอ๋อร์“ ”…“ ทั้งแม่ครัวและผู้ช่วยคิ้วกระตุกยิกๆ พ่อหนุ่มองครักษ์กำลังสิ่งใดอยู่กันแน่!!! จากแป้งสีขาวนวลเวลานี้กลายเป็นก้อนแป้งสีชมพูเข้ม เพราะชายหนุ่มใส่ผงกุหลาบหนักมือไปนิด แต่ไม่เป็นไรแม่ครัวบอกกับเขาอย่างนั้น คราวหน้าค่อยลดปริมาณลง ถึงตอนนี้ แป้งพร้อม ไส้พร้อม ในที่สุดก็มาถึงขั้นตอนการห่อก่อนกดใส่พิมพ์ขนม ผู้ช่วยแสดงวิธีนวดแป้งทั้งสองสีให้กลายเป็นก้อนเดียว รวมไปถึงวิธีแผ่แป้งและห่อไส้ ก่อนนำไปกดใส่พิมพ์ขนมบัวหิมะ “น่ากินมากเลยขอรับ” เอ่ยชื่นชมจบก็ลงมือทำเองบ้าง เพียงแต่… “ทำไมมันยากเย็นอย่างนี้เนี่ย! ทำไมข้าห่อแล้วแป้งถึงแตกไส้ทะลัก ไม่เห็นเรียบเนียนเหมือนของท่านป้าเลย” “…” ผู้ช่วยแม่ครัว ข้าควรเวทนาคนหรือสงสารขนมดีเนี่ย “แรกก็เป็นแบบนี้แหละ ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็ชำนาญขึ้

  • เพียงนางที่ข้าจะรัก   ตอนพิเศษ เมื่อองครักษ์มีรักย่อมต้องทุ่มสุดตัว ~3

    ไม่ใช่เพียงแค่หานจิ้งที่เดินหน้าเกี้ยวพานลี่อิ่งอย่างเปิดเผย แม้แต่องครักษ์เงาขั้นหนึ่งอย่างเย่เฟิง ก็ขอฉีอ๋องย้ายตำแหน่งงานมาเป็นองครักษ์ขั้นหนึ่งของพระชายามู่ซูซินแทน เหตุผลหลักคือเขาทำงานให้พระชายาจนคุ้นเคยไปแล้ว ส่วนเหตุผลรองคือหัวใจของเขาเฝ้าติดตามลี่เจินไปแล้วนั่นเอง เรียกกลับมาเท่าไหร่หัวใจเจ้ากรรมก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เย่เฟิงเลยตั้งปณิธานว่า เขาจะไม่ยอมแพ้องครักษ์รุ่นน้องอย่างหานจิ้งเด็ดขาด ชีวิตนี้เขาต้องได้แต่งลี่เจินเป็นภรรยาผูกผม! หากทำไม่ได้ก่อนอายุสามสิบ เย่เฟิงจะไปออกบวชมันให้มันรู้แล้วรู้รอด! ครัวหลักของตำหนักเว่ยจง แม่ครัวฝ่ายขนมหวานมุมปากกระตุกยิกๆ ขณะยืนมององครักษ์ของพระชายากวนแป้งทำขนมบัวหิมะกุหลาบ “เอ่อ ท่านองครักษ์เจ้าคะ กวนแป้งไม่ต้องออกแรงขนาดนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ค่อยๆทำไป ท่านเล่นกวนแรงและเร็วแบบนี้ แป้งมันก็กระเด็นออกจากกระทะหมดสิเจ้าคะ แล้วจะเหลือให้กินไหมเนี่ย! โอย ข้าจะเป็นลม” พูดจบก็ยกยาดมขึ้นมาสูดเข้าปอดดัง ฟื้ด... บรรดาสาวใช้ในโรงครัวยกมือป้องปากหัวเราะคิกคักด้วยความเอ็นดูในตัวเย่เฟิง คาดไม่ถึงว่าองครักษ์หน้าเข้มผู้นี้ จะยอมลงทุนมาเรียน

