ในวันนั้น ต้วนเจี่ยซินซึ่งนำเข็มมาด้วย ก็ช่วยฝังเข็มให้กับอันเฟยจู เพื่อช่วยให้อิน (หยิน) ทำงานดีขึ้น และบอกวิธีรักษาด้วยการทำใจให้ปลอดโปร่ง กินอาหารที่ช่วยขับเคลื่อนลมปราณที่ติดขัด ระบายชี่ที่ตับและช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด เช่น ต้มลูกเดือยกิน ดื่มน้ำอุ่น และไม่โดนอากาศเย็นมาก และยังให้กินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เป็นบางครั้ง
“สิ่งสำคัญ คือ การดูแลรักษาใจ” หมอต้วนเจี่ยซินบอกอันเฟยจู “อย่าลืมว่า ตอนนี้พวกเจ้ามีอยู่กันสามคน ถ้าเจ้าล้มป่วยหนัก ความลำบากก็จะตกไปอยู่ที่ลูกชายของเจ้าที่มีอายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น เจ้าจะให้ลูกชายอายุแค่นี้ ต้องมาแบกรับเลี้ยงดูแม่กับน้องอย่างนั้นหรือ”
อันเฟยจูหน้าเสีย น้ำตาไหลออกมาทันที เธอหันไปกอดเฟิงหลี่เฉียงเอาไว้แน่น “ไม่เจ้าค่ะ! ข้าจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น!” แล้วเธอก็สะอื้นออกมาอย่างเจ็บปวดใจ เธอรู้มาตลอดว่า ช่วงที่เธอล้มป่วยจนทำงานไม่ได้นั้น เด็กชายจะต้องลำบากมากแค่ไหน
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ต้องรู้จักการยอมรับความจริง และปล่อยวางให้เป็นด้วย” ชายชราเตือน
หญิงสาวก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา ใช่แล้ว เธอยังคงคิดถึงสามีและเสียใจที่เขาหายออกไปจากชีวิตของพวกเธอ นี่เขาไม่สนใจลูกเมียที่อยู่ทางนี้จริงหรือ เธอพร่ำถามตัวเองในใจ แต่แล้วอันเฟยจูก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเฟิงหลี่เฉียงพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า
“ท่านจะไปรออะไรกับคนพรรค์นั้น ตอนนี้พวกเรามีกันแค่สามคน ท่านลืมเขาไปเถอะขอรับ กี่ปีแล้วที่เขาทิ้งให้พวกเราอยู่กันเพียงลำพัง เงินสักเหวิน จดหมายสักฉบับก็ไม่เคยส่งมา แม้แต่ข้าก็ยังแทบจะนึกหน้าเขาไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ! ถึงไม่มีเขา พวกเราก็อยู่ได้นะท่านแม่!” ประโยคหลังเด็กชายพูดด้วยเสียงที่เด็ดขาดราวกับผู้ใหญ่ ทำให้อันเฟยจูรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
แววตาของต้วนเจี่ยซินเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กชายพูด อืมม..เด็กคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่เกินวัย และยังมีความเด็ดขาดจริง ชายชราคิดในใจ แล้วเขาก็ถามขึ้นมาว่า “เสี่ยวเฉียง เจ้าอยากไปเรียนวิชาการแพทย์กับข้าไหม”
เด็กชายชะงัก เขาสบตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความจริงใจ เขาตาวาวด้วยความดีใจ ที่จะได้มีวิชาที่หาเงินได้ แต่สักพักก็เศร้าลง ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ข้าคงไปไม่ได้หรอกขอรับ” แล้วก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ
“เจ้าเป็นห่วงแม่กับน้องใช่หรือไม่” ต้วนเจี่ยซินถามอย่างเข้าใจทันที
เด็กชายเหลือบมองแม่ที่นั่งอยู่ใกล้ แต่ก็ไม่ยอมตอบ เมื่อเห็นอาการผิดหวังของลูกชายคนโต อันเฟยจูก็ยิ่งเสียใจและโกรธตัวเองมากยิ่งขึ้น เธอรู้แล้วว่า อาการเจ็บป่วยของเธอทำให้ลูกชายที่เฉลียวฉลาดคนนี้ต้องเสียโอกาสไปมากแค่ไหน
เมื่อได้คิดแล้ว เธอจึงถามลูกชายด้วยเสียงจริงจังว่า “เสี่ยวเฉียง ตอบแม่มาตามตรง เจ้าอยากจะไปเรียนกับท่านหมอต้วนหรือไม่ เจ้าไม่ต้องตอบเพราะเป็นห่วงแม่กับเสี่ยวอิง”
เด็กชายสบตาแม่ของเขา และพยักหน้าในที่สุด “ข้าอยากไปขอรับ ข้าไม่รู้หรอกว่าข้าอยากเป็นหมอหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังได้เรียนรู้วิธีรักษาโรค มาช่วยรักษาท่านแม่กับน้องได้ แล้วถ้าหาเงินได้ด้วย ข้าก็ยินดีขอรับ!”
ต้วนเจี่ยซินหัวเราะชอบใจ เด็กคนนี้ตอบตรงดีจริงๆ “ดีมาก เจ้าเป็นคนซื่อตรง ข้าชอบเด็กแบบนี้ แต่ว่านะ” ชายชราหยุดพูดและสบตาเด็กชาย “ถ้าเจ้าไม่ชอบเป็นหมอก็ไม่ต้องเป็น ข้าแค่ต้องการให้โอกาสเจ้า ส่วนเจ้าจะเติบโตไปเป็นอะไรนั้น มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องค้นหาเอง!”
เฟิงหลี่เฉียงคิดได้ตามที่ท่านหมอต้วนพูด จริงสินะ ในระหว่างนั้นเขายังมีเวลาอีกมากมายที่จะตอบตัวเองว่า เขาควรจะทำอาชีพอะไร
ต้วนเจี่ยซินหันไปพูดกับอันเฟยจูว่า “บ้านของข้าอยู่ที่ตีนเขาอีกฝั่ง ห่างจากที่นี่ไปประมาณเกือบยี่สิบลี้ ถ้าเดินไปจะใช้เวลาประมาณครึ่งวัน เสี่ยวเฉียงไปอยู่กับข้าได้ วันไหนคิดถึงแม่กับน้องก็กลับมาเยี่ยมบ้านได้ หรือเจ้าจะไปเยี่ยมเขาก็ได้เช่นกัน”
ใช่แล้ว ถ้าจะไปเรียนวิชาแพทย์ก็ต้องไปอยู่บ้านของอาจารย์ แต่อันเฟยจูก็อดห่วงลูกชายไม่ได้ “เจ้าจะไปอยู่บ้านท่านหมอต้วนไหวหรือ”
เด็กชายพยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่แล้วเขาก็นึกอะไรออก จึงหันไปหาชายชราและถามอ้อมแอ้มว่า “ข้าต้องจ่ายค่าเรียนอย่างไรขอรับ”
ชายชรายิ้มแล้วโบกมือ “ไม่ต้องจ่าย เจ้าไปอยู่กินที่บ้านข้า ช่วยข้าทำงานตอบแทน แบบนี้เจ้าว่าดีหรือไม่” ต้วนเจี่ยซินรู้ว่าเด็กชายคนนี้มีศักดิ์ศรี เขาไม่ชอบเอาเปรียบใคร
“ดีขอรับ!” เด็กชายตอบรับอย่างดีใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างมีความหวัง ในเวลานี้ สิ่งใดที่ทำแล้วดีกับครอบครัว เขายินดีทำหมด ถ้าเขาไปอยู่ที่อื่นก็ยังช่วยลดจำนวนปากท้องลง แม่ของเขาจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมาก แล้วเขายังได้วิชาความรู้อีกด้วย
หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ ต้วนเจี่ยซินกลับมารักษาแม่ของเด็กชายอีกครั้ง และพบว่าเธอให้ความสำคัญกับการรักษาตัวเองเป็นอย่างดี อาการของเธอดีขึ้นและลุกขึ้นมาทำงานเบาๆ ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ชายชราจึงพาครอบครัวเฟิงเดินทางไปที่บ้านของเขา เพื่อให้พวกเขาวางใจว่าเฟิงหลี่เฉียงไม่ได้ถูกหลอก
พวกเขานั่งเกวียนที่ลากด้วยวัวไปตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ภูเขาหลานเถียน บ้านของหมอต้วนตั้งอยู่ที่เชิงเขาหลานเถียน ที่นี่เงียบสงบและมีบ้านตั้งอยู่ห่างกันอีก 3 หลังใหญ่ แต่ละบ้านมีรั้วรอบขอบชิด และมีพื้นที่กว้างใหญ่รอบบ้าน บางหลังจัดเป็นสวนสวยงาม บางหลังมีลานหินและทรายเหมือนเอาไว้ต่อสู้ บางหลังเป็นบ้านไม้ไผ่ และบ้านที่สร้างจากหินและหลังคามุงกระเบื้อง ในแต่ละพื้นที่จะมีบ้านหลังใหญ่และมีบ้านหลังเล็กสร้างอยู่ใกล้ๆ ซึ่งน่าจะเป็นบ้านของคนรับใช้และโรงเก็บของ ที่นี่เป็นเหมือนกับชุมชนขนาดเล็ก มีคนงานทำสวน ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์อยู่แถวนั้นด้วย
พวกเขานั่งเกวียน ที่ขับโดยชายหนุ่มที่ชื่อลู่ปู่ จนไปถึงบ้านของต้วนเจี่ยซินที่อยู่ด้านขวามือสุด ที่เป็นบ้านชั้นเดียว แต่มีลานหินกว้างกลางบ้าน ด้านข้างมีปีกอีก 2 ด้านซึ่งมีหลายห้อง หน้าบ้านมีบ่อบัวและบ่อปลาขนาดใหญ่ ด้านหลังบ้านเป็นสวนสมุนไพร และสวนผักผลไม้ต่างๆ
