ตอนที่ 3 เมื่อต้องมาเจอคู่ปรับ
สองสัปดาห์ต่อมา ในวันนัดอ่านบทซีรีส์เรื่อง ‘ดวงใจพยัคฆ์’ ร่วมกันครั้งแรก ณ ห้องประชุมที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับทีมงานและนักแสดง บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงัดและตึงเครียด ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ประหม่าและรอคอยการมาถึงของซุปตาร์เบอร์หนึ่งของวงการที่ขึ้นชื่อเรื่องความตรงต่อเวลา แต่ในวันนี้เขากลับมาสายเสียอย่างนั้น
คีรินทร์ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเหลือบตามองนาฬิกาบนข้อมือด้วยความหงุดหงิดใจ เขามาถึงตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนเวลา และยังคงก้มหน้าก้มตาทบทวนบทในมืออย่างตั้งใจ ฟีโรโมนกลิ่นกุหลาบของโอเมก้าอย่างเขาที่ปกติจะหอมหวานนุ่มนวล ตอนนี้กลับหงุดหงิดจนแทบจะเป็นกลิ่นส้มที่ถูกบีบอย่างแรง
ไม่นานนัก ประตูห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกช้าๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของอิสราในมาดซุปตาร์ตัวพ่อที่ใครๆ ก็ต้องหวั่นเกรง
เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งตามแบบฉบับ พร้อมกับกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าที่รุนแรงจนทุกคนในห้องต้องหลุบตาลงมองพื้นเพื่อแสดงความเคารพ ออร่าความแข็งแกร่งและอำนาจของอิสราแผ่ซ่านออกมาจนทุกคนในห้องรู้สึกได้ถึงความกดดัน
อิสรากวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างไม่แยแส ก่อนที่สายตาของเขาจะหยุดลงที่คีรินทร์ที่ยังคงนั่งก้มหน้ามองบทละครของตัวเองอยู่ เขายกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ยแล้วเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับคีรินทร์
“ขอโทษที่ให้รอ” อิสราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นไม่ได้มีความรู้สึกขอโทษเจือปนเลยแม้แต่น้อย
ผู้กำกับที่นั่งอยู่หัวโต๊ะรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “ในเมื่อมากันครบแล้ว งั้นเรามาเริ่มอ่านบทกันเลยดีกว่า”
บทสนทนาแรกในบทละครเป็นฉากที่พระเอกและนายเอกต้องโต้เถียงกันอย่างดุเดือด แต่เมื่อทั้งคู่เริ่มอ่านบท กลับกลายเป็นการปะทะคารมที่อยู่นอกบทไปเสียส่วนใหญ่
“คุณได้อ่านบทมาบ้างหรือเปล่า” คีรินทร์อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอิสราแทบจะไม่ได้อ่านบทละครเลย “ทำไมถึงจำบทไม่ได้เลย”
อิสราหันมามองด้วยสายตากึ่งดูถูกแล้วยักไหล่อย่างไม่แยแส “แค่บทละครง่ายๆ แค่นี้ คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องจำหรอก แค่ด้นสดก็กินขาดแล้ว”
คำพูดของอิสราทำให้คีรินทร์ถึงกับหน้าซีดเผือดด้วยความโกรธ เขาเกลียดคำพูดที่ดูถูกคนอื่นแบบนี้ที่สุดในโลก
“คำพูดของคุณมันดูถูกคนอื่นไปหน่อยนะครับคุณอิสรา” คีรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ถ้าคุณไม่ตั้งใจทำงานก็ไม่ควรมาตั้งแต่แรกนะ”
อิสรายิ้มเยาะเย้ย “ฉันพูดความจริงต่างหาก นายเองก็เป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ที่ยังอ่อนหัด ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรในวงการนี้”
“ถึงผมจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นคนที่เอาแต่ทำตัวเป็นเบอร์หนึ่งแล้วดูถูกคนอื่นไปทั่วเหมือนคุณ” คีรินทร์สวนกลับอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนผู้กำกับต้องสั่งให้พักเบรกในทันที “เอาแหละ ตอนนี้พวกเราพักกันสักครู่ก่อนดีกว่า”
เมื่อทุกคนต่างทยอยแยกย้ายกันไปพัก อิสราก็เดินเข้าไปหาคีรินทร์ที่กำลังนั่งทบทวนบทละครอยู่คนเดียว เขามองไปที่บทที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วหัวเราะออกมาอย่างดูถูก
“โอเมก้าหน้าหวานอย่างนาย คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่มีแต่คนอิจฉาหรอก” อิสราพูด “คงไม่เข้าใจหรอกว่าต้องทำยังไงถึงจะเป็นที่หนึ่งในวงการนี้ได้”