  • เพียงนางที่ข้าจะรัก   ตอนพิเศษ เมื่อองครักษ์มีรักย่อมต้องทุ่มสุดตัว ~2

    กร๊ากกกก เสียงหลุดขำของหานเย่ลอยมาตามลม องครักษ์หนุ่มนึกภาพยวนยางบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่สหายรักนั่งปักมาทั้งคืน ซึ่งมองอย่างไรก็เหมือนลูกเจี๊ยบหัวโตผิดขนาดสองตัวหันหน้าแยกเขี้ยวใส่กัน หานจิ้งสูดหายใจยาวอยากตามไปบีบคอสหายรักใจแทบขาด แต่พอนึกถึงภาพปักบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเขาก็มิอาจถือโทษที่หานเย่หลุดขำออกมา เหวินกงกงพอมีฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยอยู่บ้าง เดินมาขอดูผ้าเช็ดหน้าผืนดังกล่าว พอได้เห็นสภาพก็ถึงกับหน้ากระตุก ไม่เพียงแค่ลายปักจะอดสู แต่การมีหยดเลือดติดเป็นหย่อมๆนี่มันคืออะไร?! โอย ขันทีอย่างเขาหมดคำจะกล่าว ”เดี๋ยวตอนบ่ายเจ้าไปหาข้าที่เรือน ข้าจะช่วยแนะนำวิธีปักผ้าที่เริ่มจากลายง่ายๆไปก่อน ว่าแต่ลายนี้คือ เอ่อ เจ้าปักลายอะไรรึอาจิ้ง” เขามองไม่ออกจริงๆ “ลายยวนยางขอรับท่านกงกง” หานจิ้งตอบกลับมาเสียงอ่อย “…” เหวินกงกง เวรกรรมที่แท้คือยวนยางหรอกรึ ทีแรกนึกว่าปีศาจลูกเจี๊ยบ เหวินกงกงรู้สึกผิดขึ้นมาจับจิตที่มองลายบนผ้าเช็ดหน้าผิดไปมาก เลยยกมือตบบ่าหานจิ้งเบาๆเป็นการปลอบใจ ‘ข้าขอโทษนะอาจิ้งที่เข้าใจผิด’ หลังกินข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อย หานจิ้งก็ตามไปที่เรือนขอ

  • เพียงนางที่ข้าจะรัก   ตอนพิเศษ เมื่อองครักษ์มีรักย่อมต้องทุ่มสุดตัว ~1

    ตำหนักเว่ยจง หลังผ่านเหตุการณ์สำคัญเรื่องกบฏเยี่ยนอ๋องมาได้ เจ้าของตำหนักก็เลิกปิดกั้นความรู้สึกตัวเองและหันมาสนทนากับคนรอบตัวมากขึ้น กระทั่งเอ่ยปากถามไถ่ความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ในตำหนักด้วยตนเอง ทั้งที่เมื่อก่อนฉีอ๋องไม่เคยสนใจเรื่องบ่าวไพร่ในตำหนักเลยสักนิด ปล่อยให้เหวินกงกงดูแลจัดการธุระในส่วนนี้แทน จนเมื่อพระชายามู่ซูซินถามสามีว่า เขาทราบหรือไม่ว่าบ่าวไพร่ในตำหนักมีกี่คน “…” เฟิ่งเสวียนจี นั่นสินะเขาไม่เคยนับจริงๆด้วย หลายวันต่อมา บ่าวไพร่ของแต่ละเรือนแต่ละฝ่าย ได้ถูกเรียกมาพบเพื่อแนะนำตัวกับฉีอ๋องอย่างเป็นทางการ เจ้าของตำหนักถึงประจักษ์ว่า เขามีบ่าวไพร่ทั้งหมดเกือบร้อยชีวิตทำงานอยู่ในตำหนักเว่ยจง!! ทั้งที่จำนวนคนก็มากขนาดนี้ แต่เหตุไฉนตำหนักของเขาถึงได้ดูวังเวงนัก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นั่นเป็นเพราะเจ้าตัวลืมไปว่า ตำหนักของตนกว้างใหญ่ขนาดไหน อันที่จริงสมควรมีบ่าวไพร่มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะเหวินกงกงรู้ใจนายเหนือหัว เรื่องที่ไม่ชอบให้มีคนวุ่นวายในตำหนักมากจนเกินไป ถึงได้จ้างบ่าวไพร่ในจำนวนเท่าที่จำเป็น ไม่ได้จ้างไว้ประดับบารมีเหมือนเชื้อพระวงศ์ตำหนักอื่นๆ ที่ค

  • เพียงนางที่ข้าจะรัก   ตอนพิเศษ ความฝันบอกเหตุ ตอนปลาย

    เมืองตงเฉิง จวนเจ้าเมือง เรือนไฉอวี้ ค่ำคืนเดียวกันกับที่ฉีอ๋องฝันถึงงูขาวตัวหอม หญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามราวปีศาจจิ้งจอกจำแลง วางตำราสมุนไพรในมือลงก่อนขยับตัวไปดับตะเกียงข้างหัวเตียงเพื่อเข้านอน “ราตรีสวัสดิ์ลี่มี่ ขอให้นอนหลับฝันดีนะ” เสียงหวานบอกแมวสาวตัวอวบในอ้อมกอดจูบเหม่งมันไปหนึ่งที จากนั้นจึงหลับตาลง เมี้ยว… “ฝันดีซินเอ๋อร์ “ ลี่มี่แลบลิ้นเลียแก้มใสของนางทาสไปหนึ่งทีเพื่อเป็นการแสดงความรัก ผ่านไปไม่นานจังหวะหายใจของมู่ซูซินก็สม่ำเสมอ แสดงถึงว่านางเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ลี่มี่ลืมตาโพลงในความมืด ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของหญิงสาว เดินไปนั่งบนกรอบหน้าต่างเงยหน้ามองดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ “หิวจัง อยากกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้คัสตาร์ดไข่เค็ม พรุ่งนี้ขอให้ซินเอ๋อร์ทำให้กินดีกว่า” ในขณะที่ลี่มี่กำลังนึกถึงขนมไหว้พระจันทร์อยู่นั้น มู่ซูซินก็กำลังเข้าสู่ห้วงฝันอันแปลกประหลาด นางกำลังยืนอยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์ขนาดใหญ่ เหมือนที่เคยไปเที่ยวมาเมื่อชาติที่แล้ว บนท้องฟ้าสีครามสดใส ก้อนเมฆสีขาวปุกปุยรูปร่างมองไปแล้วเหมือนหัวใจดวงเล็กๆ ลอยเต็มท้องฟ้า แสงแดดอบอุ่นอาบไล้ผิวขาวเนียนละออของนาง มู่

  • เพียงนางที่ข้าจะรัก   ตอนพิเศษ ความฝันบอกเหตุ ตอนต้น

    แดนเหนือ ค่ายพยัคฆ์อหังการ ในที่สุดการต่อสู้อันยาวนานระหว่างแคว้นต้าเฟิ่ง กับชนเผ่านอกด่านทั้งหมดของแดนเหนือได้สิ้นสุดลง ความเสียหายที่ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญ หนักหนาสาหัสไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทว่าผู้ที่กำชัยชนะในสงครามใหญ่ครั้งนี้คือแคว้นต้าเฟิ่ง ซึ่งมีฉีอ๋อง เฟิ่งเสวียนจีเป็นผู้นำทัพ หลังเสร็จศึกได้ครึ่งเดือน ในขณะที่ฉีอ๋องกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในกระโจมบัญชาการ ของค่ายพยัคฆ์อหังการในคืนพระจันทร์เต็มดวง จู่ๆ บรรยากาศโดยรอบพลันหยุดนิ่ง เฟิ่งเสวียนจีคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชากอย่างแรง จากที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงในยามค่ำคืน บัดนี้ตัวเขายืนอยู่กลางทุ่งสมุนไพรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีครามสะอาดสดใส มีปุยเมฆสีขาวลอยอยู่ประปราย แสงแดดสีทองอบอุ่นโลมไล้ผิวกาย กลิ่นหอมเย็นสดชื่นเฉพาะตัวของสมุนไพร ช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรือนกายสูงหันมองไปรอบๆ สายตาก็ประสบเข้ากับต้นอู๋ถงต้นใหญ่ บริเวณใต้ต้นมีแคร่ไม้ไผ่ตั้งอยู่ ร่างสูงตัดสินใจเดินไปที่นั่นหย่อนตัวลงบนแคร่ ตั้งใจว่าจะนอนเล่นที่นี่สักพักเพื่อซึมซับความรู้สึกอันแสนจะรื่นรมย์นี้ เขาใช้แขนของตนแทนหมอน

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status