ต้วนเจี่ยซินพาสามแม่ลูกเข้าไปในบ้าน และแนะนำให้พวกเขารู้จักคนในบ้านที่ต่อไปจะเป็นคนคอยดูแลเด็กชายด้วย หมอต้วนมีผู้ช่วยที่เป็นชายวัย 50 กว่าปี คือ หมอสวี่กั๋ว ที่นานๆ จะมาพบเขา เพราะชายชราไม่ค่อยออกเดินทางไปรักษาใครมากแล้ว แต่ที่นี่มีพ่อบ้านกับคนรับใช้อีก 3 คน ที่คอยดูแลบ้านและทำสวนให้
เมื่อเห็นว่าต้วนเจี่ยซินมีบ้านเป็นหลักแหล่งและมีความมั่นคง ไม่ใช่พวกหลอกลวง และเธอยังรู้จักบ้านของเขาแล้ว ทำให้อันเฟยจูรู้สึกดีใจไปกับลูกชายด้วย ชายชรายังชวนให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ 2-3 วัน เพื่อให้เด็กชายปรับตัวได้ จากนั้นจึงส่งสองแม่ลูกกลับไป ก่อนจะกลับเขายังมอบอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ และเงินจำนวนหนึ่งให้ด้วย ซึ่งอันเฟยจูปฏิเสธเสียงแข็ง
แต่ชายชราก็บอกว่า “ถ้าเจ้าไม่รับไป เสี่ยวเฉียงก็จะคอยเป็นกังวลว่า เจ้ากับเสี่ยวอิงจะอยู่อาศัยกันอย่างไร เขาก็จะไม่มีสมาธิตั้งใจเรียนหนังสือ แล้วข้าวของพวกนี้ ข้าก็มีเหลือเฟือ ไม่ได้ลำบากอะไร เสี่ยวเฉียงมาเป็นลูกศิษย์ของข้า ไม่ใช่คนรับใช้ ข้าก็ต้องมอบของให้กับครอบครัวของเขาเพื่อเป็นของขวัญ เจ้ารับไปเถิด อย่าได้คิดมากไปเลย”
เมื่อเป็นเช่นนั้น อันเฟยจูจึงยินดีรับข้าวของไป และเดินทางกลับโดยมีลู่ปู่ขี่เกวียนไปส่ง ต้วนเจี่ยซินยังบอกว่า เขาจะให้เด็กชายกลับมาเยี่ยมบ้านทุกเดือน และถ้าช่วงไหนพวกเขาออกไปซื้อของในอำเภอ จะแวะไปเยี่ยมหาเพื่อคอยดูว่าพวกเธออยู่ดีมีสุขหรือไม่ ทำให้อันเฟยจูรู้สึกซาบซึ้งใจจนอดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้ เธอขอบคุณหมอต้วนด้วยใจจริง และเดินทางกลับบ้านด้วยจิตใจที่มีความสุขขึ้นมาก
ต้วนเจี่ยซินให้เด็กชายอาศัยอยู่ที่ห้องทางปีกขวาของบ้าน ที่นี่มีความเงียบสงบ รอบๆ ตัวมีเสียงสัตว์ร้องก้องลงมาจากทั้งบนภูเขาและรอบบ้าน เขาได้ยินเสียงของป่าไผ่ที่เสียดสีกันเบาๆ เสียงน้ำไหลรินมาจากลำธารไกลๆ เสียงขุดดิน เสียงไก่ขัน และเสียงผู้คนพูดคุยกันเบาๆ ถึงที่นี่จะมีบ้านหรือพื้นที่หลักอยู่เพียงสี่แห่ง แต่ก็มีคนและสัตว์เลี้ยงอยู่อาศัย ทำให้เฟิงหลี่เฉียงไม่รู้สึกเงียบเหงา และเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เขาก็รู้จักคนที่นี่เพิ่มขึ้น ทำให้เขามีเพื่อนคุยและเพื่อนเล่นตลอดช่วงระยะเวลาที่เรียนอยู่ที่นั่น
ในเช้าวันแรกที่เขาเริ่มต้นการเป็นลูกศิษย์ของหมอต้วน เขาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงไก่ขัน ท้องฟ้ายังมืดอยู่แต่เริ่มมีแสงสีทองปรากฏอยู่ที่ปลายฟ้าไกลๆ เฟิงหลี่เฉียงรีบลุกขึ้นมาเก็บที่นอน ล้างหน้าล้างตา สวมเสื้อกันหนาว และเดินออกไปนอกห้อง ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และที่นี่อยู่ตีนเขา ทำให้อากาศหนาวยะเยือกกว่าปกติ
เมื่อเดินออกไปนอกห้อง เฉินกง พ่อบ้านวัย 50 กว่าปี กำลังกวาดลานบ้าน เมื่อเห็นเด็กชายเดินกอดอกออกมา เขาก็รีบเดินเข้าไปในบ้านและหยิบเสื้อคลุมตัวหนามาให้ และบอกกับเด็กชายว่า “เสี่ยวเฉียงสวมเสื้อของข้าไปก่อน ข้าจะสั่งให้แม่บ้านเย็บเสื้อผ้าสำหรับกันหนาวให้เจ้าในภายหลัง”
เฟิงหลี่เฉียงขอบคุณเขาอย่างจริงใจ แม่ของเขาไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเสื้อกันหนาวหนาๆ ให้ เขาจึงต้องใส่เสื้อหลายตัวทับกัน บางครั้งก็ใช้เศษผ้ามาพันแข้งขาเพื่อป้องกันลมหนาว