คีรินทร์เงยหน้าขึ้นมามองอิสราด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา “อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นอัลฟ่าที่เอาแต่ดูถูกคนอื่นไปทั่วเหมือนคุณ” เขาพูด “และผมก็ไม่คิดที่จะเป็นที่หนึ่งในแบบของคุณด้วย”
ทั้งคู่ต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้ กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าที่แผ่ออกมาจากตัวของอิสราเริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นกลิ่นที่ท้าทายและทำให้คีรินทร์รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
“แล้วเราจะได้เห็นดีกันแน่” อิสราพึมพำกับตัวเองแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
อิสรามองตามแผ่นหลังบอบบางของคีรินทร์ที่เดินออกไปจากห้องประชุมด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขายังไม่เคยเจอโอเมก้าคนไหนที่กล้าต่อปากต่อคำกับเขาได้ถึงขนาดนี้มาก่อน และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทาย
“หึ…น่าสนใจ” อิสราพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเรียบนิ่งกลับปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโอเมก้าที่ดูอ่อนแอคนนี้จะมีความกล้าหาญมากขนาดนี้
ในอีกฟากหนึ่ง คีรินทร์เดินออกมาจากห้องด้วยหัวใจที่เต้นรัวด้วยความโมโห เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพระเจ้าถึงต้องส่งอัลฟ่าที่นิสัยแย่ที่สุดในวงการมาให้เขาเจอตลอดเวลา เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อต้องอยู่ใกล้กับอิสรา อัลฟ่าที่เต็มไปด้วยออร่าความแข็งแกร่งและอำนาจที่ทำให้เขาตัวสั่น
“คีรินทร์เป็นอะไรไป” เอกผู้จัดการส่วนตัวของคีรินทร์เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” คีรินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “แค่รู้สึกไม่ชอบหน้าคนบางคน”
“ฉันเตือนแล้วนะคีรินทร์” เอกพูดเตือน “ถ้าจะร่วมงานกับคุณอิสราต้องรู้จักอดทน เขาน่ะเป็นคนแบบนี้แหละ”
“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบอัลฟ่า และคนอย่างเขายิ่งแล้วใหญ่” คีรินทร์พูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกเขากินเข้าไปทั้งตัวเลยนะครับ”
คำพูดของคีรินทร์ทำให้เอกถึงกับอึ้งไป “แต่เราต้องร่วมงานกันนะ อย่าให้เรื่องส่วนตัวมามีผลกระทบกับงานเลย” เอกพูดอย่างจริงจัง “งานนี้สำคัญกับอนาคตของนายมากนะ”
คีรินทร์เงียบไปพักใหญ่ เขาไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี เขารู้ว่าสิ่งที่เอกพูดนั้นถูกต้องแล้ว แต่ความรู้สึกของเขามันก็ยากที่จะควบคุมได้จริงๆ เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกไม่ชอบอัลฟ่าในตัวเองตลอดเวลา และอิสราก็เป็นคนที่ทำให้ความรู้สึกนั้นมันปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
ในขณะเดียวกัน ฐานวิน ผู้จัดการส่วนตัวของอิสราก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “คุณอิส ผมว่าคุณควรจะลดทิฐิลงบ้างนะ” ฐานวินพูด “คุณกับคุณคีรินทร์ดูไม่ถูกกันเอาเสียเลย”
อิสราหัวเราะในลำคอ “ทำไมล่ะ การเป็นศัตรูในจอและนอกจอไม่ดีตรงไหน” อิสราถาม “มันจะทำให้การแสดงของเราดูสมจริงมากขึ้นไม่ใช่เหรอ”
“แต่ถ้าข่าวนี้หลุดออกไป...” ฐานวินพูด “มันจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณได้นะ”
“ไม่หรอก” อิสราตอบ “ข่าวลือมันก็เป็นแค่น้ำผึ้งสำหรับพวกสื่อ ไม่นานก็คงหายไปเอง”
คำพูดของอิสราทำให้ฐานวินถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ผมแค่อยากให้คุณระวังตัวไว้บ้าง” ฐานวินพูด “คุณคีรินทร์ดูเหมือนเป็นคนไม่ยอมคนทีเดียว”
คำพูดของฐานวินทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของอิสรากว้างขึ้น “นั่นแหละ...ที่ฉันชอบ” อิสราพึมพำ “ฉันเบื่อมานานแล้วกับโอเมก้าที่เอาแต่ทำตัวอ่อนแอและน่าทะนุถนอม ฉันอยากได้คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับฉันบ้าง”
บทที่ 42 คำขอ หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝันที่แสนหวาน ความรักของอิสราและคีรินทร์ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ วัน พวกเขายังคงเป็นคู่รักที่ถูกจับตามองมากที่สุดในวงการบันเทิง อิสราได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขารักคีรินทร์อย่างจริงใจและพร้อมที่จะปกป้องคีรินทร์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต คีรินทร์เองก็เรียนรู้ที่จะเชื่อใจอิสราอย่างไม่มีเงื่อนไขและเขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในชีวิต ในวันครบรอบหนึ่งปีที่คบกัน อิสราพาคีรินทร์ไปที่วิลล่าส่วนตัวที่ภูเก็ต วิลล่าแห่งนี้เป็นที่ที่พวกเขามีความทรงจำดีๆ ร่วมกันมากมาย และอิสราก็ตั้งใจที่จะทำให้วันครบรอบหนึ่งปีนี้เป็นวันที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของคีรินทร์ ทันทีที่พวกเขามาถึง วิลล่าก็เต็มไปด้วยแสงไฟอุ่นจากโคมไฟที่อิสราจัดเตรียมไว้ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่โชยมากับลม คีรินทร์ก้าวลงจากรถแล้วสูดหายใจลึก สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ “สวยเหมือนเดิมเลย” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ อิสราเดินเข้ามาข้าง ๆ ก่อนจะสอดมือเข้ากับมือของคีรินทร์ “แต่ฉันว่าครั้งนี้สวยกว่าเดิม…เพราะฉันได้
บทที่ 41 เยียวยา ภายในห้องพักโรงแรมหรู แสงไฟสลัวอบอุ่นสาดกระทบผ้าม่านสีครีมที่ปลิวไหวเบาๆ จากลมแอร์ ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วห้อง ต่างจากเสียงอึกทึกที่เพิ่งผ่านมา คีรินทร์นั่งอยู่บนโซฟา แผ่นหลังยังสั่นไหวเล็กน้อยจากความกดดันที่ต้องเผชิญมา เขาก้มหน้าลงหลบสายตา ราวกับไม่อยากให้อิสราเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด แต่ในช่วงเวลานั้น อิสรากลับคุกเข่าลงตรงหน้าของคีรินทร์ มือหนาของเขาเอื้อมไปประคองแก้มคนรักอย่างแผ่วเบาและปลอบโยน “นายไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้…ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” อิสราพูดเสียงนุ่ม ดวงตาทอประกายอบอุ่น คีรินทร์เงยหน้าขึ้น แววตาสั่นระริกก่อนจะไหลทะลักออกมาเป็นน้ำตา “แต่ผม…ผมกลัวเหลือเกิน ผมกลัวว่าจะทำให้คุณต้องผิดหวังและเจ็บปวดอีก” อิสราส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะกดริมฝีปากจูบลงที่หยดน้ำตานั้นทีละหยาด “ไม่มีทาง…ต่อให้ทั้งโลกหันหลังให้นาย ฉันก็จะไม่ไปไหน” คำพูดนั้นเหมือนทำลายกำแพงในใจของคีรินทร์ เขาพุ่งเข้ากอดอิสราแน่น แขนทั้งสองโอบรัดเหมือนกลัวว่าถ้าปล่อยมืออีกฝ่ายจะหายไป ความอบอุ่นจากอกที่แนบชิดทำให้หัวใจของ
บทที่ 40 เจ็บปวด เสียงดนตรีค่อยๆ แผ่วลง แขกที่มาร่วมงานต่างมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงและไม่เชื่อสายตาตัวเอง กลางเวที คีรินทร์ยืนนิ่งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น สายตาของเขาสั่นไหว เขามองทิวาที่ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหา สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด ทิวายังคงพร่ำเพ้อออกมา เขาพยายามเดินเข้าไปหาคีรินทร์อีกครั้ง แต่คีรินทร์กลับเดินถอยหลังห่างเขาไปอีกหลายก้าว สายตาที่เคยมองอย่างไว้ใจ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและผิดหวังในตัวเขาอย่างมาก ทิวาไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เขาแค่ต้องการเข้าไปปกป้องคีรินทร์ในยามที่ชายหนุ่มถูกทำร้าย และเขาก็ต้องการเป็นคนแรกที่ปลอบประโลมและดูแลคีรินทร์ “คีรินทร์…” เสียงของทิวาแหบพร่า เขายกมือสั่นเทาออกไปข้างหน้าเหมือนอยากคว้าตัวคนตรงหน้าไว้ “นายรังเกียจฉันเหรอ… ฉันทำไปทั้งหมดก็เพราะฉันรักนายนะ” คำสารภาพของทิวาทำให้ทุกคนในงานต่างพากันนิ่งอึ้งไปกันหมด โดยเฉพาะคีรินทร์ที่เวลานี้เขานั้นช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนไม่อาจคิดอะไรได้อีก คีรินทร์ก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ ราวก
บทที่ 39 เปิดเผย คีรินทร์นิ่งอึ้งไปกับคำสารภาพรักของทิวา เขาจ้องมองทิวาอย่างแทบไม่เชื่อสายตา คีรินทร์ได้แต่คิดไปว่าทิวากำลังสับสนเมื่อเห็นตนเองในสภาพเช่นเมื่อวานนี้ “ทิวา...ฉันว่านายคงกำลังสับสนอยู่นะ” “คีรินทร์...ฉัน...” ทิวาพยายามอธิบาย เขาก้าวเท้าไปหาคีรินทร์อีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งถอยหลังห่างจากเขาไปอีกครั้ง ทิวาได้แต่หยุดชะงักลงไปอีกครั้ง พร้อมทอดมองคีรินทร์อย่างรู้สึกผิดหวังรุนแรง “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ” คีรินทร์ตัดบท ก่อนจะเดินออกจากบ้านทิวาไปในทันที “คีรินทร์...” ทิวาพยายามตะโกนเรียกอีกครั้ง แต่คีรินทร์กลับก้าวเท้าออกไป โดยไม่หันหลังกลับมามองเขาแม้แต่น้อย ทิวาได้แต่กำหมัดแน่นอย่างรู้สึกเจ็บปวด เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคีรินทร์ถึงไม่ยอมเปิดใจให้เขา ชายหนุ่มได้แต่นึกโทษอิสรา ต้องเป็นเพราะเขาแน่ที่ทำให้คีรินทร์ถอยห่างเขาไปแบบนี้ ทิวาทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่ยังมีกลิ่นไอของคีรินทร์ติดอยู่ เขาซุกหน้าสูดดมความหอมหวานนั้นอย่างหลงใหล “คีรินทร์ นายบีบให้ฉันต้องทำแบบนี้เองนะ” ทิวาได้แค่เพ้อออกมา ดวงตาแ
บทที่ 38 มือที่สาม คีรินทร์ตัดสายของทิวาไปอย่างเงียบๆ เขาตั้งใจจะเข้านอนแต่วันเพราะร่างกายและจิตใจรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น คีรินทร์ตรงไปเปิดประตู และเขาก็เห็นอิสราที่มีสีหน้าอิดโรยยืนรอเขาอยู่ “คุณอิส ทำไมคุณยังไม่นอนอีก” คีรินทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหินห่าง “นายคุยกับใครอยู่” อิสราถามออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนเช่นกัน “คุณอิส คุณจะหาเรื่องอะไรอีก วันนี้ผมเหนื่อยมากแล้ว คุณกลับไปนอนเถอะ” คีรินทร์ตัดบท พร้อมใบหน้าที่ดูบึ้งตึง อิสรากำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิด เขาเดินตรงไปยังเตียงนอน พร้อมหยิบมือถือของคีรินทร์ขึ้นมาตรวจดู คีรินทร์ไม่พอใจกับท่าทีของอิสรา เขาจึงเดินไปแย่งมือถือออกจากมือของอิสรา “คุณอิส คุณจะทำอะไร” “แล้วนายคุยกับใครอยู่ล่ะ” อิสราตะคอกออกมาอย่างหัวเสีย “ผมคุยกับเพื่อน” คีรินทร์ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ อิสรากัดฟันแน่น เขาคว้าตัวคีรินทร์มารัดไว้ พร้อมแย่งมือถือกลับมาอีกครั้ง และเมื่อเขาเห็นเบอร์โทรของทิวา อารมณ์ของเขาก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที “ทำไม
บทที่ 37 รอยร้าว คืนเดียวกันนั้น ทิวาได้รับข้อความจากคีรินทร์ที่ส่งมาสั้นๆ “ฉันไม่รู้จะเชื่ออะไรดีแล้ว” ทิวามองข้อความนั้นด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยชัยชนะค่อยๆ คลี่ออก เขารู้ดีว่ารอยร้าวกำลังเกิดขึ้นระหว่างคีรินทร์กับอิสรา และมันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแผนการซับซ้อนที่เขาวางเอาไว้เท่านั้น เสียงฝนโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ยามค่ำคืนในเมืองใหญ่เต็มไปด้วยความชื้นแฉะและความวุ่นวาย แต่ภายในคอนโดหรูของทิวากลับเงียบสงัดราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟตั้งพื้นส่องกระทบโซฟาหนัง ทำให้เงาของทิวาที่นั่งพิงอยู่ทอดยาวบนพื้นห้อง เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น ทิวารีบเดินไปเปิดในทันที รอยยิ้มกว้างผุดออกมาด้วยความดีใจเมื่อคนตรงหน้าคือคนที่เขารอคอยอยู่ ‘คีรินทร์’ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังขึ้น ตามด้วยร่างของคีรินทร์ที่ก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมบนออกเล็กน้อย ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยร่องรอยความเหนื่อยล้าและหงุดหงิด “เกิดอะไรขึ้น” ทิวาลุกขึ้นต้อนรับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยที่แสร้งให้ดูจริงใจ เขา