“มึงชอบคนแบบไหนวะ” ผมเอาแต่ยิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามของมันแล้วเดินหนีออกมาจากรถเสียดื้อ ๆ มันเองก็ตามลงมาก่อนจะเดินเข้ามาเพื่อเดินเคียงไปกับผม
“มึงถามกูทำไมวะ” ผมตัดสินใจหันไปเอ่ยถามไหน ๆ ก็เดินรั้งท้ายกันอยู่แค่สองคนแล้วปล่อยให้คิณ มิล และธิดาเดินนำหน้าไปก่อน
“กูเห็นมึงไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลยกูเลยอยากรู้ว่ามึงชอบคนแบบไหน หรือว่ามึงไม่ได้ชอบผู้หญิง” ผมเกือบจะหยุดฝีเท้าลงแต่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินต่อไป
“กูแค่ยังไม่เจอคนที่ชอบอะ กูเลยไม่รู้ว่ากูชอบคนแบบไหน”
“งั้นแปลว่ามึงก็ชอบได้ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายเลยดิ” ผมช้อนสายตาขึ้นไปมองมันก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าเหมือนเดิม
“คงงั้นมั้ง”
พวกเราเดินมานั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้านก่อนจะเริ่มสั่งอาหารมากินกันอย่างเอร็ดอร่อย ธิดามักจะเป็นคนเปิดหัวข้อสนทนาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะไม่เงียบเหงามีเรื่องให้คุยได้ตลอดเวลา
“ต้น ทำไมถึงมาเรียนสายนี้อะ” ธิดาเอ่ยถามผมพลางใช้ส้อมจิ้มกุ้งเข้าปากด้วยสีหน้าที่มีความสุขสุด ๆ
“ชอบเรื่องไอทีอะ”
“ในที่สุดก็เจอเพื่อนที่ชอบด้านนี้จริง ๆ สักที ไม่ใช่ลูกหลานนักธุรกิจอย่างพวกมึง” ธิดาว่าก่อนจะกวาดสายตามองเพื่อนสามคนที่เหลือ ผมมองตามด้วยความใคร่รู้
“ที่บ้านพวกมึงทำธุรกิจกันเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยความสนใจ นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมให้ความสนใจเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อขนาดนี้จนทุกคนต้องหันกลับมาเข้าโหมดจริงจังกันอย่างพิลึก
“ที่บ้านไอ้คิณทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ส่วนไอ้มิลที่บ้านทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วก็ไอ้กรอะ อันนี้เด็ดสุด มันเป็นทายาทของเจ้าของแบรนด์โทรศัพท์เลยนะเว้ย” ธิดาว่าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจพลางตบไหล่ของเพื่อนชายดังแปะ ๆ
“มึงก็พูดเวอร์ไป” กรว่าด้วยสีหน้าเคอะเขิน ในขณะที่ผมมองด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่ผมอยู่ท่ามกลางกลุ่มอะไรกันเนี่ยทำไมถึงได้ดูมีภูมิฐานกันทุกคนยกเว้นนิสัยกันนะ
“แล้วมึงอะ กูเดาว่าครอบครัวต้องมีใครเป็นหมอแน่ ๆ รังสีมันออกอะ” มิลว่าด้วยน้ำเสียงวิเคราะห์อย่างจริงจัง
“พ่อกูเป็นหมอ แม่กูเป็นพยาบาล” ทั้งสี่คนต่างตกตะลึงจนเผลอเบิกตัวตากว้าง หนักสุดก็ธิดาที่เผลออ้าปากค้างก่อนจะเปลี่ยนมาคลี่ยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น
“เชี่ย โคตรเท่เลยว่ะแค่เห็นภาพมึงใส่ชุดกาวน์อย่างเท่เลย พ่อมึงจะหล่อขนาดไหนวะ”
“นั่นพ่อเพื่อน” คิณใช้มือยันหน้าผากของเพื่อนสาวให้กลับมาตั้งสติจนโดนธิดามองค้อนไปหนึ่งทีผมเลยนึกขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“กูเหมือนหมอขนาดนั้นเลยเหรอ” กรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันผมใช้ข้อศอกค้ำกับโต๊ะแล้ววางเรียวคางลงบนฝ่ามือขาว สายตาหันมาจับจ้องทางผมด้วยสายตาที่ชวนวูบวาบในอกชอบกล
“เหมือนดิ มึงเรียบร้อย พูดน้อย สุขุมขนาดนี้ โดยเฉพาะไอ้นี่อะ” นิ้วยาวงอนิ้วเข้ามาเกลี่ยที่กรอบแว่นของผมที่พาดผ่านสันจมูกจนเผลอโดนบนผิวอุ่นชวนให้หัวใจของผมมันเต้นแรงพิลึก ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งทานอาหารกันจนเสร็จเรียบร้อย กรขับรถพาเพื่อน ๆ มาส่งที่ลานจอดรถคณะก่อนที่พวกมันจะลงกันไปหมด ผมก็ทำท่าเหมือนจะลงแต่กับถูกธิดาสั่งเอาไว้
“ไอ้ต้นหยุด ให้ไอ้กรไปส่งนั่นแหละป่านนี้รถโดยสารหมดแล้วมั้ง” ธิดาว่าก่อนจะหันไปกำชับกรที่เป็นคนขับรถ “ฝากส่งมันด้วยล่ะ”
“เออกูจะส่งให้ถึงบ้านเลย” ธิดาพยักหน้ารับก่อนจะปิดประตูลงโดยที่ไม่ได้ถามถึงความต้องการของผมสักคำ
“กูกลับเองก็ได้นะ” ผมหันไปมองกรที่หันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง
“ทำไมอะ กูรับปากธิดาไปแล้วว่าจะไปส่งมึง อีกอย่างแค่ไปส่งเพื่อนคนเดียวไม่ได้ลำบากอะไรหรอก” กรว่าก่อนจะเริ่มขับรถยนต์คันหรูออกไปตามท้องถนน ผมเลยคอยบอกทางตลอดก่อนที่รถยนต์จะมาจอดเทียบอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง กรมองเข้าไปในรั้วบ้านผมราวกับมีเรื่องสงสัยจนผมต้องเปิดปากก่อน
“ทำไม บ้านกูไม่หรูเท่าบ้านมึงเหรอ” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มมุมปากอย่างไม่ได้คิดอะไร พอเห็นมันขมวดคิ้วด้วยความอยากรู้แล้วผมก็อดเอ่ยหยอกไม่ได้
“เปล่าแต่ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอวะบ้านปิดไฟเงียบเชียว” มันหันมามองผมก่อนจะเอ่ยถาม
“พ่อแม่กูเข้าเวรดึก กูอยู่คนเดียวเป็นประจำแหละชินแล้ว” ผมว่าก่อนจะปลดสายเข็มขัดออกเพื่อเตรียมจะลงจากรถ
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้กูอยู่เป็นเพื่อน”
“กูก็บอกอยู่ว่าอยู่คนเดียวจนชินแล้ว” ผมหันไปกำชับคำที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อครู่แต่เหมือนอีกฝ่ายจะตีมึนแล้วดับเครื่องยนต์รถทำท่าจะเดินลงไปตามผม ผมเดินลงมาจากรถเพื่อที่จะไขกุญแจเข้าบ้านในขณะเดียวกันที่มันก็มายืนขนาบข้างพลางเคาะเท้าเบา ๆ คล้ายกดดันกันอย่างไรก็ไม่รู้
“วันนี้อากูก็กลับดึกเหมือนกัน กูไม่อยากกลับไปอยู่บ้านคนเดียวอยู่กับมึงดีกว่า” พอไขกุญแจได้แล้วผมก็เลื่อนรั้วบ้านให้เปิดออกพอ ๆ ที่คนจะเดินเข้าไปได้
“ดึกมากไหม” ผมเอ่ยถามสั้น ๆ มันพยักหน้ารับ
“อากูน่าจะกลับเช้าของพรุ่งนี้อะ แต่พอพ่อแม่มึงมากูก็ไม่กวนหรอกเดี๋ยวก็กลับแล้ว” ผมหันไปมองรถยนต์ที่จอดอยู่ที่รั้วหน้าบ้านเลยตัดสินใจเอ่ยออกไป
“พ่อกับแม่กูก็กลับพรุ่งนี้เช้าอะ มึงเอารถเข้ามาจอดในบ้านดีกว่าเดี๋ยวโดนรถในซอยเฉี่ยวเอา” พอพูดจบผมเลยเปิดประตูกว้างจนสุดเพื่อให้กรเอารถเข้ามาจอดในลานจอดรถภายในตัวบ้าน รถมันยิ่งแพง ๆ อยู่ถ้าปล่อยให้โดนรถคันอื่นเฉี่ยวไปจนถลอกผมกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เอาเปล่า ๆ
หลังจากที่จัดการรถเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินขึ้นห้องโดยที่มีร่างสองเดินตามติดเป็นเงา ผมเข้าไปอาบน้ำมันก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ พอมันอาบน้ำก็ยังให้ผมไปยืนเฝ้าอีก มันคิดว่ามันเป็นเด็กสิบขวบที่กลัวผีหลอกตอนสระผมอยู่หรือไงกัน
“กูใส่เสื้อมึงได้พอดีเลย” ไอ้กรเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเสื้อยืดของผมที่ใส่ได้พอดิบพอดีตัวมัน ปกติผมจะชอบใส่เสื้อที่ตัวใหญ่กว่าตัวเพราะมันใส่สบายและคล่องตัวกว่าพอเห็นว่ามันใส่ได้พอดีก็หันกลับมามองร่างกายของตัวเองแล้วเปรียบเทียบกับตัวของมัน
มันเอาเวลาไหนไปบออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อทะลุเสื้อออกมาแบบนั้นอะ เสื้อที่มันว่าพอดีแนบหน้าอกของมันทำให้เห็นกล้ามอกชัดแถมแขนเสื้อยังรัดกล้ามเป็นมัด ๆ ที่แขนมันอีก มันก็ไม่ได้ตัวหนาขนาดที่มองออกว่าเล่นกล้าม แต่ก็ดูดีฉบับของคนที่ดูแลร่างกายตัวเองเป็นประจำ ผมละอิจฉาจนต้องถอนหายใจเพราะผมไม่ชอบออกนอกบ้าน วัน ๆ เลยอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องเสียมากกว่า จนผิวของผมแทบจะขาวซีดเพราะไม่ค่อยออกไปต้องกับแสงตะวันสักเท่าไร
“มองกล้ามกูทำไมอิจฉาอะดิ” มันว่าพลางยกยิ้มอย่างอวดดีผมเลยละสายตาออกจากมันแล้วเดินไปที่เตียงนอนก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งพิงกับหัวเตียงมือเอื้อมไปหยิบหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้ก่อนจะเปิดมันออกมากวาดสายตาอ่านต่อ
ผมสัมผัสได้ถึงเตียงที่ยวบลงเลยคิดว่ากรคงจะขึ้นมานั่งบนเตียงแต่เปล่าเลยมันคลานเข้ามาหาผมต่างหากแถมยังชะโงกหน้าเข้ามาอ่านหนังสือที่อยู่ในมือผมจนผมเห็นแต่หัวโต ๆ ของมันเนี่ยแหละ
“มึงทำไรวะ” มันเงยหน้าขึ้นมามองผม ในจังหวะหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองหยุดหายใจไปเมื่อได้สบตากับดวงตาคู่นี้ใกล้ ๆ อีกครั้ง
“มึงอ่านหนังสือเรื่องอะไรวะ อยากรู้ด้วยอะ” กลิ่นยาสีฟันกลิ่นเดียวกับที่ผมใช้ลอยออกมาจากปากที่กำลังเปล่งเสียง พูดออกมา หน้าของมันห่างกับผมเพียงแค่ลมหายใจเดียว
“อะ เอาไป” ผมรีบยัดหนังสือใส่อกมันจนมันต้องถอยกลับไปนั่งห่างจากผมเปิดโอกาสให้ผมได้หายใจหายคออย่างโล่งอกหน่อย ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมององศาบนเครื่องปรับอากาศ
ก็ตั้งยี่สิบหกองศาแต่ทำไมผมได้รู้สึกเหมือนตัวเองร้อนมากจนเหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นมาที่ข้างขมับกันนะ“จักรวาลกับโลก มันคืออะไรวะน่าสนใจดีว่ะ” จักรวาลกับโลก ชื่อหนังสือที่ผมกำลังอ่านอยู่ว่าด้วยความสัมพันธ์จักรวาลผืนใหญ่กว้างใหญ่ที่มีโลกเป็นเพียงดาวดวงเล็ก ๆ ก็เหมือนผมที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ไม่ได้วิเศษอะไร แถมยังเหมือนกลุ่มฝุ่นของระบบจักรวาล
“มึงก็ลองอ่านดูดิ กูให้ยืม”
“จริงเหรอ กูไม่เคยอ่านหนังสือจบเล่มเลยเดี๋ยวเล่มนี้กูต้องอ่านให้จบหน่อยแล้ว” มันว่าก่อนจะโน้มตัวลงไปนอนบนหมอนที่อยู่ข้าง ๆ ผม มือขาวเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่านตั้งแต่หน้าแรกอย่างตั้งอกตั้งใจ ทิ้งให้ผมนั่งเคว้งอยู่ท่าเดิมกับความรู้สึกที่อธิบายไม่ค่อยจะถูกนัก
พอสติที่เลือนรางเริ่มฟื้นคืนกลับมาผมก็หยิบโทรศัพท์
ขึ้นมาแล้วกดเข้าเว็บไซต์ของผู้รู้ที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลของทั่วทั้งโลกจะต้องมีคำตอบให้ผมแน่นอน ผมกดช่องค้นหาแล้วใส่สิ่งที่ผมรู้สึกลงไปยังไงบ้างนะ ใจเต้นแรงเวลา ๆ ที่มันเอาตัวมาใกล้ ๆ รู้สึกเหมือนโลกมันหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง
ตาของมันสวยมาก ๆ สวยกว่าใครที่ผมเคยเห็นเลย หรือว่าเพราะก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสบตากับใครตรง ๆ แบบนี้มาก่อนนะ
พอกดค้นหาไปเท่านั้นแหละ หัวใจของผมที่เต้นสงบลงแล้วกลับมาเต้นระรัวยิ่งกว่าเก่า ไม่ว่าผมจะเข้าหรือออกจากกี่เว็บมันก็บอกไปในทางทิศทางเดียวกันว่าอาการที่ผมกำลังประสบพบเจออยู่มันเรียกว่า จังหวะตกหลุมรัก
มันไม่เท่ากับว่าตอนนี้ผมแอบชอบเพื่อนตัวเองอยู่หรอกเหรอ
ผมรีบหันหน้าขวับมามองกรที่นอนอยู่ข้างกายก็ค่อยโล่งใจหน่อยเมื่อเห็นว่ามันนอบหลับปุ๋ยไปแล้วแถมยังเอาหนังสือมาแนบบนหน้าอกของตัวเองอีก
ที่บอกว่าไม่เคยอ่านจบเลยสักเล่มเพราะเวลาอ่านแล้วเป็นอย่างนี้ตลอดเลยสินะ
“เป็นไงบ้าง” ไอ้กรเดินเข้ามาถามผมหลังจากที่ผมเดินออกมาจากบริษัทหนึ่งหลังจากที่เขานัดมาสัมภาษณ์งานในตำแหน่งผู้จัดการ ผมช้อนสายตามองมันก่อนจะถอนลมหายใจออกมายังไม่ทันได้พูดอะไรไอ้กรก็พูดแทรกขึ้นก่อน “ถ้าเขาไม่รับหรือพูดจาไม่ดีมึงก็ไม่ต้องทนนะคนอย่างมึงไม่จำเป็นต้องของานใครทำด้วยซ้ำขอเงินกูก็พอแต่ถ้าอยากทำงานมาทำงานกับกูก็ได้” “กร ใจเย็น” ผมรีบยกมือห้าม “กูอยากทำงานที่บริษัทนี้มากมึงก็รู้” ผมบอกกรหลายครั้งแล้วว่าผมอยากทำงานที่นี่เพราะเป็นเกี่ยวกับบริษัทวิจัยเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งผมก็สนใจเอามาก ๆ เพราะถือว่าเป็นงานที่มีน้อยมากและเป็นรายใหญ่ในประเทศ หลังจากที่เรียนจบมาผมเลยรีบร่อนใบสมัครมาในทันที “กูรู้ แต่ถ้าเขาไม่อยากร่วมงานกับเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องร่วมงานกับเขา” “แล้วใครเขาไม่อยากร่วมงานกับกู” ผมเลิกคิ้วมองแฟนหนุ่มที่แสดงสีหน้ากังวลออกมา กรขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย “สรุปคือมึงได้งาน” “เออดิ” “...” มันอึ้งจนแทบพูดไม่ออกไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากอ้าปากค้าง “ไม่ดีใจกับกูหน่อยเ
“ขับรถเล่น ค่ำไหนนอนนั่นสามวันสองคืน” มิลทวนประโยคหลังจากที่ธิดามาเล่าไอเดียบรรเจิดให้พวกเราฟังว่าอยากให้พวกเราพากันขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ เที่ยวแถวชายหาด นอนดูดาวหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน “ต้อนรับต้นกลับมาไง พวกมึงไม่ดีใจกันเหรอ” ธิดาว่า “ไปกันแค่พวกเราห้าคนไง” “มึงแน่ใจนะว่าแฟนมึงจะไม่ว่า” ผมเอ่ยถามเพราะต่อให้พี่คุณแฟนธิดาจะสนิทกับพวกเรามากก็จริงแต่การที่แฟนจะไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายทั้งกลุ่มไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือเปล่า” “สามีจ้ะ แต่งแล้วเรียกสามีได้เนอะ” เพื่อนสาวชูโชว์นิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนเพชรสะท้อนแสงเข้าตาจนต้องหรี่ตามอง “พี่คุณไม่ว่าอะไรหรอกมีกูไปด้วยแถมให้เงินค่าเปิดโรงแรมมาอีก” คิณอธิบาย “ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ ต้นไปอยู่ต่างประเทศนานให้มาเที่ยวเมืองไทยบ้างก็ดีเหมือน กันมึงว่าปะ” กรหันมาถามความคิดเห็นจากผม ซึ่งถ้าจะให้ผมตอบผมก็คงจะยินดีที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ แต่ว่าช่วงนี้ผมค่อนข้างจะสับสนกับเวลาหลังจากที่ไปอยู่คนละไทม์โซนมาทำเอาผมสามารถหลับได้ทุกที่เลย “กูเจ็ตแล็กว่ะกลัวไปเที่ยวไม่สนุกจะ
หนึ่งปีต่อมา และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่ผมจะได้กลับไทยสักทีถึงแม้จะกลับไปชั่วคราวเพราะงานรับปริญญาแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กลับเลยล่ะวะ ไอ้กรมันบ่นทุกวันว่าพยายามจะเคลียร์ตารางงานมาหาผมให้ได้แต่มันก็ยุ่งเสียเหลือเกิน การจะลามาต่างประเทศแค่สองสามวันมันไม่พอจริง ๆ ผมเลยบอกมันว่าไม่เป็นไรยิ่งมันได้ขึ้นมาเป็นรองประธานคณะกรรมการฝ่ายบริหารด้วยแล้วยิ่งปลีกตัวไม่ได้เข้าไปใหญ่ บทบาทหน้าที่สูงขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา หลังจากที่ผมนั่งเครื่องมาเกือบครึ่งวันในที่สุดผมก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเสียที ผมก้าวเดินออกมาตามทางเดินด้วยหัวใจที่ฟูฟ่องเตรียมที่จะได้พบหน้ากับคนรัก กรมันบอกว่ามันจะเป็นคนมารับผมเอง ผมเลยตั้งหน้าตั้งตารอเป็นพิเศษ “กร” ผมเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ จากด้านหลัง เจ้าของชื่อค่อย ๆ หันมาช้า ๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อสบตาเข้ากับผม “ต้นคิด” มันเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้อย่างแนบแน่นแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอยากกอดมันแน่นยิ่งกว่านี้เสียอีก “กูคิดถึงมึงมากเลย” มั
แค่ถูกมันสัมผัสผมก็อารมณ์กระฉูดจนเกินจะต้านแล้ว “มองค้างขนาดนี้ อิจฉากูหรืออยากได้กู” ผมช้อนสายตาขึ้นไปมองมันด้วยดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยม่านน้ำตา ไม่รู้ว่ามันดูเย้ายวนหรือเปล่าแต่ความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมเหมือนผู้ชนะที่ได้มันมาครองเลยแฮะ “มึงมากกว่ามั้งที่อยากได้กู” ผมถอดเสื้อของตัวเองออกก่อนจะโยนไปกองไว้ข้าง ๆ โซฟาจากนั้นก็รั้งท้ายทอยของมันให้ลงมาจูบกับผมอีกครั้ง รสจูบในครั้งงนี้ร้อนแรงราวกับลาดน้ำมันลงบนกองเพลิงที่โหมกระหน่ำจนไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้ ไอ้กรไม่รอช้าอีกต่อไปมันลูบไล้ตามลำตัวของผมอย่างหลงใหล บีบหน้าอกบ้าง บีบสะโพกบ้าง แล้วก็ใช้นิ้วเขี่ยเม็ดบัวจนผมเผลอกระตุกแล้วปล่อยเสียงครางออกมา “คืนนี้กูจะกินมึงทั้งคืนเลย เตรียมตัวไว้เถอะ” มันว่าก่อนจะรีบกระชากกางเกงขาสั้นของผมออกโดยไม่รีรออะไรอีกต่อไป ราวกับประโยคเมื่อกี้มันแค่แจ้งให้ทราบไม่ได้ให้ผมร่วมตัดสินใจด้วยเลย มันลุกขึ้นไปถอดกางเกงของมันออกเหมือนกันก่อนจะหยิบกล่องถุงยางขึ้นมาแกะ ผมเอื้อมมือไปแย่งซองถุงยางของมันมาก่อนจะดันให้มันนั่งลงบนโซฟาอย่างเคย
“น้องแพรเขาทำคลิปขอโทษแล้วนะเว้ย” ไอ้กรยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมดูคลิปแพรที่ยกมือไหว้ขอโทษแล้วก็สารภาพความผิดทุกอย่างออกมาด้วยปากของตัวเอง ถึงแม้มันจะเป็นภาพที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วแต่พอได้เห็นจริง ๆ ก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย “มึงยังเสียใจเรื่องเด็กอยู่อีกเหรอวะ” “กูพยายามคิดในแง่ดีแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมกูถึงยังรู้สึกผิดอีก” ผมว่าไปตามตรง ในเมื่อแม่เด็กไม่ต้องการอยู่แล้วมันก็คงเป็นทางที่ดีที่สุดที่เด็กจะได้ไม่ต้องเกิดมาลำบากในโลกใบนี้ แต่พอคิดว่าผมมีส่วนด้วยต่อให้จะไม่ได้ตั้งใจมันก็เหมือนตราบาปว่าครั้งหนึ่งผมทำให้เด็กคนนั้นไม่ได้มีโอกาสเกิดมา “เด็กยังตัวเท่านิ้วโป้งอยู่เลยนะเว้ย เขาไม่โกรธมึงหรอก ไม่มีใครโทษมึงเลย เพราะงั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้ว” ผมรู้ว่ามันต้องการจะปลอบผมก็เหลือแต่ผมแล้วล่ะที่ต้องปล่อยวาง “เรามาภาวนาให้เด็กไปเกิดในครอบครัวที่ดีกว่านี้กันเถอะนะ” “อือ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองมันก่อนจะระบายยิ้มออกมาช้า ๆ “ขอบคุณนะที่อยู่ข้าง ๆ กูมาตลอด” “ไม่ให้อยู่ข้างแฟนแล้วจะอยู่ข้างใครเล่า” มันว่าก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มแก้มผมเบ
“พี่ต้นนัดแพรมาทำไมเหรอคะ” หญิงสาวรุ่นน้องเดินเข้ามาหาผมในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอดูมีท่าทีหวาดระแวงผมเล็กน้อยไม่ปากดีเหมือนตอนที่คุยโทรศัพท์กัน “พี่อยากเคลียร์เรื่องโพสต์น่ะ” ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ หน้าจอมีหน้าโพสต์นั้นอยู่แต่แพรกลับยกยิ้มบาง “โพสต์นี้มันไม่ได้เอ่ยชื่อใครนี่คะ ไม่ได้หมายถึงพวกเราสักหน่อยพี่ต้นจะไปกลัวอะไร พี่ก็รู้นี่ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เอ๊ะ หรือที่กลัวเพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงคะ” ผมคงประเมินเธอต่ำไปหน่อย ที่แท้เพียงแค่รอจังหวะที่จะสู้กลับเหมือนกัน “อย่าลืมสิว่าพี่เรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ เว็บบอร์ดมหา’ลัยก็ต้องลงทะเบียนก่อนจะใช้งานได้ คิดว่าข้อมูลแค่นี้พี่จะเจาะไม่ได้เชียวเหรอว่าใครเป็นคนโพสต์” แพรเริ่มหน้าเสียหลังจากที่ผมพูดจบ “แพรก็แค่อยากได้ความยุติธรรมให้ลูกในท้องแพร ยังไงเด็กในท้องแพรก็ต้องมีพ่อ” แพรเริ่มขึ้นเสียงดังจนคนในร้านเริ่มหันมามองเป็นตาเดียวกัน “พี่ต้นคืนพ่อของลูกแพรมาเถอะนะคะ เห็นแก่เด็กที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูลูกนะคะพี่ต้น” ผมปรายตามองหน้าท้องแบนราบของหญิงสาวที่ยืนอย