เฟิงหลี่เฉียงซึ่งตื่นขึ้นมาเพื่อไปหาอาหารเช้ากิน ไม่สามารถเดินไปถึงตลาดที่ขายอาหารเช้าได้ จึงต้องหยุดยืนอยู่ริมถนนร่วมกับชาวบ้าน ตอนนี้ทหารในเมืองเริ่มกั้นถนนไม่ให้มีการสัญจรผ่านไปมาแล้ว เขาเห็นผู้คนจำนวนนับร้อยออกมายืนรอต้อนรับ ในมือของชาวบ้านหลายคนมีทั้งดอกไม้และผลไม้ถืออยู่ในมือ หญิงสาวจับกลุ่มอยู่ด้วยกันในมือถือผ้าเช็ดหน้าหลากหลายสี พวกเขาซุบซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เมื่อเห็นความตื่นเต้นต่อหน้า เด็กหนุ่มก็อดถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ว่า “พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงออกมารอต้อนรับท่านแม่ทัพมากขนาดนี้ละ”
ชายวัยกลางคนกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และถามด้วยความไม่พอใจนิดๆ ว่า “ท่านไม่ใช่คนแถวนี้สินะ พ่อหนุ่ม”
“ใช่” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
อีกฝ่ายจึงทำท่าเข้าใจและหยุดมองเขาด้วยสายตาหาเรื่อง เขาจึงเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ท่านแม่ทัพเจิ้งเฉิงฉาน เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจที่สุดในตอนนี้ ท่านเป็นลูกชายคนโตของท่านแม่ทัพเจิ้งลั่วหลง หรือเจิ้งโหว[1] ท่านออกรบตั้งแต่อายุได้แค่ 14-15 ปีพร้อมกับท่านพ่อ และเอาชนะข้าศึก โดยเฉพาะพวกคนเถื่อนนอกด่านมาตั้งแต่นั้น พวกเราก็เลยรักและเคารพคนตระกูลเจิ้ง!”
ป้าอีกคนที่ยืนฟังก็ยืนยันเสียงดัง “ใช่แล้วพ่อหนุ่ม ตระกูลเจิ้งไม่เพียงแค่รักชาติกันทุกคน คนบ้านนี้ยังมือสะอาด และทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด”
หญิงสาวอีกคนก็พูดด้วยสีหน้าเขินอายว่า “ที่สำคัญ แม่ทัพเจิ้งเฉิงฉานยังอายุแค่ 24-25 ปี แล้วก็ยังหล่อเหลาเป็นอันดับต้นของเมืองหลวงเลยนะ” นางพูดด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน
แต่แล้วก็หยุดมองหน้าเฟิงหลี่เฉียงที่กำลังตั้งใจฟัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “แต่พ่อหนุ่มน้อยคนนี้ ก็หล่อเหลาราวกับภาพวาดโบราณเลยนะ เจ้าแต่งงานแล้วรึยังจ๊ะ สนใจพี่สาวอายุมากกว่าไหม”
เฟิงหลี่เฉียงสะดุ้ง เขารีบปฏิเสธพัลวันว่า “ไม่..ไม่หรอก ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ฮ่าๆๆ”
แล้วเขาก็หัวเราะจนหน้าแดง ถึงแม้ว่าจะมีหญิงสาวหลายคนแสดงความสนใจ และทอดไมตรีให้เขามาตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเกี้ยวพาราสีกลางถนนเช่นนี้
เฟิงหลี่เฉียงจึงรีบเดินหลบไปอีกด้านหนึ่ง เพราะไม่อยากจะตกเป็นเป้าสายตา ที่จริงแล้ว เขาไม่มีใครที่หมายปองทั้งสิ้น และทุกครั้งที่พบสถานการณ์เช่นนี้ ก็มักจะใช้ข้อแก้ตัวนี้เสมอมา