เด็กชายถามพ่อบ้านเฉินว่า “อาจารย์อยู่ไหนหรือขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านทำงาน”
พ่อบ้านยิ้มอย่างพอใจที่เด็กชายตื่นแต่เช้าและรู้จักมาเสนอตัวทำงาน เขาจึงพาเด็กชายไปที่สวนหลังบ้าน “ทุกวันนายท่านจะออกกำลังกายอยู่หลังบ้าน จากนั้นจึงจะอาบน้ำและกินอาหารเช้า บางครั้งก็จะทำสวนและเก็บสมุนไพร”
เมื่อเขาเดินไปที่สวนหลังบ้าน ก็พบคนงานกำลังเก็บสมุนไพร โดยมีชายชราคอยบอก ถัดออกไปมีชาวสวนอีกหนึ่งกำลังขุดดินที่แปลงสมุนไพรอยู่อีกด้าน ต้วนเจี่ยซินหันมาทักทายเด็กชายและให้เขามาช่วยเก็บสมุนไพร
ชายชราใช้วิธีสอนด้วยการให้ลงมือทำและเรียนรู้ไปด้วย และยังมอบหมายให้เฟิงหลี่เฉียงช่วยดูแลแปลงสมุนไพร เพราะการเป็นหมอจะต้องรู้ว่าสมุนไพรแต่ละประเภทเป็นอย่างไร สามารถเติบโตได้ในดิน แดด และน้ำแบบไหน หลังจากดูแลสมุนไพรในยามเช้า ซึ่งถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปด้วยแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาจะไปกินอาหารเช้าที่เตรียมโดยแม่ครัว ซึ่งหลายครั้งเฟิงหลี่เฉียงจะเข้าไปช่วยทำ นอกจากจะช่วยเป็นการตอบแทนที่หมอต้วนรับเขามาอยู่ด้วยแล้ว เด็กชายยังอยากทำอาหารเป็นด้วย เผื่อเขาจะได้ช่วยแบ่งเบาแม่ เวลาที่กลับไปอยู่ด้วยกัน
ในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่วัย 40 ปี ท่าทางสง่างาม เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด ใส่ชุดสีดำเดินลายสีทอง ปักรูปมังกร 5 เล็บอยู่ด้านหน้า กำลังนั่งอ่านกระดาษคำตอบของบัณฑิตจำนวน 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งหรืออี้เจี่ย ในจำนวนนี้จะมีเพียง 3 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็น “จ้วงหยวน” “ป๋างเหยี่ยน” และ “ทั่นฮวา”ขันทีที่ใกล้ชิดของหย่งเล่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และยกน้ำชามาเสิร์ฟ พร้อมกับช่วยฝนหมึกที่แท่นวางหมึกหยกให้อย่างเงียบๆฮ่องเต้หย่งเล่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เจ้าฟังนะ จงเซียน ในคำถามแรก ข้าถามว่า ในยุคราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุดที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกของจักรวรรดิ หากนำแนวคิดของขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ จักรพรรดิหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไรในการปกครองและการใช้กองทัพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จงเซียน เจ้ารู้ไหม บัณฑิตคนนี้ตอบว่าอย่างไร”จงเซียน ขันทีวัย 43 ปี ซึ่งอยู่รับใช้จักพรรดิหย่งเล่อมาตั้งแต่เขายังเป็นอ๋องแห่
สวี่เฟิงหยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็สะดุ้ง นี่ไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย แต่สักพักก็นึกได้ว่า เขามานอนค้างที่บ้านของบัณฑิตเฟิง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไม้กระทบกันและเสียงพูดคุยจากสนามด้านล่าง เขาจึงลุกขึ้นและชะโงกออกไปที่หน้าต่างที่สนามหน้าบ้าน เขาพบเฟิงหลี่เฉียงกำลังใช้ดาบไม้ฟาดฟันไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มตะลึงมอง เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนคนนี้จะเก่งทั้งบู๊และบุ๋น แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อเฟิงหลี่เฉียงหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง และตะโกนถามว่า “ตื่นแล้วหรือ มีห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะ ที่นี่เราไม่มีคนรับใช้ช่วยยกน้ำขึ้นไปให้”สวี่เฟิงหยวนเดินลงมา และพบกับสองแม่ลูกกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ทั้งสองไม่แปลกใจที่เห็นเขา เพราะเฟิงหลี่เฉียงบอกพวกเขาเอาไว้แล้ว อันเฟยจูเป็นคนพาเขาไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอีกสักพักอาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อกินเสร็จ เธอจะให้ลู่ปู่ขี่รถลากไปส่งในระหว่างที่กินข้าวเช้า เด็กหนุ่มมองดูครอบครัวสามแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอิจ
“ทำไมเจ้าถึงต้องเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด” เจียงอู๋ตี้ถามด้วยความสงสัยซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารจึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตตอบแทนนะขอรับ ภัตตาคารของเรามีกฎให้มีเสี่ยวเอ้อสองคน ประจำอยู่บนชั้นสอง โดยคนหนึ่งต้องอยู่ประจำบนชั้นสอง ห้ามไปไหน เพื่อคอยรอรับคำสั่งลูกค้าและดูแลสถานการณ์ ส่วนอีกคน จะนำคำสั่งอาหารไปที่ครัวและนำอาหารขึ้นมาบริการ ฉะนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ประจำชั้นสองเสมอ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ งั้นขอถามว่า ตอนที่พวกข้าเดินลงมา มีใครเห็นพวกข้าแอบคุยกับคุณชายท่านนี้บ้างหรือไม่”ทุกคนตอบว่า ไม่มีใครเห็น และคนที่เฝ้าอยู่ชั้นสองก็ไม่เห็นเช่นกัน จึงหมายความว่า โอกาสที่พวกของเฟิงหลี่เฉียงจะพบกับเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อพูดคุยกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะบอกว่าพวกเขาสมคบกับเด็กหนุ่มก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ว่า พวกเขาซึ่งเป็นบัณฑิตระดับนี้ จะฆ่าพ่อค้าขาวสารคนหนึ่งไปเพื่ออะไรเมื่อเฟิงหลี่เฉียงสรุปเรื่องนี้ ก็ทำให้ทั้งทำให้เจียงอู๋ตี้และหวังเฉิงพูดอะไรไม่ออก“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าทั้งสี่คน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีใน
ด้านหลังของภัตตาคาร มีช่องทางเดินไปสู่ห้องน้ำ ด้านหน้าของห้องน้ำเป็นลานกว้างมีโอ่งดินเผาใส่น้ำสำหรับล้างมือ และด้านหลังมีห้องน้ำเป็นห้องขนาดเล็กเรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง ที่นั่นพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งนอนหงายหลังอยู่ที่ลานกว้าง มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อเฟิงหลี่เฉียงบอกให้ผู้จัดการกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และไม่ให้ใครเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปรอบๆ และไม่ได้แตะต้องศพเพิ่มเติม เพราะเขารู้ว่าอีกสักพัก เจ้าหน้าที่จากอำเภอจะมา ตอนนี้เขาถูกพ่อค้าข้าวสารกล่าวหา ถ้าไปแตะต้องศพก็อาจจะมีปัญหา เขาก้มลงมองที่ศพ ที่พื้น และมองไปด้านหลังที่เป็นสวนขนาดใหญ่ ที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมยามดึก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมากนัก ในขณะที่คนอื่นมองที่ศพและบริเวณรอบๆ อย่างไม่สบายใจในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนจากอำเภอจำนวน 4 คนก็มาถึง เมื่อเห็นเฟิงหลี่เฉียง อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ หัวหน้าซึ่งมีอายุประมาณ 35 ปี ก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เมื่อรู้ว่ากลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเป็นบัณฑิตและสามารถตรวจสอบศพได้ พวกเขาจึงผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็ยังไม่ยอมให้เฟ
ถึงเฟิงหลี่เฉียงจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพื่อเตรียมสอบ แต่เขาก็ยังมีเพื่อนอยู่ 2-3 คนที่ชอบพอนิสัยใจคอกัน และวันนี้ พวกเขาก็มีนัดเพื่อฉลองผลสอบ เพราะทั้ง 4 คนสามารถผ่านการสอบในระดับประเทศนี้ และกำลังรอเข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่งในเดือนหน้า อินเฉิน ซึ่งเป็นลูกชายของข้าราชการกรมการคลัง เป็นคนจองภัตตาคารชื่อดังประจำเมืองหลวงเอาไว้ เพื่อดื่มกินกันให้เต็มที่หลังจากที่เหนื่อยยากมานานเฟิงหลี่เฉียงแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวอ่อน ขอบแขนเสื้อเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขับผิวให้สว่างมากขึ้น เขาเดินจากบ้านไปยังภัตตาคารอี้เทียนเหลา เพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อไปถึง เขาแจ้งชื่อคนจอง พนักงานพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่เรียงรายติดกัน ห้องที่พวกเขาจองไว้อยู่ค่อนไปตรงกลาง ในนั้น อินเฉิน ซุยเฉินเหยา และเทียนมู่อวี้นั่งรอเขาอยู่แล้ว บนโต๊ะมีอาหาร 3-4 อย่างวางเอาไว้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ทุกคนส่งเสียงทักทายและบอกให้เขาสั่งอาหารตามชอบได้เลยอินเฉิน อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด ยกจอกเหล้าขึ้นสูงและพูดขึ้นว่า “มาพวกเรา! มาดื่มฉลองให้ตัวเองที่สอบผ่านเป็น
ชายชุดดำซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง ค่อยๆ ผ่อนคลายท่าทีลง เขาพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ท่านเป็นหมอหรือ”เฟิงหลี่เฉียงยิ้มนิดๆ “ข้าเป็นบัณฑิตชื่อ เฟิงหลี่เฉียง แต่ก็รู้การแพทย์ด้วย”อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยไปส่งข้ายังสถานที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่”เด็กหนุ่มถามเขาตรงๆ ว่า “ขออภัย ข้าต้องขอสอบถามก่อนว่าเป็นที่ใด”ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อนจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ควรรู้ไปด้วยชายชุดดำก็ตอบตามตรงว่า “องครักษ์เสื้อแพร จินอวี่เว่ย”เขารู้ว่าตนเองต้องพึ่งพาเด็กหนุ่มคนนี้ เพื่อรีบกลับไปรายงานข่าวสำคัญที่ไปสืบมา และชายชุดดำรู้ดีว่า หากเด็กหนุ่มคิดไม่ซื่อกับเขา การตามหาตัวเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับราชองครักษ์อย่างพวกเขาเด็กหนุ่มจึงรับปาก เขาคิดอยู่แล้วว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นทหาร เขาจึงบอกลู่ปู่ให้เตรียมรถไว้ และช่วยกันประคองชายชุดดำไปขึ้นรถลาก และมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกของเ