Share

10

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-09-30 21:05:36

ในบ้านเช่าหลังเล็กแห่งหนึ่ง ในซอยเงียบสงบของชานเมืองหนานจิง เฟิงหลี่เฉียงที่มีอายุ 17 ย่าง 18 ปีแล้ว นอนหลับสนิทอยู่ที่ห้องนอนด้านใน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ตื่น เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่เพราะเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายการสอบเค่อจวี่คัดเลือกขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นการสอบที่เมืองหลวงหรือที่เรียกว่าการสอบฮุ่ยซื่อ ซึ่งแบ่งการสอบออกเป็น 3 ช่วงติดต่อกัน

ช่วงแรกเป็นการสอบด้วยการตอบคำถาม 3 ข้อ เพื่อทดสอบการตีความหมายคัมภีร์หลักคำสอนของขงจื๊อ  ที่ศิษย์ของขงจื๊อเรียบเรียงขึ้น เป็นประมวลคำกล่าวของขงจื๊อและแสดงหลักคำสอน ที่เรียกว่า ซู หรือ ตำราทั้ง 4 [1] และยังมีการสอบวิทยศิลป์ 4 แขนง หรือวิทยศิลป์ 4 ของบัณฑิต นั่นคือ การเล่นพิณหรือกู่เจิ้ง หมากล้อม  ลายมืออักษรศิลป์ (พู่กันจีน) และ จิตรกรรมวาดเขียน ซึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงบางยุค มีการสอบการยิงธนูและขี่ม้าเพิ่มเติมมาด้วย ซึ่งรุ่นของเฟิงหลี่เฉียงก็ต้องสอบด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นในอีก 3 วันต่อมา จะเป็นการสอบช่วงที่สอง ซึ่งจะเป็นการเขียนเรียงความเชิงวิพากษ์ตามประเด็นที่ตั้งเอาไว้ จากนั้นเป็นการเขียนเรียงความเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในประเด็นทางกฎหมาย 5 ด้าน คือ กฎหมายแพ่ง กฎหมายครอบครัว กฎหมายอาญา และนโยบายทางกฎหมาย จากนั้นเป็นการสอบการเขียนพระบรมราชโองการและพระราชกฤษฎีกาซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมาย การเขียนประกาศและคำสั่งจากทางการ และการเขียนรายงานเกี่ยวกับการบริหารงานตามปกติหรือผิดปกติ หรือแม้แต่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเมืองที่เจ้ากรม หรือเจ้าหน้าที่อื่นทูลเสนอไปยังฮ่องเต้

หลังจากนั้นอีก 3 วันต่อมา จึงเป็นการสอบรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการเขียนเรียงความ 5 ประเภท ที่ต้องอ้างอิงและวิเคราะห์จากตำราคลาสสิค  ประวัติศาสตร์ และกิจการร่วมสมัย เพื่อทดสอบความเข้าใจ ความลุ่มลึกและความแม่นยำของผู้ทดสอบ

การสอบในเดือนกุมภาพันธ์ที่กินเวลาสองอาทิตย์นี้ ทำให้บัณฑิตเจี้ยหยวนคนนี้ ต้องกลับมานอนสลบอยู่บ้านไปหลายวัน ช่วงเวลานี้อันเฟยจู น้องสาวของเขา และลู่ปู่เดินทางมาอยู่ที่นี่ด้วย เพื่อดูแลส่งข้าวปลาอาหารการกินให้ และคอยรอรับอยู่ข้างนอกสนามสอบ เผื่อบัณฑิตบางคนเป็นลมหรือป่วยจนสอบต่อไม่ได้

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพวกเขาต้องกินนอนขับถ่ายอยู่ในสนามสอบที่มีชื่อเรียกว่า “ก้งเยวี่ยน” ทุกคนจะนั่งเรียงกันในช่องแคบๆ ที่เปิดโล่ง เพื่อให้ผู้คุมสอบคอยดูว่ามีการโกง หรือผู้เข้าสอบยังปกติดีหรือไม่ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ออกมาจนกว่าจะส่งข้อสอบ โดยแต่ละช่องจะมีความกว้างไม่เกิน 3 เมตร ภายในห้องหรือคอกนี้ มีไม้กระดานวางพาดเป็นโต๊ะด้านบน และม้านั่งยาวด้านล่าง ในช่วงอากาศหนาวจะมีเตาผิงจุดให้ความอบอุ่น

ด้วยความโหดร้ายของการสอบนี้ ทุกครั้งที่สอบเสร็จ จึงต้องมีคนมารับและพาพวกเขากลับไปยังที่พัก และแต่ละคนก็มีสภาพไม่ต่างจากที่เฟิงหลี่เฉียงเป็นอยู่ในตอนนี้ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะมีวรยุทธ์และมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าบัณฑิตทั่วไป แต่เขาก็ทุ่มเทให้กับการสอบไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อสอบเสร็จ เขาจึงกลับมากินข้าว อาบน้ำ จากนั้นจึงนอนหลับไปเกือบหนึ่งวันเต็ม

หลังจากสอบเสร็จ ก็เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขารอฟังประกาศผล ซึ่งคนที่สอบระดับเมืองหลวงหรือระดับประเทศนี้ผ่าน จะเรียกว่า “กงเซิง” หรือ “บัณฑิตบรรณาการ” พวกเขาสามารถเข้ารับราชการและถวายการรับใช้ฮ่องเต้ได้แล้ว โดยจำนวนคนที่รับจะขึ้นอยู่กับนโยบายของฮ่องเต้แต่ละพระองค์  สำหรับจำนวนของบัณฑิตที่ทางการรับในแต่ละปีนั้น จะแตกต่างกันไป ฮ่องเต้บางองค์ให้รับจำนวน 300 คน บางองค์ 100 คน  แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่ได้คะแนนสูงสุดของการสอบระดับประเทศนี้ จะถูกเรียกว่า “ฮุ่ยหยวน” หรือ “ผู้เข้าสอบการประชุมระดับบน” และในจำนวนกงเซิงทั้งหมดนี้ จะมีสิทธิ์ได้เข้าสอบระดับราชสำนัก ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับครั้งสุดท้าย

ในช่วงบ่าย เฟิงหลี่เฉียงจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความหิวและอยากเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกุกกักและกลิ่นอาหารลอยมาจากในครัว ท้องของเขาร้องจ๊อกด้วยความหิว เขาจึงรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและตรงไปที่ครัว ที่นั่น แม่และน้องสาวกำลังช่วยกันทำอาหารและคุยกันอย่างมีความสุข

เฟิงหลี่เฉียงยืนมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เขานึกถึงความยากลำบากที่ต้องเจอในวัยเด็ก และโอกาสที่ตอนนี้พวกเขาได้รับจากผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะต้วนเจี่ยซิน ที่อุปถัมภ์พวกเขาทั้งครอบครัว และพวกเขายังประพฤติตัวดี ให้สมกับที่หมอต้วนสนับสนุนด้วย

เฟิงหลี่เฉียงขยันขันแข็งในการเรียนรู้ ในขณะที่แม่ของเขาก็ช่วยทำงานสมุนไพรและอื่นๆ เช่นเดียวกับน้องสาวของเขาที่ว่านอนสอนง่าย และเป็นเสียงหัวเราะให้คนในหมู่บ้านหลานเถียน 

อันเฟยจูหันมาเห็นลูกชายยืนอยู่ที่ประตูครัว เธอจึงถามเขาด้วยสีหน้ายินดีว่า “เสี่ยวเฉียงตื่นแล้วหรือ มา มากินข้าวเร็ว แม่เพิ่งผัดผักเสร็จ กำลังร้อนๆ เลยจ้ะ” 

เช่นเดียวกับเฟิงหลี่อิง ที่หันมายิ้มทักทายเขาด้วยแววตาดีใจ “พี่ใหญ่ ข้าช่วยท่านแม่ทำขนมแป้งทอดมันเทศด้วย ท่านมาลองชิมฝีมือของข้าดู”

เฟิงหลี่เฉียงยิ้ม เขาช่วยยกจานอาหารจากในครัวมาวางบนโต๊ะกินข้าว และเดินไปตามลู่ปู่ให้มากินข้าวด้วยกัน เด็กหนุ่มไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นกับลู่ปู่ ที่ตอนนี้มีอายุ 30 กว่าปีแล้ว เขากับพี่ลู่ไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้ง เว้นแต่ในช่วงหลังที่เขาย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง จึงห่างจากชายหนุ่มไป ตอนนี้ลู่ปู่แต่งงานมีครอบครัวและมีลูกชายวัย 5-6 ขวบ พวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้านของหมอต้วนเช่นกัน

ในระหว่างที่นั่งกินข้าว พวกเขาพูดคุยกันเรื่องการสอบ เด็กหนุ่มอธิบายให้ฟังว่าการสอบนั้นยากลำบากอย่างไรบ้าง เฟิงหลี่อิงเสียดายที่เกิดเป็นผู้หญิงจึงไม่สามารถเข้าสอบแบบพี่ชายได้

แต่เฟิงหลี่เฉียงกลับพูดว่า “ก็น่าเสียดายจริงๆ ที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์สอบ แต่เจ้ากับท่านแม่ถือว่าดีกว่าผู้หญิงคนอื่นแล้วนะ ที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แล้วเจ้าเอง ยังมีโอกาสได้เรียนการแพทย์กับท่านอาจารย์อีก เจ้ามีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เจ้าจะมาอิจฉาพี่ทำไมกัน”

เด็กหญิงคิดตามแล้วก็หัวเราะออกมา เธอรู้ดีว่า ที่ต้าหมิง ผู้หญิงมีสถานะไม่เท่ากับพี่ชาย แต่เธอโชคดีที่พี่ชายสนับสนุนให้ได้เรียนหนังสือ เธอจึงมีโอกาสมากกว่าคนอื่น อย่างน้อยเธอก็ยังทำมาหากินเองได้ ไม่ต้องรอให้สามีมาเลี้ยงเหมือนผู้หญิงคนอื่น เธอยังจดจำความลำบากของแม่ได้ ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจนนัก เพราะตอนนั้นเธอยังอายุแค่ 3 ขวบ แต่คนที่จำแม่นที่สุด ก็คือเฟิงหลี่เฉียง ที่สาบานเอาไว้ว่า เขาจะไม่ยอมให้แม่ลำบากอีกต่อไป

ในระหว่างที่พวกเขากินข้าวกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมเสียงเรียกของชายชราซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน “ลู่ปู่! เจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า มีคนได้รับบาดเจ็บอยู่หน้าบ้านของข้า เจ้าช่วยมาดูให้หน่อยเถอะ!”

ลู่ปู่รีบวางช้อน และเดินออกไปที่หน้าบ้านเช่าหลังเล็กของพวกเขา เช่นเดียวกับเฟิงหลี่เฉียงที่คว้าย่ามผ้าใส่อุปกรณ์การแพทย์ และรีบตามออกไปด้วยเช่นกัน ชายชรา คือ ลุงฮ่าวหมิง รีบพาพวกเขาเดินไปที่บ้านของตนซึ่งอยู่ถัดไปสองหลัง และอยู่ติดกับถนนใหญ่ เขาพบชายคนหนึ่งในชุดสีดำนอนตะแคงอยู่บนพื้น มีชาวบ้าน 2-3 คนยืนดูและพยายามจะช่วยเหลือ

ลู่ปู่รีบบอกทุกคนว่า “อย่างเพิ่งขยับตัวคนเจ็บ หมอมาดูให้แล้ว!” พวกเขาจึงหลีกทางให้ทันที

เฟิงหลี่เฉียงรีบเดินเข้าไป เขาคุกเข่าลงและเริ่มต้นตรวจชีพจร ในระหว่างนั้นเขาบอกลู่ปู่ว่า “พี่ช่วยหาบาดแผลในร่างกายให้ข้าหน่อย”

ลู่ปู่รีบทำตาม เขาอยู่กับหมอต้วนมานานและพอจะรู้หลักการแพทย์เบื้องต้นอยู่บ้าง เขาพบบาดแผลที่หลังมีเลือดไหลซึมออกมา จึงรีบบอกเด็กหนุ่มที่กำลังจับชีพจร “มีรอยเหมือนถูกยิงด้วยธนูอยู่ด้านหลัง”

เด็กหนุ่มพยักหน้า และบอกว่า “ข้าจะพาเขาไปรักษาที่บ้าน” จากนั้นเขาก็ประคองร่างชายชุดดำที่สลบขึ้นมา และให้ขี่หลังของลู่ปู่เพื่อพากลับไปที่บ้าน

เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาบอกให้หญิงทั้งสองช่วยเตรียมน้ำร้อน น้ำสะอาดและผ้าสะอาดเอาไว้  เมื่อตัดเสื้อด้านหลังออก เฟิงหลี่เฉียงเห็นรอยแผลเหวอะหวะ เหมือนหัวธนูที่ปักลงไปแต่ถูกดึงออก ถ้าเป็นคนเจ็บทำเอง เขาจะต้องใจเด็ดมาก เพราะแผลที่หลังฉีกและเลือดซึมออกมาตลอดเวลา

เฟิงหลี่เฉียงทำความสะอาดบาดแผล เขาฝังเข็มไว้รอบบริเวณแผลเพื่อลดอาการบาดเจ็บและชะลอการไหลของเลือด จากนั้นก็ใช้ผ้ากดแผลห้ามเลือดเอาไว้ เขาสั่งให้ลู่ปู่รีบไปซื้อยาสมุนไพรตามใบสั่ง ที่นี่ไม่ใช่บ้านของหมอต้วน จึงไม่มียาสมุนไพรเก็บไว้ มีเพียงยาที่ใช้รักษาโรคทั่วไปจำนวนหนึ่งเท่านั้น

พวกเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการรักษา จนสามารถห้ามเลือดได้ และในตอนหัวค่ำ ชายชุดดำที่นอนคว่ำหน้าบนเตียง ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาสะดุ้งเมื่อพบว่าตนเองอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เฟิงหลี่เฉียงเปิดประตูห้องเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงคนเจ็บขยับตัว เด็กหนุ่มรีบบอกเขาว่า “อย่าเพิ่งขยับตัวมาก เดี๋ยวเลือดจะไหลออกมาอีก”

ชายชุดดำค่อยๆ ยกตัวขึ้นและมองมาที่เขาด้วยสายตาระแวดระวัง แต่เด็กหนุ่มกลับบอกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายว่า “ท่านลุงฮ่าวหมิงเป็นคนพบท่านนอนหมดสติอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน พวกเราจึงช่วยกันพาท่านมารักษาที่นี่ ตอนนี้อาการของท่านคงที่แล้ว ท่านต้องการจะให้พวกข้าช่วยไปแจ้งใครหรือไม่ ขอให้บอกมาได้เลย”

[1] ในบางยุค มีการสอบความรู้เกี่ยวกับ  4 ตำรา 5 คัมภีร์ โดย 4 ตำรา คือ ต้าเสว๋  จงยง  หลุนอวี่ และเมิ่งจื่อ ส่วนอีก 5 คัมภีร์ คือ ซือ ซู  หลี่  อี้ ชุนชิว ซึ่งเป็นของลัทธิขงจื๊อ แต่ในยุคของฮ่องเต้หย่งเล่อ มีการสอบเพียง 4 ตำราเท่านั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง   16 (จบเล่ม 1)

    ในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่วัย 40 ปี ท่าทางสง่างาม เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด ใส่ชุดสีดำเดินลายสีทอง ปักรูปมังกร 5 เล็บอยู่ด้านหน้า กำลังนั่งอ่านกระดาษคำตอบของบัณฑิตจำนวน 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งหรืออี้เจี่ย ในจำนวนนี้จะมีเพียง 3 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็น “จ้วงหยวน” “ป๋างเหยี่ยน” และ “ทั่นฮวา”ขันทีที่ใกล้ชิดของหย่งเล่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และยกน้ำชามาเสิร์ฟ พร้อมกับช่วยฝนหมึกที่แท่นวางหมึกหยกให้อย่างเงียบๆฮ่องเต้หย่งเล่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เจ้าฟังนะ จงเซียน ในคำถามแรก ข้าถามว่า ในยุคราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุดที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกของจักรวรรดิ หากนำแนวคิดของขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ จักรพรรดิหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไรในการปกครองและการใช้กองทัพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จงเซียน เจ้ารู้ไหม บัณฑิตคนนี้ตอบว่าอย่างไร”จงเซียน ขันทีวัย 43 ปี ซึ่งอยู่รับใช้จักพรรดิหย่งเล่อมาตั้งแต่เขายังเป็นอ๋องแห่

  • เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง   15

    สวี่เฟิงหยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็สะดุ้ง นี่ไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย แต่สักพักก็นึกได้ว่า เขามานอนค้างที่บ้านของบัณฑิตเฟิง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไม้กระทบกันและเสียงพูดคุยจากสนามด้านล่าง เขาจึงลุกขึ้นและชะโงกออกไปที่หน้าต่างที่สนามหน้าบ้าน เขาพบเฟิงหลี่เฉียงกำลังใช้ดาบไม้ฟาดฟันไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มตะลึงมอง เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนคนนี้จะเก่งทั้งบู๊และบุ๋น แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อเฟิงหลี่เฉียงหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง และตะโกนถามว่า “ตื่นแล้วหรือ มีห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะ ที่นี่เราไม่มีคนรับใช้ช่วยยกน้ำขึ้นไปให้”สวี่เฟิงหยวนเดินลงมา และพบกับสองแม่ลูกกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ทั้งสองไม่แปลกใจที่เห็นเขา เพราะเฟิงหลี่เฉียงบอกพวกเขาเอาไว้แล้ว อันเฟยจูเป็นคนพาเขาไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอีกสักพักอาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อกินเสร็จ เธอจะให้ลู่ปู่ขี่รถลากไปส่งในระหว่างที่กินข้าวเช้า เด็กหนุ่มมองดูครอบครัวสามแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอิจ

  • เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง   14

    “ทำไมเจ้าถึงต้องเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด” เจียงอู๋ตี้ถามด้วยความสงสัยซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารจึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตตอบแทนนะขอรับ ภัตตาคารของเรามีกฎให้มีเสี่ยวเอ้อสองคน ประจำอยู่บนชั้นสอง โดยคนหนึ่งต้องอยู่ประจำบนชั้นสอง ห้ามไปไหน เพื่อคอยรอรับคำสั่งลูกค้าและดูแลสถานการณ์ ส่วนอีกคน จะนำคำสั่งอาหารไปที่ครัวและนำอาหารขึ้นมาบริการ ฉะนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ประจำชั้นสองเสมอ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ งั้นขอถามว่า ตอนที่พวกข้าเดินลงมา มีใครเห็นพวกข้าแอบคุยกับคุณชายท่านนี้บ้างหรือไม่”ทุกคนตอบว่า ไม่มีใครเห็น และคนที่เฝ้าอยู่ชั้นสองก็ไม่เห็นเช่นกัน จึงหมายความว่า โอกาสที่พวกของเฟิงหลี่เฉียงจะพบกับเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อพูดคุยกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะบอกว่าพวกเขาสมคบกับเด็กหนุ่มก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ว่า พวกเขาซึ่งเป็นบัณฑิตระดับนี้ จะฆ่าพ่อค้าขาวสารคนหนึ่งไปเพื่ออะไรเมื่อเฟิงหลี่เฉียงสรุปเรื่องนี้ ก็ทำให้ทั้งทำให้เจียงอู๋ตี้และหวังเฉิงพูดอะไรไม่ออก“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าทั้งสี่คน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีใน

  • เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง   13

    ด้านหลังของภัตตาคาร มีช่องทางเดินไปสู่ห้องน้ำ ด้านหน้าของห้องน้ำเป็นลานกว้างมีโอ่งดินเผาใส่น้ำสำหรับล้างมือ และด้านหลังมีห้องน้ำเป็นห้องขนาดเล็กเรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง ที่นั่นพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งนอนหงายหลังอยู่ที่ลานกว้าง มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อเฟิงหลี่เฉียงบอกให้ผู้จัดการกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และไม่ให้ใครเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปรอบๆ และไม่ได้แตะต้องศพเพิ่มเติม เพราะเขารู้ว่าอีกสักพัก เจ้าหน้าที่จากอำเภอจะมา ตอนนี้เขาถูกพ่อค้าข้าวสารกล่าวหา ถ้าไปแตะต้องศพก็อาจจะมีปัญหา เขาก้มลงมองที่ศพ ที่พื้น และมองไปด้านหลังที่เป็นสวนขนาดใหญ่ ที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมยามดึก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมากนัก ในขณะที่คนอื่นมองที่ศพและบริเวณรอบๆ อย่างไม่สบายใจในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนจากอำเภอจำนวน 4 คนก็มาถึง เมื่อเห็นเฟิงหลี่เฉียง อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ หัวหน้าซึ่งมีอายุประมาณ 35 ปี ก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เมื่อรู้ว่ากลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเป็นบัณฑิตและสามารถตรวจสอบศพได้ พวกเขาจึงผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็ยังไม่ยอมให้เฟ

  • เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง   12

    ถึงเฟิงหลี่เฉียงจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพื่อเตรียมสอบ แต่เขาก็ยังมีเพื่อนอยู่ 2-3 คนที่ชอบพอนิสัยใจคอกัน และวันนี้ พวกเขาก็มีนัดเพื่อฉลองผลสอบ เพราะทั้ง 4 คนสามารถผ่านการสอบในระดับประเทศนี้ และกำลังรอเข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่งในเดือนหน้า อินเฉิน ซึ่งเป็นลูกชายของข้าราชการกรมการคลัง เป็นคนจองภัตตาคารชื่อดังประจำเมืองหลวงเอาไว้ เพื่อดื่มกินกันให้เต็มที่หลังจากที่เหนื่อยยากมานานเฟิงหลี่เฉียงแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอ่อน ขอบแขนเสื้อเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขับผิวให้สว่างมากขึ้น เขาเดินจากบ้านไปยังภัตตาคารอี้เทียนเหลา เพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อไปถึง เขาแจ้งชื่อคนจอง พนักงานพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่เรียงรายติดกัน ห้องที่พวกเขาจองไว้อยู่ค่อนไปตรงกลาง ในนั้น อินเฉิน ซุยเฉินเหยา และเทียนมู่อวี้นั่งรอเขาอยู่แล้ว บนโต๊ะมีอาหาร 3-4 อย่างวางเอาไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ทุกคนส่งเสียงทักทายและบอกให้เขาสั่งอาหารตามชอบได้เลยอินเฉิน อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด ยกจอกเหล้าขึ้นสูงและพูดขึ้นว่า “มาพวกเรา! มาดื่มฉลองให้ตัวเองที่สอบผ่านเป็น

  • เฟิงหลี่เฉียง ยอดเสนาบดีแห่งหมิง   11

    ชายชุดดำซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง ค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีลง เขาพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ท่านเป็นหมอหรือ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มนิดๆ “ข้าเป็นบัณฑิตชื่อ เฟิงหลี่เฉียง แต่ก็รู้การแพทย์ด้วย”อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยไปส่งข้ายังสถานที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่”เด็กหนุ่มถามเขาตรงๆ ว่า “ขออภัย ข้าต้องขอสอบถามก่อนว่าเป็นที่ใด”ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อนจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปด้วยชายชุดดำก็ตอบตามตรงว่า “องครักษ์เสื้อแพร จินอวี่เว่ย”เขารู้ว่าตนเองต้องพึ่งพาเด็กหนุ่มคนนี้ เพื่อรีบกลับไปรายงานข่าวสำคัญที่ไปสืบมา และชายชุดดำรู้ดีว่า หากเด็กหนุ่มคิดไม่ซื่อกับเขา การตามหาตัวเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับราชองครักษ์อย่างพวกเขาเด็กหนุ่มจึงรับปาก เขาคิดอยู่แล้วว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นทหาร เขาจึงบอกลู่ปู่ให้เตรียมรถไว้ และช่วยกันประคองชายชุดดำไปขึ้นรถลาก และมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกของเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status