แล้วเขาก็ต้องหันขวับไปทางประตูเมือง เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องและตบมือต้อนรับขบวนม้าศึกจำนวน 30 กว่าตัว ที่วิ่งเหยาะๆ มาตามถนน หญิงสาวหลายคนที่นั่งอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารและร้านน้ำชา รีบลุกขึ้นยืนเบียดเสียดและส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็แย่งกันปาดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าไปยังม้าศึกตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้ม ที่วิ่งเหยาะๆ นำหน้าขบวนมา
เฟิงหลี่เฉียงเห็นชายร่างรูปร่างสูงหนา แต่ไม่เทอะทะ นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างาม ชุดเกราะสีดำและผ้าคลุมสีแดงเข้มตัดกันทำให้ดูโดดเด่นและดุดัน เมื่อเขาขี่ม้าเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดหญิงสาวทั้งหลายถึงได้ตื่นเต้นกันนัก แม่ทัพเจิ้งเฉิงฉานมีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเฉียบคมของเขากวาดตามองไปรอบๆ และก็หยุดสบตากับเฟิงหลี่เฉียง
เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายหรี่ตามองเขา แต่เขาก็รีบยืดตัวขึ้นสูง และก้มศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อเป็นการทำความเคารพ อีกฝ่ายพยักหน้านิดหนึ่งจนแทบจะมองไม่เห็น และบังคับม้าให้เดินผ่านไปพร้อมกับนายทหารคนอื่น แม่ทัพเจิ้งเฉิงฉานคนนี้ประสาทสัมผัสไวจริงๆ เฟิงหลี่เฉียงคิดในใจ
หลังจากที่ขบวนผ่านไปแล้ว ประชาชนก็เริ่มแยกย้ายกันไป ทำให้เฟิงหลี่เฉียงสามารถเดินไปที่แผงขายอาหารเช้าได้ เด็กหนุ่มสั่งโจ๊กมากินพร้อมกับซาลาเปา เจ้าของร้านจำเขาได้ดี บัณฑิตคนนี้คงจะเหมือนกับบัณฑิตอีกหลายคน ที่เดินทางมาเตรียมสอบจินซื่อจากทั่วประเทศ คนที่มาจากครอบครัวคนมีฐานะมีชาติตระกูล จะมีคนรับใช้คอยดูแลปรนนิบัติ และมีบัณฑิตอีกมากมายที่เป็นแบบหนุ่มน้อยคนนี้ ที่มาจากต่างจังหวัดและมีฐานะยากจน พวกเขามักจะฝากท้องไว้กับร้านอาหารข้างถนนแบบนี้เสมอ
แล้วบัณฑิตเฟิงหลี่เฉียงที่เป็นเจี้ยหยวนคนนี้ มีฐานะยากจนจริงหรือ
นั่นก็ทั้งใช่และไม่ใช่
ต้วนเจี่ยซินไม่ยอมให้ลูกศิษย์ของเขา ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอย่างแน่นอน แต่เด็กหนุ่มเลือกใช้ชีวิตแบบนี้เอง เขาคิดเสมอว่าตัวเองมาพึ่งพาอาศัยบ้านของอาจารย์ ได้รับความเมตตาช่วยสั่งสอนวิชาให้ และยังรับแม่กับน้องของเขามาอยู่ด้วย เมื่อมาเรียนต่อ ชายชรายังจ่ายเงินค่าเรียน ค่าที่อยู่ และค่ากินให้ เขาจึงใช้จ่ายอย่างประหยัด และในระหว่างนี้ก็ยังหาเงินเองด้วย
แล้วเฟิงหลี่เฉียงหาเงินอย่างไร
เขาก็ใช้วิชาแพทย์ที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก เพื่อหาเงินนั่นเอง ตอนนี้เขาเป็นหมอที่ร้านขายยาสมุนไพรแห่งหนึ่ง โดยจะทำงานอาทิตย์ละ 3 วัน เวลาที่เหลือเขาจะไปโรงเรียน แต่ในใจของเขากลับรู้สึกว่า การไปโรงเรียนเหล่านี้ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก เขาจึงเขียนจดหมายไปหาโม่ชิงเฉิงเพื่อปรึกษาว่า เขาควรจะทำอย่างไร
หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ อาจารย์โม่ขี้หงุดหงิดของเขาก็ตอบมาว่า “เจ้าจะเสียเวลาไปทำไม ออกเดินทางหาประสบการณ์ชีวิต แล้วก็หาเงินสิ เมื่อได้เวลาจึงกลับมาสอบ!”
เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะลั่นห้อง เมื่อได้รับจดหมายตอบกลับเช่นนี้ แล้วต้วนเจี่ยซินล่ะ อาจารย์คนแรกของเขา ไม่เคยบังคับให้เขาทำอะไรเลย สิ่งใดที่เด็กหนุ่มต้องการทำ หมอต้วนก็มักเห็นด้วยเสมอ เพราะรู้จักเด็กคนนี้ดีที่สุด สิ่งใดที่เขาตัดสินใจ สิ่งนั้นจะดีกับตัวเขาเสมอ และเขายังไม่เคยทำให้อาจารย์ผิดหวังด้วย
เมื่อได้รับคำตอบที่สอดคล้องกับความคิดของตนเอง เด็กหนุ่มจึงคิดว่า เขาควรจะออกเดินทางไปหาประสบการณ์ข้างนอกดีกว่า เพราะเขาได้รับการปลูกฝังมาจากอาจารย์ทั้งสามคนว่า การท่องตำราและการเรียนในโรงเรียนแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจชีวิตและปัญหาของราษฎรต้าหมิงได้อย่างแท้จริง แล้วเขาจะเป็นข้าราชการที่ดีได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะมาจากหมู่บ้านที่ยากจน แต่โลกภายนอกยังมีปัญหาอีกหลากหลาย ที่รอให้เขาไปพบและทำความเข้าใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ เฟิงหลี่เฉียงก็รวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง พร้อมกับข้าวของที่จำเป็น เพื่อเตรียมตัวเดินทาง เขาแจ้งทางโรงเรียนว่าจะขอหยุดพักการเรียน เพื่อออกเดินทาง ทำให้อาจารย์ใหญ่และคนอื่นต่างพากันส่ายหัว และมองว่าเขาคงจะไม่สามารถสอบเป็นจินซื่อได้อย่างแน่นอน แต่สายตาของคนอื่น ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างเฟิงหลี่เฉียงจะสนใจ เขาเขียนจดหมายบอกแม่และอาจารย์ทั้งสามคน จากนั้นก็ยกเลิกบ้านเช่าหลังเล็กที่เขาอาศัยอยู่ตั้งแต่มาเรียนที่เมืองหลวง และออกเดินทางในช่วงฤดูใบไม้ผลิทันที
เด็กหนุ่มตั้งใจว่า เขาจะเดินทางไปทางตอนใต้ของต้าหมิง จากนั้นจะเดินทางไปตอนกลางของประเทศ ขึ้นไปทางเหนือ และไปจบที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อได้รับจดหมายจากเขา อันเฟยจูก็รู้สึกเป็นห่วง ต้วนเจี่ยซินจึงปลอบโยนไม่ให้เธอเป็นห่วงเขามากเกินไป
ชายชราอธิบายข้อดีของการเดินทางครั้งนี้ และบอกว่า “เสี่ยวจูเอ๊ย! ต่อไปเสี่ยวเฉียงจะต้องเป็นขุนนาง เขาต้องเดินทางไปตามคำสั่งของฮ่องเต้ บางแห่งก็ห่างไกลความเจริญ เต็มไปด้วยอันตราย ถ้าเจ้าอยากให้ลูกของเจ้าเจริญก้าวหน้า เจ้าต้องยอมให้ลูกออกจากอ้อมอกบ้าง แล้วเด็กอย่างเสี่ยวเฉียง ก็ไม่ใช่เด็กทั่วไปที่จะใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน เจ้าน่าจะรู้จักลูกของเจ้าดีนะ”
อันเฟยจูจึงได้คิด จริงสินะ เฟิงหลี่เฉียงจากบ้านมาเรียนรู้วิชากับหมอต้วนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ นิสัยของเขาเป็นผู้ใหญ่เกินตัว และยังชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ
ในขณะที่เธอเริ่มคิดได้ เสียงของลูกสาวคนเล็ก เฟิงหลี่อิง ที่ตอนนี้อายุได้ 12-13 ปีแล้ว ก็พูดขึ้นว่า “พี่หลี่เฉียงเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น แม่อย่าเป็นห่วงไปเลย ถ้าข้าเป็นผู้ชายแบบพี่ ข้าก็อยากทำแบบนี้เช่นกัน” เด็กหญิงชื่นชมพี่ชายอย่างมาก
ต้วนเจี่ยซินลูบเคราสีขาวของเขา และพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “เสี่ยวเฉียงออกเดินทางกับพวกข้ามาตั้งแต่เด็ก เหมือนกับที่ข้าเคยเป็นลูกศิษย์ของข้าก็ต้องเป็นเหมือนข้าด้วย ไม่เช่นนั้นเขาจะเรียนรู้ความยากลำบากของชาวบ้านได้อย่างไร!”
[1] โหว คือ ตำแหน่งเจ้าพระยา หรือมาร์ควิส ที่มีบิดาเป็นท่านอ๋องหรือพระโอรสของฮ่องเต้ และอีกแบบ คือ ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้เพราะผลงานจากการทำงาน ความเสน่หา หรือบางคนเป็นพระญาติจึงได้รับการแต่งตั้งด้วยเช่นกัน
ในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่วัย 40 ปี ท่าทางสง่างาม เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด ใส่ชุดสีดำเดินลายสีทอง ปักรูปมังกร 5 เล็บอยู่ด้านหน้า กำลังนั่งอ่านกระดาษคำตอบของบัณฑิตจำนวน 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งหรืออี้เจี่ย ในจำนวนนี้จะมีเพียง 3 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็น “จ้วงหยวน” “ป๋างเหยี่ยน” และ “ทั่นฮวา”ขันทีที่ใกล้ชิดของหย่งเล่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และยกน้ำชามาเสิร์ฟ พร้อมกับช่วยฝนหมึกที่แท่นวางหมึกหยกให้อย่างเงียบๆฮ่องเต้หย่งเล่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เจ้าฟังนะ จงเซียน ในคำถามแรก ข้าถามว่า ในยุคราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุดที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกของจักรวรรดิ หากนำแนวคิดของขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ จักรพรรดิหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไรในการปกครองและการใช้กองทัพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จงเซียน เจ้ารู้ไหม บัณฑิตคนนี้ตอบว่าอย่างไร”จงเซียน ขันทีวัย 43 ปี ซึ่งอยู่รับใช้จักพรรดิหย่งเล่อมาตั้งแต่เขายังเป็นอ๋องแห่
สวี่เฟิงหยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็สะดุ้ง นี่ไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย แต่สักพักก็นึกได้ว่า เขามานอนค้างที่บ้านของบัณฑิตเฟิง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไม้กระทบกันและเสียงพูดคุยจากสนามด้านล่าง เขาจึงลุกขึ้นและชะโงกออกไปที่หน้าต่างที่สนามหน้าบ้าน เขาพบเฟิงหลี่เฉียงกำลังใช้ดาบไม้ฟาดฟันไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มตะลึงมอง เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนคนนี้จะเก่งทั้งบู๊และบุ๋น แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อเฟิงหลี่เฉียงหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง และตะโกนถามว่า “ตื่นแล้วหรือ มีห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะ ที่นี่เราไม่มีคนรับใช้ช่วยยกน้ำขึ้นไปให้”สวี่เฟิงหยวนเดินลงมา และพบกับสองแม่ลูกกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ทั้งสองไม่แปลกใจที่เห็นเขา เพราะเฟิงหลี่เฉียงบอกพวกเขาเอาไว้แล้ว อันเฟยจูเป็นคนพาเขาไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอีกสักพักอาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อกินเสร็จ เธอจะให้ลู่ปู่ขี่รถลากไปส่งในระหว่างที่กินข้าวเช้า เด็กหนุ่มมองดูครอบครัวสามแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอิจ
“ทำไมเจ้าถึงต้องเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด” เจียงอู๋ตี้ถามด้วยความสงสัยซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารจึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตตอบแทนนะขอรับ ภัตตาคารของเรามีกฎให้มีเสี่ยวเอ้อสองคน ประจำอยู่บนชั้นสอง โดยคนหนึ่งต้องอยู่ประจำบนชั้นสอง ห้ามไปไหน เพื่อคอยรอรับคำสั่งลูกค้าและดูแลสถานการณ์ ส่วนอีกคน จะนำคำสั่งอาหารไปที่ครัวและนำอาหารขึ้นมาบริการ ฉะนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ประจำชั้นสองเสมอ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ งั้นขอถามว่า ตอนที่พวกข้าเดินลงมา มีใครเห็นพวกข้าแอบคุยกับคุณชายท่านนี้บ้างหรือไม่”ทุกคนตอบว่า ไม่มีใครเห็น และคนที่เฝ้าอยู่ชั้นสองก็ไม่เห็นเช่นกัน จึงหมายความว่า โอกาสที่พวกของเฟิงหลี่เฉียงจะพบกับเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อพูดคุยกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะบอกว่าพวกเขาสมคบกับเด็กหนุ่มก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ว่า พวกเขาซึ่งเป็นบัณฑิตระดับนี้ จะฆ่าพ่อค้าขาวสารคนหนึ่งไปเพื่ออะไรเมื่อเฟิงหลี่เฉียงสรุปเรื่องนี้ ก็ทำให้ทั้งทำให้เจียงอู๋ตี้และหวังเฉิงพูดอะไรไม่ออก“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าทั้งสี่คน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีใน
ด้านหลังของภัตตาคาร มีช่องทางเดินไปสู่ห้องน้ำ ด้านหน้าของห้องน้ำเป็นลานกว้างมีโอ่งดินเผาใส่น้ำสำหรับล้างมือ และด้านหลังมีห้องน้ำเป็นห้องขนาดเล็กเรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง ที่นั่นพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งนอนหงายหลังอยู่ที่ลานกว้าง มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อเฟิงหลี่เฉียงบอกให้ผู้จัดการกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และไม่ให้ใครเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปรอบๆ และไม่ได้แตะต้องศพเพิ่มเติม เพราะเขารู้ว่าอีกสักพัก เจ้าหน้าที่จากอำเภอจะมา ตอนนี้เขาถูกพ่อค้าข้าวสารกล่าวหา ถ้าไปแตะต้องศพก็อาจจะมีปัญหา เขาก้มลงมองที่ศพ ที่พื้น และมองไปด้านหลังที่เป็นสวนขนาดใหญ่ ที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมยามดึก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมากนัก ในขณะที่คนอื่นมองที่ศพและบริเวณรอบๆ อย่างไม่สบายใจในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนจากอำเภอจำนวน 4 คนก็มาถึง เมื่อเห็นเฟิงหลี่เฉียง อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ หัวหน้าซึ่งมีอายุประมาณ 35 ปี ก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เมื่อรู้ว่ากลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเป็นบัณฑิตและสามารถตรวจสอบศพได้ พวกเขาจึงผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็ยังไม่ยอมให้เฟ
ถึงเฟิงหลี่เฉียงจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพื่อเตรียมสอบ แต่เขาก็ยังมีเพื่อนอยู่ 2-3 คนที่ชอบพอนิสัยใจคอกัน และวันนี้ พวกเขาก็มีนัดเพื่อฉลองผลสอบ เพราะทั้ง 4 คนสามารถผ่านการสอบในระดับประเทศนี้ และกำลังรอเข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่งในเดือนหน้า อินเฉิน ซึ่งเป็นลูกชายของข้าราชการกรมการคลัง เป็นคนจองภัตตาคารชื่อดังประจำเมืองหลวงเอาไว้ เพื่อดื่มกินกันให้เต็มที่หลังจากที่เหนื่อยยากมานานเฟิงหลี่เฉียงแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอ่อน ขอบแขนเสื้อเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขับผิวให้สว่างมากขึ้น เขาเดินจากบ้านไปยังภัตตาคารอี้เทียนเหลา เพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อไปถึง เขาแจ้งชื่อคนจอง พนักงานพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่เรียงรายติดกัน ห้องที่พวกเขาจองไว้อยู่ค่อนไปตรงกลาง ในนั้น อินเฉิน ซุยเฉินเหยา และเทียนมู่อวี้นั่งรอเขาอยู่แล้ว บนโต๊ะมีอาหาร 3-4 อย่างวางเอาไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ทุกคนส่งเสียงทักทายและบอกให้เขาสั่งอาหารตามชอบได้เลยอินเฉิน อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด ยกจอกเหล้าขึ้นสูงและพูดขึ้นว่า “มาพวกเรา! มาดื่มฉลองให้ตัวเองที่สอบผ่านเป็น
ชายชุดดำซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง ค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีลง เขาพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ท่านเป็นหมอหรือ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มนิดๆ “ข้าเป็นบัณฑิตชื่อ เฟิงหลี่เฉียง แต่ก็รู้การแพทย์ด้วย”อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยไปส่งข้ายังสถานที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่”เด็กหนุ่มถามเขาตรงๆ ว่า “ขออภัย ข้าต้องขอสอบถามก่อนว่าเป็นที่ใด”ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อนจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปด้วยชายชุดดำก็ตอบตามตรงว่า “องครักษ์เสื้อแพร จินอวี่เว่ย”เขารู้ว่าตนเองต้องพึ่งพาเด็กหนุ่มคนนี้ เพื่อรีบกลับไปรายงานข่าวสำคัญที่ไปสืบมา และชายชุดดำรู้ดีว่า หากเด็กหนุ่มคิดไม่ซื่อกับเขา การตามหาตัวเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับราชองครักษ์อย่างพวกเขาเด็กหนุ่มจึงรับปาก เขาคิดอยู่แล้วว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นทหาร เขาจึงบอกลู่ปู่ให้เตรียมรถไว้ และช่วยกันประคองชายชุดดำไปขึ้นรถลาก และมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกของเ